ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย

4 of 4หน้าถัดไป

ความหฤหรรษ์ผลิบานทั่วแผ่นฟ้า มังกรกับดวงตะวันร่วมเสพสม

 

ในห้องหนังสือกว้างตกแต่งอย่างเรียบหรู เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนฝนหมึกอยู่ข้างโต๊ะ สายตาหลุบมองต่ำ การเคลื่อนไหวลื่นไหลชำนาญ ท่าทีจดจ่อดูฉลาดเฉลียว แต่ไม่นานดวงตาดำขลับของเขากลับฉายรอยไม่สงบ ค่อยๆ เหลือบมองผู้ซึ่งกำลังจับพู่กันเขียนตำราอย่างตั้งใจ…องค์ชายสามผู้สูงศักดิ์ สง่างามและเปี่ยมไปด้วยปัญญา นายท่านของเขา

สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปที่ดวงหน้าของผู้เป็นนาย เริ่มที่หน้าผากขาวสะอาด เรียวคิ้วเข้มหนา ต่อด้วยดวงตาใสกระจ่าง สันจมูกโด่งตรง รวมไปถึงริมฝีปากที่ขบเม้มน้อยๆ

เขารู้สึกอยู่เสมอว่าองค์ชายสามรูปงามยิ่ง แต่หลังจากกลับจากมองโกลคราวนี้ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคำว่า ‘รูปงาม’ นั้นยังตื้นเขินเกินไป ไม่อาจพอใช้บรรยายผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้

จากสายตาของเขา เครื่องหน้าทั้งห้าขององค์ชายสามล้วนสมส่วนได้รูป ไม่ว่าจะมองจากด้านบน จากด้านหน้า จากด้านข้าง ไม่ว่าจะด้านซ้ายหรือด้านขวา จะมองอย่างจริงจังหรือมองแบบผ่านๆ ล้วนได้สัดส่วน เขา…เคยลองทำมาแล้ว หรูซิ่วกล้าพูดได้เลยว่าหากให้จิตรกรที่มีฝีมือดีที่สุดมาวาดภาพใบหน้าขององค์ชายสามอย่างละเอียดลออ จากนั้นเมื่อพับรูปวาดเป็นสองส่วน เครื่องหน้าซีกซ้ายและขวาจะต้องทับกันสนิทพอดี ในความคิดของเขานี่ต่างหากจึงเป็นความสมส่วนที่แท้จริง

หากพูดถึงกลิ่นอายความองอาจผ่าเผยในตัวองค์ชายสาม ย่อมเห็นได้ชัดจนไม่ต้องพูดมากอยู่แล้ว เขาคิดว่าในประโยค ‘ผู้มีปัญญามักจิตใจกว้างขวาง ผู้ศึกษากลอนกวีมักสง่างามมีราศี’ นั้นหมายถึงองค์ชายสามนั่นเอง ขุนนางที่แวะเวียนมาที่วังส่วนใหญ่ล้วนสังกัดกรมพิธีการ แต่ละคนเป็นบัณฑิตมีการศึกษา แต่เขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีสง่าราศีมากกว่าองค์ชายสามมาก่อน สรุปคือนายท่านของเขาเป็นผู้สง่างามบริสุทธิ์ ต่อให้ไม่มีอาภรณ์ติดกายก็ยังเป็นเช่นนั้น…

หากให้เขาเขียนบทความสรรเสริญรูปลักษณ์ขององค์ชายสาม ทุกประโยคจะต้องลงท้ายด้วยคำว่าสุภาพสง่างาม

 

‘เรือนกายสูงใหญ่ แข็งแกร่งกำยำ ทั้งสุภาพสง่างาม

แขนแกร่งน้าวศร เรียวขายาวหนีบควบม้า ทั้งสุภาพสง่างาม

ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน เปล่งประกายยามต้องน้ำ ทั้งสุภาพสง่างาม

เส้นขนดำขลับ แท่งหยกชูชัน ทั้งสุภาพสง่างาม

 

หยุดก่อน! นี่ไม่ใช่คำชมแล้ว แต่เป็นจิตใจฟุ้งซ่านต่างหาก เหตุใดเขาถึงได้หยาบโลนเช่นนี้…

‘ซิ่วเอ๋อร์…ซิ่วเอ๋อร์?’

ความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยต่อผู้ใดได้พลันถูกขัดจังหวะ เด็กหนุ่มสะดุ้งอย่างร้อนตัว ทำแท่งหมึกหลุดมือร่วงลงพื้น น้ำหมึกกระเซ็นออกมา เปื้อนกระดาษเซวียนจื่อบนโต๊ะก่อนจะไหลหยดลงพื้น เขาตระหนกจนหน้าซีด รีบคุกเข่าเก็บแท่งหมึกขึ้นมา ทว่ากลับไม่ระวังชนเข้ากับกระดาษเซวียนจื่อจนมันปลิวกระจัดกระจาย ชั่วขณะนั้นจึงยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่

มือไม้ของเขาไม่เคยเกะกะเช่นนี้มาก่อน รู้สึกอึดอัดไม่เป็นตัวเองยิ่ง

‘เป็นอะไรไป’ องค์ชายสามตกใจเล็กน้อย เขาวางพู่กันลง มองไปที่เด็กหนุ่มผู้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่บนพื้น

หรูซิ่วหน้าแดงก่ำ ลนลานเงยหน้าขึ้นตอบ ‘เป็นข้าสะเพร่าเองขอรับ ข้าจะรีบไปนำผ้ามาเช็ดเดี๋ยวนี้’

เมื่อองค์ชายสามเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายก็นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้ม คล้ายกำลังเบิกบานอยู่ไม่น้อย หรูซิ่วจับต้นชนปลายไม่ถูก เพียงเห็นองค์ชายสามยื่นมือออกมาเชยคางเขา ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดแก้มเบาๆ

‘ดูเจ้าสิ ใบหน้าขาวราวไข่ปอกจู่ๆ ก็มีหนวดงอกขึ้นมาหนึ่งเส้น แต่กลับน่าดูยิ่งนัก’ องค์ชายสามยิ้ม ‘ดูเหมือนข้าจะเช็ดให้ยิ่งเลอะกว่าเดิมเสียแล้ว’

สมองของหรูซิ่วขาวโพลน ใบหูและลำคอล้วนแดงก่ำในพริบตา เรือลำน้อยกลางดวงใจที่โคลงเคลงอยู่แล้วพลันพลิกคว่ำ เขารีบลุกขึ้นยืนก่อนจะรีบร้อนเอ่ยปาก ไม่สนว่ากำลังกำแท่งหมึกกับกระดาษเซวียนจื่อไว้ในมือ ‘ข้าเช็ดเองได้ขอรับ นายท่านรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะให้พวกจงเอ๋อร์เข้ามาทำความสะอาด’

พูดจบก็รีบสาวเท้าออกจากห้องหนังสือราวกับกำลังวิ่งหนี องค์ชายสามส่ายหน้าพลางหัวเราะ แต่ไหนแต่ไรเด็กน้อยก็ละเอียดรอบคอบ ทั้งยังเข้มงวดกับตัวเองยิ่ง คงเพราะทำแท่งหมึกหลุดมือ ใจจึงได้กระวนกระวาย ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก

หากจะว่าไป หลายวันมานี้หรูซิ่วคล้ายมีเรื่องในใจ หรือว่า…

ไม่นานพวกจงเอ๋อร์ก็เข้ามาทำความสะอาด องค์ชายสามเองก็เริ่มจดจ่อกับงานราชการ จากนั้นก็หารือเรื่องรายละเอียดพิธีต่างๆ กับขุนนางจากกรมพิธีการ ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวไปไหน พริบตาเดียวฟ้าก็มืดเสียแล้ว

เมื่อเหล่าขุนนางจากไป หรูซิ่วถึงค่อยกลับเข้ามาในห้องหนังสือ จัดระเบียบตำราต่างๆ อย่างเงียบๆ

ครั้นเห็นองค์ชายสาม แก้มที่ถูกสัมผัสไปเมื่อเช้าก็แดงก่ำขึ้นมาอีก เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม้องค์ชายสามจะปฏิบัติกับบ่าวรับใช้อย่างใจกว้างเสมอ ทว่าก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างนายบ่าวอยู่ วันนี้เขาเสียกิริยาทำแท่งหมึกหล่น ด้วยนิสัยขององค์ชายสามไม่มีทางที่จะช่วยเช็ดหน้าให้เด็กรับใช้ในห้องหนังสือคนหนึ่ง…

‘เจ้าหายไปไหนตลอดทั้งบ่าย จงเอ๋อร์บอกว่าหาเจ้าไม่เจอ ข้าไม่มีคนช่วยจดบันทึก จึงได้แต่ให้จงเอ๋อร์ทำให้’ องค์ชายสามมองเขา น้ำเสียงแฝงรอยกรุ่นโกรธเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงความโกรธออกมา กลับกัน พอเห็นสองแก้มของอีกฝ่ายแดงระเรื่ออยู่ตลอดก็กวักมือเรียกเสียงเบา ‘ซิ่วเอ๋อร์ มานี่’

เด็กหนุ่มเข้าไปหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขณะที่คิดจะหาข้อแก้ตัว หน้าผากก็ถูกแตะ สัมผัสอุ่นร้อนบนผิวหน้าทำให้คำพูดที่กำลังจะหลุดออกจากปากหยุดชะงัก

องค์ชายสามดึงมือกลับ พูดเสียงอ่อนโยน ‘ข้าคิดไว้แล้วเชียวว่าเจ้าอาจจะไม่สบาย ไม่เช่นนั้นคงไม่วิ่งหายไปจนตามตัวไม่เจอเช่นนี้ เจ้าตัวร้อนอยู่เล็กน้อย อีกเดี๋ยวข้าจะให้หรูซย่าช่วยดูให้ วันหน้าหากรู้สึกไม่สบายก็พูดมาตามตรง’

หรูซิ่วก้มหน้าขานรับส่งๆ องค์ชายสามเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มแล้วลูบหัวเขา

‘องค์ชายสาม แขกมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ’ จงเอ๋อร์เข้ามารายงาน

หรูซิ่วไม่รู้ว่าควรตอบสนองท่าทีอ่อนโยนขององค์ชายสามอย่างไรอยู่พอดี เมื่อถูกขัดจังหวะจึงถอนหายใจยาว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นองค์ชายสามมีสีหน้ายินดี สั่งให้จงเอ๋อร์รีบพาแขกเข้ามาในห้องหนังสือ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงให้หรูซิ่วออกไปได้

แขกที่มาในคืนนี้ หรูซิ่วเคยได้ยินหรูซย่าเอ่ยถึงอยู่บ้าง ได้ยินว่าเป็นบุตรชายของขุนนางขั้นหนึ่งในราชสำนัก เป็นหนึ่งในสหายร่วมเรียนขององค์ชายสามเมื่อครั้งยังเยาว์ ตอนนี้รับตำแหน่งอยู่ในกรมปกครอง แม้ในทางงานราชการจะไม่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม แต่ก็มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่วังเสมอ

หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามเก็บแววตาเป็นห่วงเป็นใยเมื่อครู่กลับไปอย่างรวดเร็ว เอาแต่กำชับจงเอ๋อร์ให้เตรียมชา เตรียมของว่าง จุดธูปหอม ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน ในใจก็พลันผุดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่

‘เหตุใดยังไม่ไปอีกเล่า คืนนี้ไม่ต้องให้เจ้าอยู่รับใช้แล้ว ออกไปเถิด’ องค์ชายสามว่าก่อนจะหันไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่น

หรูซิ่วนิ่งอึ้ง ได้แต่เหม่อมองเงาหลังขององค์ชายสาม ก่อนจะข่มใจเดินจากมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างยากเย็น เมื่อกลับถึงห้องตัวเองก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียง เดี๋ยวก็คิดถึงสัมผัสอ่อนโยนตอนที่องค์ชายสามเช็ดแก้มให้เมื่อตอนเช้า เดี๋ยวก็คิดถึงความเย็นชาตอนที่เร่งให้เขาจากไปเมื่อครู่

อ่อนโยนดั่งน้ำผึ้ง เย็นชาดุจเข็มแหลม เขาในตอนนี้ราวกับกลืนน้ำผึ้งผสมเข็มแหลมลงท้อง รสหวานยังกำจายอยู่บนลิ้น แต่ในท้องกลับถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวด

‘ซิ่วเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย เป็นอะไรหรือ’

เสียงของหรูซย่าดังขึ้น ดึงเขากลับมาจากภวังค์ หรูซิ่วเงยหน้า พอเห็นสีหน้าห่วงกังวลของอีกฝ่ายก็ตั้งสติได้ ตอบกลับไปว่า ‘พี่หรูซย่า ท่านยุ่งอยู่ไม่ใช่หรือ…นายท่านใช้ให้ท่านมา?’

‘องค์ชายสามทรงใช้จงเอ๋อร์ให้มาเรียกข้า บอกว่าเจ้ามีไข้เล็กน้อย’ หรูซย่านั่งลงข้างเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นแตะหน้าผากเขา สังเกตสองข้างแก้มถึงค่อยยิ้มออกว่า ‘ไม่มีไข้ ให้ข้าจับชีพจรของเจ้าหน่อย’

หรูซิ่วครุ่นคิดอยู่ในใจ นายท่านกำลังต้อนรับแขกด้วยความเบิกบานใจ แต่ก็ไม่ลืมสั่งคนให้มาช่วยดูอาการให้ นายท่านปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว เด็กหนุ่มพลันยิ้มออกมาน้อยๆ ‘ท่านไปทำงานของตัวเองเถิด ข้าไม่ได้เป็นอะไร อย่าต้องเสียงานเพราะข้าเลย’

‘ท่าทางซึมเซาเช่นนี้ คงไม่ได้ไปทะเลาะกับผู้อื่นมากระมัง จงเอ๋อร์หาเรื่องเจ้าหรือไร’ หรูซย่าพูดจบก็รู้สึกว่าตัวเองกังวลเกินเหตุ หลายปีมานี้เขาเคยได้ยินหลายครั้งว่าหรูซิ่วมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเด็กรับใช้คนอื่นๆ หรูซิ่วเฉลียวฉลาด การตอบสนองก็คล่องแคล่วว่องไว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก่อน

หรูซิ่วส่ายหน้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขาไม่เคยเห็นจงเอ๋อร์อยู่ในสายตา ทั้งไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้อื่นรังแกมานานแล้ว เขาในตอนนี้กังวลอยู่เพียงเรื่องเดียว คิดได้เช่นนั้นจึงถามออกไปตามตรง ‘พี่หรูซย่า แขกที่มาคืนนี้สนิทสนมกับนายท่านมากหรือ’

หรูซย่าคาดไม่ถึงว่าหรูซิ่วจะถามเช่นนี้จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบกลับไป ‘ทั้งสองร่วมเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก รู้จักกันมานานสิบกว่าปี ความสนิทสนมย่อมไม่ธรรมดา เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ’

เขาส่ายหน้า ‘แค่สงสัยเท่านั้น’

คนทั้งสองสนทนากันอีกหลายประโยค ก่อนหรูซย่าออกปากว่าจะไปจัดยาสงบใจให้เขาสักหลายเทียบ และบอกว่าพรุ่งนี้จะมาฝึกมวยด้วย จากนั้นถึงค่อยจากไป

หรูซิ่วเก็บเรื่องราวมากมายไว้ในอก เขาล้มตัวลงนอน จ้องมองเพดานอยู่นานสองนาน พลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงลุกจากเตียงมานั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะเล็ก แต่กลับพบว่าตัวเองเผลอหยิบแท่งหมึกราคาแพงขององค์ชายสามกลับห้องมาด้วย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้เป็นเวลากลางดึก แขกที่มาคงจะกลับไปนานแล้ว ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ ไม่สู้รีบเอาของกลับไปคืนที่เดิมจะดีกว่า

เขาถือโคมดวงน้อย เดินช้าๆ ไปจนถึงเรือนขององค์ชายสาม เป็นไปตามคาด พวกจงเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ด้านนอกห้องหนังสือเงียบสงบไร้ผู้คน นับแต่หรูซิ่วฝึกวรยุทธ์ การเคลื่อนไหวของเขาก็คล่องแคล่วขึ้นมาก ยามที่เปิดประตูเข้าไปแทบจะไม่เกิดเสียงใดๆ เขาวางโคมลงบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน แล้วจุดตะเกียงน้ำมัน พริบตาห้องหนังสือก็สว่างไสว เขาวางแท่งหมึกลงข้างแท่นฝนหมึก ก่อนจะพลิกดูรายการสำคัญของวันนี้ที่จงเอ๋อร์จดบันทึกเอาไว้ คิดจะหยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด

แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ในห้องหนังสืออันเงียบสงบ เขากลับได้ยินเสียงแผ่วเบาแว่วดังมาจากห้องลับหลังชั้นหนังสือ

เขาตื่นตระหนก หรือนายท่านจะนอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ แม้ที่แล้วมาจะเคยทำเช่นนี้บ้าง แต่องค์ชายสามก็มักจะให้หนึ่งในพวกจงเอ๋อร์เฝ้ายามอยู่ด้านนอกเสมอ ไหนเลยจะสั่งให้ทุกคนถอยออกไปให้หมดอย่างเช่นในคืนนี้

หรูซิ่วละเอียดรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ไม่นานก็คิดเรื่องราวออกมาได้นับไม่ถ้วน ยิ่งยามนี้ใจเกิดความสงสัย ย่อมไม่อาจปล่อยให้ค้างคา เขาเป่าตะเกียงน้ำมันให้ดับ เหลือเพียงโคมดวงน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจพลางใช้วิชาตัวเบา เดินเข้าไปใกล้ประตูห้องด้านในอย่างไร้สุ้มเสียง แนบหูกับบานประตูจนได้ยินเสียงด้านในชัดเจนขึ้น

นั่นเป็นเสียงหอบหายใจ ทั้งไม่ใช่ของคนคนเดียว นอกจากนี้ยังมีเสียงขลุกขลักดังผสานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งฟังก็ยิ่งชวนให้สับสน เดิมทีเด็กหนุ่มสงสัยอยู่แล้ว ทั้งยังใจกล้ามากกว่าเด็กวัยเดียวกัน จึงตัดสินใจยื่นมือแง้มบานประตูออกอย่างไม่ลังเล ระหว่างที่แง้มประตูก็ไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย

คาดไม่ถึงว่าช่องเล็กๆ ที่เปิดออกจะทำให้เขาเห็นภาพอันสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าผ่ายามกลางวัน

ในห้องแคบๆ มีร่างสองร่างจุมพิตดูดดื่มราวกับไม่อยากแยกจาก แสงจากโคมดวงน้อยส่องแสงพอให้เห็นได้รางๆ ว่าผู้ที่กอดจูบกันอยู่นั้นเป็นองค์ชายสามกับบุรุษร่างผอมบางผู้หนึ่งซึ่งคงจะเป็นแขกที่มาคืนนี้ คนทั้งสองอยู่ในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย ลูบไล้เรือนกายของกันและกัน เสื้อผ้าท่อนล่างถอดออกเพียงครึ่ง ริมฝีปากประกบกันแน่น ดวงตาขององค์ชายสามปิดลงน้อยๆ สีหน้าดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง ริมฝีปากสมส่วนได้รูปนั่นกำลังพัวพันกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ระหว่างนั้นยังสามารถเห็นปลายลิ้นที่กำลังเคลื่อนไหว!

เฮือก!

หรูซิ่วราวกับถูกสายฟ้าห้าสายฟาดใส่ ต่อให้เขาเฉลียวฉลาดเยือกเย็นมากกว่านี้ แต่จะให้ยอมรับภาพเร่าร้อนตรงหน้าก็ยังทำได้ยาก เขาผ่อนลมหายใจยาว เผลอใช้มือที่สั่นเทาเปิดประตูให้กว้างขึ้นโดยไม่ทันระวังจนเกิดเสียงดังชัดเจน คนทั้งสองที่อยู่ในห้องพลันหยุดเคลื่อนไหว จับจ้องมาที่ประตู

เมื่อองค์ชายสามเห็นว่าเป็นหรูซิ่วก็นิ่งอึ้งไป ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดมุ่น แขกคนนั้นหันมาเห็นก็แย้มยิ้ม เห็นชัดว่าไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยที่ถูกลอบมอง

เทียบกับท่าทีเยือกเย็นของคนทั้งสอง หรูซิ่วกลับมือไม้ลนลาน เขารีบปิดประตูให้สนิท วิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเองในขณะที่ในหัวขาวโพลนไปหมด เมื่อถึงห้องก็รีบกั้นประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนเตียง จ้องประตูห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในเมื่อเขาพบเห็นองค์ชายสามอยู่กับชู้รัก บางทีอาจทำให้อีกฝ่ายโกรธจนไล่ตามมาซักไซ้

แต่รออยู่นาน รอบด้านกลับยังเงียบเชียบ เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นกระหน่ำ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดความคิดก็กลับมาแจ่มชัด จากนั้นอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายก็ถั่งโถมเข้ามา

ระยะนี้ในหัวเขามักผุดภาพองค์ชายสามยามอาบน้ำชำระกาย ทั้งยามที่เห็นผู้เป็นนายก็มักจะนึกถึงประโยคใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ อย่างห้ามไม่อยู่ แต่ทุกครั้งที่กำลังจะถลำลึกก็จะหยุดเอาไว้เสียก่อน พร้อมทั้งด่าทอตัวเองที่ไม่รู้ดีชั่ว กล้าเอาความคิดเลื่อนลอยไปแปดเปื้อนองค์ชายสามผู้สูงส่ง

เขาทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ชิงชังที่ตัวเองฟุ้งซ่าน แต่ในความเป็นจริงองค์ชายสามกลับทำเรื่องที่ว่ามาแล้วทั้งสิ้น ลิ้มลองเส้นทางหลงหยาง* ที่เขียนไว้ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ จนหมด สหายร่วมเรียนตั้งแต่เยาว์วัยอะไรกัน เห็นทีคงจะเป็นคู่รักเหมยเขียวม้าไม้ไผ่** เสียมากกว่า!

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านอกจากพระชายาเอกกับพระชายารองแล้ว องค์ชายสามยังชมชอบบุรุษด้วย

ทันใดนั้นไฟปรารถนาก็ปะทุขึ้น ในใจหรูซิ่วคันคะเยอไปหมด หากนายท่านจูบเขาเช่นเมื่อครู่นี้บ้าง…

หรูซิ่วส่ายหน้าอย่างแรง ก่อนจะยิ้มเย้ยตัวเองอยู่ในใจที่ลืมตัว ผู้อื่นเป็นถึงบุตรชายของขุนนางขั้นหนึ่ง ซ้ำยังมีฐานะเป็นถึงขุนนางราชสำนัก ตนไหนเลยจะเทียบเคียงได้

ยิ่งไปกว่านั้น แววตาขององค์ชายสามเมื่อครู่ช่างแปลกตาเหลือเกิน เมื่อลองคิดให้ดีๆ เหมือนจะเป็นสายตารำคาญใจและไม่แยแส อีกฝ่ายจะใช้สายตาโหดร้ายเช่นนั้นมองเขาได้อย่างไร เพียงคิดก็ทรมานนัก ช่างแตกต่างจากตอนที่ถามไถ่เขาอย่างเป็นห่วงเป็นใยราวกับคนละคน

ความอ่อนโยนขององค์ชายสามล้วนมอบให้สหายร่วมเรียนผู้นั้นไปหมดแล้ว

สุดท้ายความชอบหลงหยางของผู้เป็นนายก็เป็นของผู้อื่น

หรูซิ่วขมวดคิ้วแน่น ในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ เขารู้สึกราวกับกลืนเข็มลงไป ปวดแสบปวดร้อนตั้งแต่ลำคอไปจนถึงช่องท้อง เจ็บทรมานจนไม่อาจทานทน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

 

* หลงหยาง หมายถึงบุรุษรักร่วมเพศ โดยมีที่มาจากหลงหยางจวิน บุรุษรักร่วมเพศคนแรกที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 243 ปีก่อนคริสตกาล ว่ากันว่าเขามีใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าหญิงสาว

** เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ เป็นสำนวนหมายถึงเพื่อนที่รู้จักและเป็นเพื่อนเล่น สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตก็เหมาะสมจะเป็นคู่รัก

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย

    By

    พิศวาสรัญจวนในห้องหนังสือ คราแรกของเด็กหนุ่ม   ดูจากการที่องค์ชายสามทั้งตีทั้งตวาด แล้วแบกเขาเดินเร่งฝีเท้าด้วยท่าทางกระโชกกระชาก หรูซิ...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย

    By

      มรสุมพลันสาดซัด เด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด   ราตรีล่วงผ่านไปโดยไม่อาจข่มตาหลับ วันถัดมาฟ้าเพิ่งจะสาง หรูซิ่วก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตู...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    แสงดาราพาดผ่าน ดวงชะตาเคลื่อนคล้อย   กลางดึก รถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากเมืองอย่างช้าๆ ระหว่างที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ตัวรถก็ส่ายไปซ้ายทีขวา...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 1 #นิยายวาย

    By

    สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ฝันร้ายอันยากจะลืม   ความจริงแล้ว...เขาแตกต่างจากผู้อื่นที่ใดกันแน่ เหตุใดใครๆ จึงต่างรังเกียจเขาเช่นนี้   ส...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.2   เมื่อกลับมาถึงวังอ๋อง เนื่องจากเหตุการณ์ของชายาทำให้บรรยากาศในวังยังคงอึมครึม ข้าเรียกคนให้หยิบกาสุรามาดื่มในสวนเล็กของตำหน...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.1   วันถัดมา ข้าเข้าวังเพื่อกราบทูลผลการลงโทษชายาต่อฝ่าบาทและไทเฮา เดิมทีข้าจะไปเข้าเฝ้าฉีเจ่อก่อน แต่ขันทีน้อยบอกข้าว่าฝ่าบาทก...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 2   ข้าย่างเท้าออกจากประตูตะวันออกของอุทยานหลวงภายใต้แสงสายัณห์ ยังไม่ทันเดินออกมาได้ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากทางเบื...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com