overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย
สั่งสอนบ่าวดื้อรั้น แบกเข้าห้องหนังสือ
เขาเคยเห็นดอกสุยซือไห่ถัง* กลีบดอกบางและอ่อนนุ่ม เป็นสีชมพูอ่อนราวชาดที่เจือจาง ยามที่ดอกบานจะคว่ำหัวลง เมื่อสายลมพัดผ่านกลีบดอกก็จะสั่นไหว ราวกับหญิงงามก้มหน้าเอียงอาย ท่าทีอ่อนหวานชวนให้รักใคร่พานให้เขานึกไปถึงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีผู้นั้น…หรูซิ่ว
องค์ชายสามมองออกไปนอกหน้าต่าง เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
พิธีบวงสรวงสวรรค์สิ้นสุดไปเมื่อวันก่อน ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยกับการจัดเตรียมพิธีในปีนี้อย่างยิ่ง พระราชทานของรางวัลให้เขามากมาย ทั้งยังทรงอนุญาตให้พักผ่อนเป็นเวลาสามวัน เขาควรรู้สึกอิ่มเอมใจ ทว่าในอกกลับว้าวุ่น ยามกลางคืนไม่อาจข่มตาหลับ ได้แต่นั่งขีดๆ เขียนๆ อยู่ในห้องหนังสือ
เขาเขียนอักษรไปได้ไม่กี่แถว ประตูก็ถูกเปิดออก พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นหรูตง อีกฝ่ายเดินเข้ามาที่โต๊ะ จัดเรียงสิ่งของเงียบๆ จากนั้นจึงยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง
หลังพิธีบวงสรวง เด็กรับใช้ในห้องหนังสือของเขาก็เปลี่ยนเป็นหรูตง
คืนนั้นหรูซิ่วที่กำลังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่วิ่งจากไป เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็แข็งใจไม่ไล่ตามไป เพียงกำชับให้หรูซย่าส่งคนออกไปตามหา จากนั้นก็รีบร้อนขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปตำหนักไจกง
วันแรกที่ตำหนักไจกง เขาแอบเรียกหรูซย่ามาพบ ถามเรื่องหรูซิ่วก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นถึงค่อยนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงสอบถามเรื่องการไต่สวนมือสังหาร เขาอดตำหนิตัวเองในใจไม่ได้ที่เรียงลำดับความสำคัญของเรื่องราวผิด หรูซย่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพียงคิดว่าซิ่วเอ๋อร์เอาแต่ใจ จึงรายงานว่าคืนนั้นพวกเขาพบหรูซิ่วอยู่ข้างภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ หลังตำหนิไปหลายประโยค ก็ลากตัวกลับมาพักผ่อนที่ห้อง
เดิมองค์ชายสามคิดว่าหรูซิ่วยังเด็ก นิสัยดื้อรั้น จึงใจร้อนวู่วามไปชั่ววูบ เขาไม่คิดติดใจเอาความ กลับคาดไม่ถึงว่าหลังพิธีบวงสรวงผ่านพ้นไป เขาเพิ่งกลับถึงวังได้ไม่ทันไร ตัวการก่อเรื่องวุ่นก็เป็นฝ่ายมาหาเขาเสียเอง ทั้งยังเอ่ยคำที่ชวนให้คนฟังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ…
‘ซิ่วเอ๋อร์อยากติดตามพี่หรูซย่าขอรับ เรียนหมัดมวยไปด้วยเป็นองครักษ์ไปด้วย ทั้งยังได้เรียนวิชาแพทย์เล็กๆ น้อยๆ นายท่านได้โปรดส่งเสริม’
องค์ชายสามตะลึงมองหรูซิ่ว ทว่าอีกฝ่ายเอาแต่หลุบสายตาลงต่ำ จ้องมองพื้น ไม่มองผู้เป็นนายอย่างเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มอดรู้สึกโมโหไม่ได้ ขณะคิดจะระเบิดโทสะลงโทษอีกฝ่าย ก็กังวลขึ้นมาว่าบาดแผลของหรูซิ่วยังไม่หายดี จะตีก็ไม่ได้จะด่าก็ไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นตัวเขาเองที่ทนใจแข็งลงโทษเด็กหนุ่มไม่ลง พอลองคิดดู บางทีการให้หรูซิ่วไปทำงานอย่างอื่นก็นับว่าเป็นวิธีการผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดที่ไม่เลวนัก นอกจากนี้ตำแหน่งผู้ติดตามของหรูซย่าก็สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นจึงตกปากรับคำ
แต่หลังจากนั้นพอมาคิดไตร่ตรองดูแล้ว เขากลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย ตัวเขาเองในตอนนั้นคิดแต่เรื่องมือสังหาร จากที่หรูซย่ารายงาน ไม่ว่าอย่างไรมือสังหารที่จับได้ก็ไม่ยอมปริปาก หรูจงประเดี๋ยวก็ได้สติประเดี๋ยวก็หลับไป แค่เรื่องพวกนี้ก็ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรูซิ่วยังมาทำให้เขาหนักใจเพิ่มอีก เรียกว่าหิมะตกแล้วยังเกิดน้ำค้างแข็ง**…
‘องค์ชายสาม โจ๊กของพระองค์หากยังไม่เสวยอีกจะเย็นเอานะพ่ะย่ะค่ะ’
เสียงหนึ่งดังตัดบทความคิดขององค์ชายสาม เขาหันไปมองหรูตงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ความหงุดหงิดผุดขึ้นในใจ หรูตงรับใช้เขามาสิบกว่าปี จึงรู้ใจเขาอย่างยิ่ง แต่ก็ทำเพียงดูแลกิจวัตรประจำวันและอาหารการกินเท่านั้น ไม่รวมถึงปรนนิบัติช่วยเขาฝนหมึก ชายหนุ่มเหลือบมองหรูตงคราหนึ่ง ความไม่ชอบใจยิ่งเพิ่มพูน
ควรรู้ไว้ว่างานฝนหมึกข้างโต๊ะไม่ใช่ใครก็ทำได้ หรูตงทำงานอย่างตั้งใจก็จริงอยู่ ทว่าหากร่างกายสูงโปร่งบอบบางกว่านี้ ใบหน้าขาวกระจ่างกว่านี้ กลิ่นอายสูงสง่ากว่านี้ ดวงตาใสกระจ่างกว่านี้ คำพูดคำจามีไหวพริบปฏิภาณมากกว่านี้ หากยามยิ้มสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่านี้แล้วล่ะก็ ทุกครั้งที่มองก็จะยิ่งรื่นหูรื่นตากว่านี้…
ในหัวพลันผุดภาพเด็กหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่ง นิสัยเก็บตัว ทว่าซุกซนนัก
จริงๆ เลย! คิดไปถึงไหนกัน องค์ชายสามขมวดคิ้ว เขาวางพู่กันลงพลางออกคำสั่ง ‘ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไปนำ ‘ตำรารวมอักษรโอวหยาง’ ออกมา’
หรูตงรีบวิ่งไปค้นที่ชั้นหนังสือ ผ่านไปนานจนองค์ชายสามเร่งอีกครั้ง เขาถึงค่อยตอบเสียงงึมงำ ‘องค์ชายสาม ชั่วประเดี๋ยวเดียวกระหม่อมหาไม่เจอหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่สู้ให้กระหม่อมไปเรียกหรูซิ่วมาช่วยหาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ’
องค์ชายสามนิ่งงันไป ในใจนึกยินดี แต่ก็พลันหงุดหงิดขึ้นมาอีก ชายหนุ่มตบโต๊ะเสียงดัง พูดด้วยความโมโห ‘แค่หนังสือเล่มเดียวเจ้ายังหาไม่เจอ เช่นนี้จะรับใช้ในห้องหนังสือได้อย่างไร!’
หรูตงสะดุ้งตกใจกลัว เขารีบร้อนคุกเข่ารับผิด แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายสามมักอ่อนโยนใจกว้าง น้อยครั้งที่จะตบโต๊ะบันดาลโทสะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เป็นนายหาใช่คนเลือดร้อนไม่ หรูตงรู้ดีแก่ใจ พอถูกกระตุ้นโทสะเข้า องค์ชายสามก็จะโมโหขึ้นมาทันทีราวกับอสนีบาตฟาดลงพื้น เปลี่ยนไปจากยามปกติราวกับเป็นคนละคน
องค์ชายสามเห็นอีกฝ่ายกลัวจนหน้าซีดขาวก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงโบกมือให้เขาถอยออกไป
หรูตงได้รับคำสั่งก็ถอนใจเฮือกใหญ่ รีบยกโจ๊กจากไปทันที จะว่าไปแล้ว เขารู้สึกว่าตั้งแต่กลับจากพิธีบวงสรวง องค์ชายสามก็มักจะทำหน้าบึ้งตึงอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกันที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าทำให้องค์ชายสามหงุดหงิดใจเช่นนี้
หรูตงออกไปแล้ว ในห้องหนังสือกว้างใหญ่จึงเหลือเพียงองค์ชายสามคนเดียว ชายหนุ่มฝืนเขียนอักษรได้ไม่กี่ตัวก็รู้สึกว่าน้ำหมึกเข้มกว่าวันก่อนๆ ปกติยามทำงานเขาชอบใช้หมึกจาง อักษรอ่อนจางให้ความรู้สึกล่องลอยสันโดษ ทว่ายามนี้เมื่อเห็นหมึกเข้มก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หมดอารมณ์จะคัดอักษร ได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ตกดึก อากาศเย็นจนเสียดกระดูก ทั้งวังตกอยู่ในความหนาวเหน็บราวกับถ้ำน้ำแข็ง
ขณะที่องค์ชายสามกอดเตาพก*** ไว้ในอ้อมแขนก็พลันนึกขึ้นได้ว่าในห้องของหรูซิ่วเรียบง่าย แทบจะไม่มีอะไรเลย อย่าว่าแต่เตาผิงไฟ กระทั่งผ้าห่มที่มีแต่รอยปะชุนบนเตียงผืนนั้นก็ยังหนาไม่พอให้ห่มด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าเด็กคนนั้นอาจไม่มีแม้กระทั่งผ้าคลุมหรือเสื้อนอกก็เป็นได้…
มีคนโง่เช่นนั้นด้วยหรือ! ถึงขั้นไม่ต้องการข้าวของเครื่องใช้ใดๆ ต้องการเพียงแค่เงินเท่านั้น เด็กหนุ่มที่ได้รับการศึกษาคนหนึ่งไปเอานิสัยตระหนี่ถี่เหนียวเช่นนี้มาจากที่ใดกัน เสื่อมเสียยิ่งนัก เขาควรสอบถามอาจารย์ที่เชิญมาเหล่านั้นสักหน่อยแล้ว
อีกอย่าง มาบอกว่าไม่อยากทำงานในห้องหนังสือแล้วก็ไม่ทำเสียดื้อๆ ทั้งรั้นทั้งหัวแข็ง ทำให้เขาหาหนังสือเล่มเดียวก็ยังหาไม่เจอ กระทั่งอักษรตัวเดียวก็เขียนไม่ออก ช่างเป็นบ่าวไพร่ที่ไม่รู้สำนึก!
ในที่สุดความหงุดหงิดใจที่มีมาหลายวันขององค์ชายสามก็พุ่งสูงท่วมหัว เขาพลันลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตูห้องหนังสือออกอย่างแรง มุ่งหน้าไปยังห้องของต้นเหตุ
คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะเดินมาถึงลานเรือนด้านนอก คนร้ายกลับส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู
‘นายท่าน’ หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามก็นิ่งอึ้งไป ไม่ได้พบหน้าหลายวัน ยามนี้เมื่อได้เห็นคนที่เฝ้าคิดคำนึงถึง เขาก็อดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ ริมฝีปากชาหนึบ
พอเห็นตัวคน องค์ชายสามยังไม่ทันได้เอ่ยปากตำหนิ ก็เห็นอีกฝ่ายถือห่อผ้าไว้ในมือ เขาตัวสั่น ถามด้วยความโมโห ‘เจ้าจะไปที่ใด ไยไม่บอกกล่าวก่อน’
‘ซิ่วเอ๋อร์…กำลังจะมาลานายท่านขอรับ’ เขาไม่เคยเห็นองค์ชายสามถลึงตาราวกับจะมีไฟลุกท่วมเช่นนี้มาก่อน จึงอดตกใจไม่ได้
องค์ชายสามได้ยินก็บันดาลโทสะ ตวาดออกมา ‘พูดเหลวไหล! เจ้าเห็นที่นี่เป็นที่ใด บอกจะไปก็ไปได้อย่างนั้นหรือ! น่ารำคาญนัก!’
หรูซิ่วตะลึงงัน ในอกฝาดเฝื่อน คืนนั้นหลังถูกองค์ชายสามผลักออก เขาก็นั่งอยู่ข้างภูเขาจำลองตามลำพังอยู่นาน ลมหนาวพัดต้องใบหน้า ในที่สุดหัวใจที่ปั่นป่วนก็ค่อยๆ สงบลง
เขารู้ดีอยู่ในอกว่าความรักและความปรารถนาที่มีต่อองค์ชายสามเป็นสิ่งที่ตนไม่อาจควบคุม และยิ่งไม่อาจเก็บงำไว้ได้อีก หากยังรับใช้อยู่ข้างกายองค์ชายสามต่อไป เขาย่อมต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัส และเพราะเหตุนี้ถึงได้หน้าไม่อายวิ่งโร่ไปร้องขอทำงานเป็นองครักษ์
* ดอกสุยซือไห่ถัง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Malus halliana Koehne ไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกมีสีชมพูอมแดง ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
** หิมะตกแล้วยังเกิดน้ำค้างแข็ง เป็นสำนวนหมายถึงปัญหาเดิมยังไม่คลี่คลาย ปัญหาใหม่ก็เข้ามาทับถม
*** เตาพก เป็นเครื่องให้ความอบอุ่นแบบพกพาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ มีหูหิ้วหรือเป็นตลับ มีลายฉลุด้านบนเพื่อให้ไอร้อนจากไฟที่จุดด้านในส่งความอบอุ่นออกมา