ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

พิศวาสรัญจวนในห้องหนังสือ คราแรกของเด็กหนุ่ม

 

ดูจากการที่องค์ชายสามทั้งตีทั้งตวาด แล้วแบกเขาเดินเร่งฝีเท้าด้วยท่าทางกระโชกกระชาก หรูซิ่วยังคิดว่าตัวเองจะถูกทุ่มลงพื้นเสียแล้ว แต่เมื่อองค์ชายสามเดินเข้าไปในห้องหนังสือก็ผ่อนฝีก้าวลง ตรงไปยังห้องลับซึ่งอยู่ด้านใน แล้ววางเขาลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปจุดตะเกียงสองสามดวง

ในห้องน้อยอันงดงาม แสงตะเกียงสว่างจ้า สาดส่องต้องใบหน้าแดงระเรื่อของคนที่อยู่บนเตียง

หรูซิ่วเอนพิงหัวเตียง พอเข้ามาในห้องเขาก็ไม่ขัดขืนอีก เพียงมองท่าทางอาการขององค์ชายสาม ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา เขามองผู้เป็นนายรีบเดินไปข้างนอก ยกเตาผิงไฟมาวางไว้ข้างเตียง แล้วถือกาใส่น้ำอะไรสักอย่างมาส่งถึงปากเขา

‘ข้าไม่เคยดื่มขอรับ’ หรูซิ่วได้กลิ่นสุราจึงรีบส่ายหัว คิดว่าองค์ชายสามจะให้เขาดื่มสุราคลายหนาว จึงบอกว่า ‘ข้าไม่หนาว’

องค์ชายสามมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมความหมายลึกซึ้ง ดวงตาสะท้อนแสงไฟวาววับ ในนั้นยังมีร่องรอยกรุ่นโกรธเจือจาง หรูซิ่วถูกมองเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก ซ้ำอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลย ก็ยิ่งทำให้เขาประหม่ามากขึ้น

ผ่านไปนานองค์ชายสามถึงได้เอ่ยปาก ‘ตอนนี้ไม่หนาว แต่อีกสักพักจะหนาว’

หรูซิ่วไม่เข้าใจว่าองค์ชายสามหมายความว่าอะไร ขณะคิดจะถามก็เห็นองค์ชายสามดื่มเข้าไปเองอึกหนึ่ง โดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้า ขณะที่หรูซิ่วกำลังนิ่งอึ้ง องค์ชายสามก็ยื่นหน้าเข้าหา เอียงหัวประกบปาก ป้อนสุราให้เขาด้วยปากตัวเอง

ริมฝีปากสัมผัสกัน หรูซิ่วนิ่งงันเป็นไก่ไม้* เพียงรู้สึกว่าริมฝีปากของตนถูกประกบด้วยความอบอุ่น ของเหลวรสร้อนแรงไหลเข้ามา เขาเผลอกลืนลงไปโดยไม่รู้ตัว ทั่วทั้งร่างร้อนผ่าว ทว่ายังคงแข็งเกร็ง

องค์ชายสามป้อนสุราจนหมด ก่อนจะใช้ริมฝีปากไล้เกลี่ยปากที่เผยอออกเล็กน้อยของหรูซิ่วอย่างแผ่วเบา แล้วจูบซับเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นถึงค่อยๆ ถอยออกช้าๆ เมื่อเห็นหรูซิ่วไม่ขยับเขยื้อน ทว่าดวงตาทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้า งดงามเยี่ยงเด็กน้อยไม่รู้เดียงสา สุดท้ายองค์ชายสามก็ใจอ่อน สีหน้าที่ดูขัดเคืองตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เผยรอยยิ้มออกมาบางๆ เขายื่นมือเช็ดที่มุมปากหรูซิ่ว ไล้นิ้วมือจากคางเรื่อยลงมาถึงลำคอ แค่สะกิดเบาๆ ก็สามารถปลดกระดุมที่คอเสื้อให้หลุดออก

ยามที่หรูซิ่วได้สติก็พบว่ากระดุมบนเสื้อตนถูกปลดออกจนหมด สายคาดเอวถูกดึงจนหลุดแล้วโยนทิ้งไว้ข้างเตียง จากนั้นเสื้อนอก เสื้อตัวกลางและตัวในก็ถูกเปิดอ้าออกด้วย เผยแผงอกเปลือยเปล่า มิน่าเล่าเมื่อครู่องค์ชายสามจึงอยากให้เขาดื่มสุรา ตอนนี้เป็นค่ำคืนยามเหมันต์อันหนาวเหน็บ ย่อมต้องรู้สึกเย็นยะเยือก เขาสูดลมหายใจเฮือก รู้สึกได้ว่ามืออุ่นร้อนของอีกฝ่ายกำลังปัดป่ายมาที่เอวตน เขาสะดุ้งและเผลอถอยหลบ

‘เจ็บหรือ’ องค์ชายสามถามเบาๆ เมื่อเห็นเขาส่ายหัวก็ทำท่าจะแกะผ้าพันแผลออก แต่หรูซิ่วกลับดึงเสื้อตัวในปิดกลับดังเดิม

‘ข้าทำเองขอรับ หลายวันมานี้ข้าทำแผลเองตลอด’ เขารีบคว้าคอเสื้อปิดเอาไว้

‘เจ้าทำเองไม่ได้หรอก’ องค์ชายสามพูดอย่างมั่นใจ

‘ข้าทำได้’ เขาทำแผลเองมาหลายวันแล้ว

องค์ชายสามไม่ได้พูดอะไร แต่บังคับถอดเสื้อเขาออกจนหมดอย่างคล่องแคล่ว แล้วหยิบสายคาดเอวที่แก้ออกเมื่อครู่ขึ้นมา ขณะที่หรูซิ่วยังตะลึงมองก็ถูกสายคาดเอวเส้นยาวมัดข้อมือทั้งสองข้างไว้แน่น เมื่อองค์ชายสามดึงรั้งสองครั้งจนแน่ใจว่าไม่หลุด จึงพูดขึ้นว่า ‘ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าเจ้าทำเองไม่ได้หรอก’

หรูซิ่วมองตาแทบถลน ไม่คิดมาก่อนเลยว่าองค์ชายสามจะจับเขามัดไว้เช่นนี้ จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายแกะผ้าพันแผลออกแล้วใส่ยาทาแผลใหม่อย่างไม่อาจขัดขืน

เพราะไม่เคยเปลือยผิวกายต่อหน้าองค์ชายสามมาก่อน ใต้แสงตะเกียงวูบไหว เห็นองค์ชายสามเอนตัวอยู่ข้างกายตน มือคอยลูบสัมผัสผิวกายอยู่เรื่อยๆ ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นงรัว ในหัวมึนงงสับสน จู่ๆ เขาก็เริ่มท่อง ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ในใจเบาๆ

 

‘ดั่งมังกรพัวพัน กีฏเคลื่อนขยับ…สัมผัสขึ้นลง ปะป่ายเกาะกุม ร่ำร้องน้องพี่ ปลุกเร้าซึ่งกัน บ้างแนบสะโพก บ้างปากดูดดื่ม ยามร่วมอภิรมย์ มีเข้าเบื้องหลัง ทั้งสลับข้างให้ชายล่างหญิงบน…แอ่นโค้งบั้นท้าย แท่งหยกสอดรับ…น้ำวิสุทธิ์ไหลหลั่ง จากยอดเขาหยางเฟิง…

 

บัดนี้หรูซิ่วถึงรู้ว่าตัวเองท่องจำได้มากถึงเพียงนี้ แต่ยิ่งท่องก็ยิ่งร้อนรุ่ม สองตามองข้อมือที่ถูกมัดไว้เขม็ง แล้วจึงเหลือบมององค์ชายสามทีหนึ่ง ความรู้สึกแปลกใหม่ผุดขึ้นมา องค์ชายสามผู้ซึ่งมักจะอบอุ่นและสง่างาม คืนนี้กลับเผยโฉมหน้าไร้เหตุผลออกมา ลงโทษโบยตีแล้วก็ผลุนผลันแบกเขาเข้ามาในห้องลับด้านใน แล้วยังจับเขามัดไว้โดยไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้น เกรงว่าคนผู้นี้ยังมีโฉมหน้าอื่นอีกมากที่ผู้คนไม่เคยรู้…ต้องเป็นเช่นนี้แน่ อย่างไรเสียไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูสุภาพมากเพียงไร ก็คงไม่สำรวมกายยามมีสัมพันธ์บนตั่งนอนกระมัง ไม่เช่นนั้นหากมัวแต่กระมิดกระเมี้ยนกันไปมา ยังจะร่วมรักกันได้หรือ คิดแล้วหรูซิ่วก็หน้าแดงก่ำ โชคดีที่องค์ชายสามมัวแต่ง่วนอยู่กับการทำแผล จึงไม่ทันสังเกต

‘โชคดีที่แผลไม่ปริ’ องค์ชายสามเงยหน้ามองเขาแน่วนิ่ง

หรูซิ่วรีบหลุบตาลงอย่างลนลาน ไม่กล้ามองสบดวงตาของอีกฝ่ายตรงๆ ด้วยเกรงว่าอาจถูกมองทะลุทะลวงเข้าไปถึงความคิดบัดสีหน้าไม่อายของตน อีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้เป็นนายในสภาพเปลือยท่อนบนเช่นนี้ เขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ดังนั้นจึงรีบบอกว่า ‘ข้าจะกลับห้องขอรับ’

องค์ชายสามเห็นเขาไม่ได้พูดเรื่องจะจากไปอีกก็รู้สึกวางใจ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า ‘ห้องนั้นทั้งเก่าทั้งคับแคบ ต้องเปลี่ยนห้องให้เจ้า’

‘ข้าอยู่จนชินแล้ว’ เขาตอบเสียงเบา สีหน้าหม่นหมอง แต่แววตากลับเย็นชา แม้ไม่รู้ว่าองค์ชายสามปรารถนาจะทำสิ่งใด แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าต่อให้ไม่อาจออกจากวังนี้ไปได้ ภายหน้าก็จะไม่ใกล้ชิดอีกฝ่ายอีก

‘ฟูกนอนและเสื้อผ้าของเจ้าไม่ช่วยให้อบอุ่น พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเปลี่ยนให้ใหม่’ องค์ชายสามมองเขาอย่างอาทร

‘นายท่านสงสารข้าหรือขอรับ’ หรูซิ่วเม้มปาก เผยท่าทีดื้อรั้น ไม่ช้าเขาก็เบือนหน้าออก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเย็นชา ‘นั่นสิขอรับ ข้ามันคนน่าสงสาร ถูกนำตัวมาเลี้ยงไว้ที่วังนี้ตั้งแต่เด็ก ไร้หัวนอนปลายเท้า ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีที่ไป’

องค์ชายสามมองใบหน้าด้านข้างของเขา นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น ‘เห็นแก่ที่เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ข้าจะไม่เอาเรื่อง’

‘หรือในใจนายท่านคิดว่าซิ่วเอ๋อร์อุตส่าห์คอยรับใช้อย่างตั้งอกตั้งใจมาหลายปี ทั้งยังเคยรับมีดบินแทนครั้งหนึ่ง จึงต้องแสดงความอดกลั้นต่อข้า’ หรูซิ่วนิ่วหน้าน้อยๆ ร่างเกร็งเขม็ง สายตามองตรงไปยังผนัง ค่อยๆ พูดต่อ ‘นายท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหรอกขอรับ ซิ่วเอ๋อร์ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเอง ซิ่วเอ๋อร์เพียงอยากเรียกร้องความสนใจจากนายท่าน อยากได้รับการใส่ใจ อยากเอาชนะบ่าวคนอื่นๆ ทั้งหมดนี้ซิ่วเอ๋อร์คิดคำนวณมาแล้ว ซิ่วเอ๋อร์เข้าใจดีว่าในวังนี้มีเพียงได้ใกล้ชิดนายท่าน จึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบมั่นคง ได้อยู่ดีกินดี’

องค์ชายสามนิ่งฟัง ไม่ได้ตัดบทเขา และไม่ได้แสดงท่าทีว่ามีโทสะเลย

‘คราวก่อนซิ่วเอ๋อร์เห็นนายท่านกำลังร่วมรักกับผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นก็คิดว่าหากซิ่วเอ๋อร์ได้ปรนนิบัตินายท่านเช่นนี้บ้าง นายท่านจะต้องปฏิบัติกับข้าอย่างแตกต่างยิ่งกว่าเก่า ต่อไปไม่เพียงจะได้อยู่ใต้บัญชาคนเพียงคนเดียว ยังเป็นการไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูง’ เขากัดริมฝีปาก ดวงตาร้อนผ่าว

เหตุใดซิ่วเอ๋อร์จึงคิดไปเองว่าเมื่อพูดเช่นนี้แล้วจะทำให้เขานึกรังเกียจได้ องค์ชายสามลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นหรูซิ่วไม่กล่าวต่อ จึงตัดสินใจถามว่า ‘พูดจบแล้วหรือยัง’

หรูซิ่วหันหน้ากลับมามอง เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น เดิมคิดว่าองค์ชายสามจะหันหลังเดินจากไป แต่กลับเห็นเขาลุกขึ้นไปเป่าไฟตะเกียงดวงหนึ่งดับ ครู่หนึ่งในห้องน้อยก็สลัวลง

‘ที่นายท่านไม่พูดอะไร คงคิดว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด นายท่านอาจเย้ยหยันซิ่วเอ๋อร์ เห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่หากเวลานี้ไม่โยนซิ่วเอ๋อร์ทิ้งไปไกลๆ วันหน้านายท่านจะต้องนึกเสียใจที่เลี้ยงเสือไว้เป็นภัยแก่ตัว…ซิ่วเอ๋อร์คิดแต่จะหาประโยชน์จากนายท่าน ต่ำช้าเลวทรามถึงเพียงนี้ ในหัวมีแต่ความคิดที่ไม่น่าดู ไหนเลยจะคู่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ยิ่งนายท่านทำดีกับข้ามากเท่าใด ต่อไปก็จะยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้น…’

ทันใดนั้นคนที่พูดอยู่ก็ได้แต่ร้องโอดครวญ ไม่อาจกล่าวต่อไปได้อีก เพราะใบหน้าถูกบีบเอาไว้ เหมือนว่ายิ่งพูดองค์ชายสามก็ยิ่งใช้วิธีจัดการรุนแรง เขารีบสะบัดหน้าหมายจะดิ้นหนี แต่กลับพบว่าใบหน้าถูกจับประคองไว้จนขยับไม่ได้ ได้แต่กลอกลูกตาจ้องเขม็ง ทันใดนั้นเขาก็ถูกรวบตัวไปกอดไว้ในอ้อมแขนอบอุ่นจนมองอะไรไม่เห็น ใบหน้าถูกขืนให้แหงนเงย จากนั้นก็ถูกประทับจูบอย่างรวดเร็ว

องค์ชายสามทำราวกับกำลังดูดดื่มน้ำผึ้งหวาน ประกบไว้ด้วยริมฝีปาก เคล้นคลึงดูดกลืน ใช้ฟันขบเบาๆ เหมือนอยากจะหยอกล้อให้ทรมาน ไล้เลียด้วยลิ้นราวกับอยากปลอบประโลม ชั่วพริบตาลิ้นก็แทรกไรฟันเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของหรูซิ่ว จนต่างคนต่างรู้สึกปั่นป่วนวาบหวาม

ร่างหรูซิ่วแทบจะอ่อนยวบหมดเรี่ยวแรง สองตาปิดลงอย่างไม่อาจต้าน ซบร่างสั่นสะท้านในอ้อมอกองค์ชายสาม เขาถูกจุมพิตจนสันหลังแอ่นโค้งเหมือนแมวที่กำลังยืดเหยียดบิดขี้เกียจหลังนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายเสมือนพองโต ในปากมีแต่เสียงร้องครางแผ่วเบา พอได้ยินเสียงตนดังเข้าหู หรูซิ่วก็ตื่นตะลึงจนลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นอีกฝ่ายหยุดนิ่ง ก้มมองเขาอย่างลึกซึ้งจากด้านบน

‘นาย…นายท่านทำเช่นนี้เป็นการรังแกคนอ่อนแอ ใช้ใหญ่ข่มเล็ก รู้ทั้งรู้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บไม่มีแรง ยังฉวยโอกาส…’ หรูซิ่วหอบน้อยๆ พอพูดได้ก็กล่าวโทษ

อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้า ใช้จุมพิตปิดปากที่ไม่ยอมใครอีกครั้ง หากสู้ไม่ได้ก็ได้แต่จูบเท่านั้น

องค์ชายสามไม่เคยพบศัตรูเช่นนี้มาก่อน ศัตรูที่เขารู้ชัดในใจว่าไม่อาจต้านทาน ตลอดมาคนที่แวดล้อมอยู่ข้างกาย หากไม่ใช่อ่อนน้อมยอมตาม ก็เต็มไปด้วยความเคารพหวาดกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโต้เถียงประชดประชัน แต่ละคำล้วนเสียดสี อันทำให้เขาเต้นเร่าด้วยเพลิงโทสะ และยังทำให้รู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาดด้วย

เด็กหนุ่มฝีปากกล้าและเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เป็นคนที่เขาเลี้ยงดูฟูมฟักมากับมือ

แม้องค์ชายสามจะเก่งกาจในเรื่องการปกครองและการเขียนบทความ แต่กลับไม่เชี่ยวชาญในด้านตีฝีปากโต้คารม โดยเฉพาะกับคนที่ชอบชี้กวางเป็นม้า กลับดำเป็นขาวเยี่ยงนี้ ครั้นเห็นเด็กหนุ่มปากคอเราะราย เอาแต่กล่าวโทษไม่หยุดปาก กดตัวเองเสียต่ำต้อยจนเขาแทบทนไม่ไหว ทำให้ในใจลึกๆ เขาเต็มไปด้วยความร้อนอยากจะตะคอกแต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม ด้วยเกรงว่าหากตอบโต้อย่างไม่เหมาะสม เด็กหนุ่มตรงหน้าก็จะยิ่งโวยวายหนักข้อ แต่หากทำเป็นไม่สนใจก็จะกลายเป็นการเย้ยหยัน ช่างบีบคนให้จนตรอกเสียจริงๆ บีบจนเขาไม่อาจกระดิกตัวทำอะไรได้ ขณะที่ร้อนใจ จู่ๆ ก็นึกถึงวิธีฝึกหมัดมวยที่เคยเรียนขึ้นมา ในความเคลื่อนไหวมีความสงบ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงปล่อยให้หรูซิ่วพูดจาเหน็บแนม ส่วนตัวเขาไร้การเคลื่อนไหวดุจภูผา

แล้วรอโอกาสใช้จูบทำให้งงงวยสับสน

กระทั่งเด็กหนุ่มอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมกอด องค์ชายสามจึงค่อยถอนจูบจากริมฝีปากเขา เห็นแววตาเขาเลื่อนลอย หอบหายใจเบาๆ พูดอะไรไม่ออกแม้เพียงครึ่งประโยค องค์ชายสามจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มตัวร้ายหมดหนทางต่อสู้เสียแล้ว เวลานี้หากไม่รุกไล่ให้แตกกระบวนทัพ แล้วจะรอเวลาใดอีกเล่า องค์ชายสามก้าวลงจากเตียงอย่างว่องไว ถอดเสื้อผ้าบนกายทิ้งลงพื้นอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงกางเกงตัวใน

‘นายท่านจะทำอะไร…’ หรูซิ่วได้สติอย่างช้าๆ ตกใจที่อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าออก ชั่วพริบตาก็รู้สึกเครียดเกร็งขึ้นมา

องค์ชายสามปราดเข้าไปหาคนตรงหน้า ร่างท่อนบนเปลือยเปล่าแนบชิดร่างเด็กหนุ่ม เขาพูดเสียงเฉียบขาด ‘เจ้าทำตามอำเภอใจได้ แล้วข้าทำไม่ได้หรือ’

‘ท่านจะทำอะไรกันแน่’ เหตุใดสายตาจึงเหมือนจะกินคนเช่นนี้

องค์ชายสามไม่ตอบ แต่บีบคางเขา นานครู่หนึ่งจึงเอ่ยเตือนออกมา ‘อย่าร้องไห้ และอย่าอ้อนวอน!’

หรูซิ่วใจเต้นรัว เขาคิดมาตลอดว่าผู้เป็นนายแม้เป็นบัณฑิตแต่ก็ไม่อ่อนแอ มีวรยุทธ์แต่ก็ไม่ป่าเถื่อน บัดนี้จึงรู้ว่าตนเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เขาไปยั่วยุจนคนผู้นี้เผยนิสัยป่าเถื่อนกระหายเลือดออกมาจนได้ แย่แล้ว! จูบเมื่อครู่ก็ยากจะรับไหวอยู่แล้ว แต่ดูท่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มทรมานเขาเลยด้วยซ้ำ

‘ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อกระมัง…’ หรูซิ่วหมดแรง เพราะองค์ชายสามอุ้มเขาขึ้นมาแล้วคุกเข่าบนเตียง

‘ยังถอดไม่เสร็จเรียบร้อยเลย’ องค์ชายสามจับข้อมือเขาที่ถูกมัด กึ่งบังคับให้เอานิ้วมือเกี่ยวขอบกางเกงของตน แล้วออกแรงดึงให้กางเกงหลุดลง กระทั่งดึงลงไปถึงต้นขา ส่วนล่างก็แข็งขืนพร้อมแล้ว

หรูซิ่วพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งประโยค เขาเคยรับใช้องค์ชายสามอาบน้ำมาก่อน แต่ตอนนั้นเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ อย่างน้อยก็มิได้ดูใหญ่โตแบบนี้

 

‘แท่งหยกชูชัน ส่วนปลายเปิดออก ส่วนหัวเผยออกมา ทั้งแข็งแกร่งและหยาบกร้าน’

 

ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ เขียนไว้เช่นนั้น แต่พอได้เห็นจริงๆ กลับน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า เขามองไม่วางตา อีกฝ่ายจับมือเขาไปสัมผัส แยกมือเขาออกให้กุมไว้ พอกุมแล้วแท่งหยกก็ยิ่งกระหายหาเป็นเท่าทวี

แน่ล่ะ หรูซิ่วย่อมเคยจับของตัวเอง แต่เวลานี้พอกุมของอีกฝ่ายไว้ในมือ กลับรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ชวนให้คึกคักยิ่งกว่า เขาอดกำมือแน่นขึ้นไม่ได้ กลางฝ่ามือทั้งสองข้างอุ่นร้อน ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าส่วนล่างของตนพลันแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เขามองดู ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่กางเกงขายาวและกางเกงตัวในของตนถูกดึงลงไปอยู่ที่หัวเข่า มือหนึ่งขององค์ชายสามกดที่บั้นท้ายเขา อีกมือเกาะกุมส่วนนั้นของเขาไว้

หรูซิ่วเงยหน้าขึ้นทันใด หัวสมองเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง ราวกับมีสายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดลงตรงหน้า องค์ชายสามลูบไล้เขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้! แม้จะเขินอายอย่างที่สุด แต่ก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันเสียวซ่านเช่นกัน โดยเฉพาะยามเมื่อมือองค์ชายสามที่เกาะกุมสิ่งนั้นเคลื่อนขึ้นลง เขาสั่นสะท้านไปทั้งกาย ความหฤหรรษ์ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งขึ้นในหัว หวังเพียงให้อีกฝ่ายไม่หยุดเคลื่อนขยับ

‘คราวที่แล้วข้าไม่ดีเอง’ องค์ชายสามเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชูชันไม่หยุด ก็เงยหน้ามองเขา ‘ซิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้วจริงๆ’

ในเวลาไม่นาน หรูซิ่วก็เติบโตจากเด็กน้อยเป็นหนุ่มน้อย ทั้งยังรูปงามถึงเพียงนี้ สมส่วนแข็งแกร่ง รูปร่างงดงาม ไหล่กว้าง ท่อนแขนมีกล้าม แต่ไม่ล่ำสันจนเกินงาม หน้าอกหน้าท้องไม่มีส่วนหย่อนยานแม้แต่น้อย ส่วนที่กระเพื่อมไหวก็ช่างมีเสน่ห์เหลือล้น ใต้เอวแกร่งคือบั้นท้ายงาม มือขององค์ชายสามสัมผัสได้ว่าบั้นท้ายนั้นทั้งเนียนมือและยืดหยุ่น พอได้ลูบไล้แล้วแทบไม่อยากรามือ

‘เวลานี้ท่านอย่าพูดอะไรเลย’ หรูซิ่วกัดฟัน ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกได้ว่ามือที่ลูบไล้ส่วนขยายใหญ่ของตนเคลื่อนจากหลังไปหน้า หน้าไปหลัง ทำเอาเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว ราวกับร่างกายจะดีดขึ้นมาเอง

‘ซิ่วเอ๋อร์เคยทำเช่นนี้กับตัวเองมาก่อนหรือไม่’ องค์ชายสามกุมส่วนนั้นของเขาไว้แน่น ขยับมือเคลื่อนขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด

หรูซิ่วรีบส่ายหน้า ‘ไม่เคย…อ๊ะ!’

องค์ชายสามฟาดมือกับบั้นท้ายเขาทันใด เสียงตีเนื้อดัง ‘เพียะ’ กังวานใส ขณะเดียวกันก็ต่อว่าเสียงเบา ‘เจ้าโป้ปด ไหนตอบอีกครั้งซิ’

‘เรื่องที่ท่านเคยทำ ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นก็คิดจะทำเช่นกันเสียหน่อย…อ๊ะ!’ หรูซิ่วซึ่งถูกกุมส่วนนั้นไว้ว้าวุ่นใจไปหมด อาศัยรวบรวมสติตอบกลับไป แต่ก็ถูกตีเข้าอีกครั้ง ทำเอาเขาขาอ่อน ร่างโงนเงนไปข้างหน้า

‘มัวเถียงอยู่อีก ยอมรับมาตามตรง!’ ขณะที่เตือน องค์ชายสามก็จับตัวเขาให้นั่งคุกเข่าหลังเหยียดตรง

‘…หากนายท่านบอกว่าเคยก็เคย’ เกิดเสียงดัง ‘เพียะ’ ขึ้นอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวร้องครวญครางออกมา ที่ก้นทั้งร้อนทั้งชา อาจเป็นเพราะตรงที่ถูกฟาดอยู่ใกล้กับส่วนนั้น พอยิ่งตีก็ยิ่งไปกระตุ้นเร้า จึงยิ่งแข็งขันชูชัน หรูซิ่วอับอายจนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอามือปิดหน้า

‘มีคนไม่ซื่อสัตย์ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับแบบเจ้าด้วยหรือ ให้ตอบอีกครั้ง ซื่อตรงกับข้าหน่อย’ องค์ชายสามใช้มือถูบั้นท้ายหรูซิ่วจนแดงเถือก ทั้งตีเบาๆ ทั้งลูบตลอดเวลา อีกมือยังคงจับส่วนนั้นไว้ ทว่าค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักมือ

หรูซิ่วหน้าแดงหูแดงไปหมด เอาแต่ซ่อนใบหน้าไว้หลังฝ่ามือตัวเอง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ‘เคยทำ เคยทำขอรับ…ซิ่วเอ๋อร์ยอมรับทุกอย่าง เคยทำมาทั้งหมด ท่านพอใจหรือยัง!’ มือขององค์ชายสามจู่โจมหน้าหลังพร้อมกัน ทำเอาเขาเสียวซ่านแทบทนไม่ไหว

‘ดูเจ้าสิ เพิ่งบอกว่าไม่หนาว แต่ตอนนี้ขนลุกตั้งชันไปหมด’ องค์ชายสามลูบไล้จากบั้นท้ายไปถึงต้นขาเขา ทันใดนั้นมือก็เปลี่ยนมาแนบกับหน้าท้อง ลูบไล้ขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วนวดคลึงสองจุดสีชมพูตรงหน้าอกซึ่งนูนเด่น คลึงเคล้นอย่างเชื่องช้า

หรูซิ่วขนลุกเกรียวโดยพลัน หน้าท้องกระเพื่อมเป็นระลอก เกิดความรู้สึกแปลกแปร่ง เขาอดยกมือออกแรงผลักมืออีกฝ่ายออกไม่ได้ ‘จั๊กจี้ ข้า ข้า…จะทนไม่ไหวแล้ว’

‘ใครอนุญาตให้เจ้าผลักออก ยกมือขึ้น’ องค์ชายสามตีหน้าขรึม เมื่อเห็นเขาไม่ยอมโอนอ่อนตามก็จับมือเขายกชูขึ้นสูง ตวาดสั่ง ‘ไม่อนุญาตให้วางลง ไม่ให้ขอร้องด้วย ข้าเตือนเจ้าไว้แล้วตั้งแต่แรก’

หรูซิ่วพบว่าสองมือองค์ชายสามนวดเฟ้นยอดอกของตนสองข้างพร้อมๆ กัน ฉับพลันทั่วแขนขาก็ซ่านเสียว สองขาอ่อนยวบทรุดลง แต่กลับถูกดึงให้ลุกขึ้นคุกเข่าแล้วนวดเคล้นซ้ำแล้วซ้ำอีก คลึงเฟ้นหนักมือจนหน้าอกเขาแทบจะเลือดออก บัดนี้หัวใจเขาล่องลอย จะกดไว้ก็ทำไม่ได้ ราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นคนละคน การเสียการควบคุมทำให้เขาว้าวุ่น อดออกปากอ้อนวอนไม่ได้ ‘เจ้า เจ้าหยุดก่อน อย่านวดอีกเลย’

เขาคิดไปว่าในหัวตนเต็มไปด้วยความปรารถนาหยาบโลน ทว่าองค์ชายสามเบื้องหน้าผู้ดูสุภาพเรียบร้อยกลับกล้าทำอะไรๆ ทั้งหมดผู้นี้คือคนที่หยาบโลนอย่างแท้จริง!

องค์ชายสามเห็นหรูซิ่วทั้งอายทั้งโกรธ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเปิดปากหรือหุบปากล้วนเรียกขานเขาว่า ‘นายท่าน’ และ ‘ท่าน’ บัดนี้ถูกกระตุ้นจนไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว คิดแล้วก็น่าขัน พอเขาเห็นตัวตนของหรูซิ่วชูชันแข็งตึงถึงขีดสุด ยอดอกสีชมพูถูกนวดคลึงจนแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างสั่นระริกก็พลันรู้สึกพึงพอใจ จึงคลายมือออก แล้วกระซิบข้างหู ‘กลั้นไว้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อยออกมา ยังมีเรื่องสนุกๆ อีก’

หมายความว่าอย่างไร หรูซิ่วมองด้วยความแปลกใจ ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำ แล้วก็พบว่าตนถูกกดให้นอนลงบนเตียง องค์ชายสามนั่งอยู่ข้างกายเขาในสภาพเปลือยเปล่า ไม่ให้เขาห่มผ้า และไม่แก้มัดที่ข้อมือให้ เพียงแค่กระดกสุราเข้าปาก ขณะที่หรูซิ่วกำลังตะลึงมอง องค์ชายสามก็พลันโน้มตัวลงมา นำสิ่งแข็งขันสีเนื้อที่ตั้งชูชันตลอดเวลาของเขา ใส่เข้าไปในปากที่อมสุราไว้

อา หยาบโลนที่สุด! ไม่ได้การ เขาแทบจะระเบิดออกมาแล้ว! หรูซิ่วดีดตัวขึ้น ขาที่เหยียดยาวคู้งอ แต่กลับถูกองค์ชายสามกดไว้อย่างว่องไว เขาอ้าปากกัดหลังมือตัวเอง ไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา

ไม่คิดมาก่อนเลยว่าองค์ชายสามผู้สุภาพสง่างามจะกำลังจัดการกับส่วนนั้นของเขาอยู่ ลิ้นโลมเลียไม่หยุด ปลายลิ้นสะกิดยั่วเกี่ยวกระหวัด ดุนดันส่วนปลายครั้งแล้วครั้งเล่า รัวเร็วขึ้นทุกที

หรูซิ่วบิดกายเร่าๆ รู้สึกเพียงตัวตนที่ถูกห่อหุ้มไว้ในปากอีกฝ่ายเสียวซ่านขึ้นทุกที เหมือนมีสายฟ้าแล่นวาบไปทั่วร่าง จากปลายแขนขาไหลลงสู่ส่วนนั้น ทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยความหฤหรรษ์อย่างต่อเนื่อง หรูซิ่วกัดฟันร้องคราง แทบจำเสียงตัวเองไม่ได้ เขาไม่อาจคว้าจับสำนึกใดๆ ได้เลย อยากจะท่องถ้อยคำใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ก็นึกไม่ออกสักคำ ทันใดนั้นปลายแท่งหยกที่ถูกโลมเลียก็ใกล้จะระเบิดออก เขาครางลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แล้วก็รีบกัดหลังมือตัวเองไว้อย่างแรง รู้สึกราวกับตนกำลังจะพังทลาย คล้ายสายสร้อยมุกงามขาดร่วงหล่นลงบนถาดหยก สายป่านว่าวตึงจนขาดสะบั้น คันศรแกร่งถูกหัก

เขาไม่อยากทำเลอะเทอะต่อหน้าองค์ชายสาม เขาคือซิ่วเอ๋อร์ที่สดใสแสนบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างกายนายท่านนะ! หรูซิ่วกัดฟันแน่น แต่ก็กลั้นไม่อยู่ ละล่ำละลักทั้งร้องครวญอ้อนวอนทั้งขู่ตะคอก ‘อย่าเลียอีกเลย รีบปล่อยเถิด!…คนอย่างเจ้าข้างในกับข้างนอกต่างกันนัก บัณฑิตจอมปลอม ช่างหยาบโลนจริงๆ อ๊า!’

ในที่สุดความวาบหวามที่กดเก็บไว้ลึกภายในก็ถูกกระตุ้นจนถึงจุดสูงสุด เด็กหนุ่มตัวสะท้าน แท่งหยกแข็งตึงถึงขีดสุด องค์ชายสามรีบลุกขึ้น เปลี่ยนเป็นเอามือกุมไว้ จากนั้นก็มองดูหรูซิ่วหนุ่มน้อยผู้แสนบริสุทธิ์งดงาม แอ่นตัวกระตุกพลางพ่นของเหลวออกจากช่องเล็กตรงส่วนปลายไม่หยุด โดยมีอุ้งมือของตนโอบกุมไว้…

ฉากพิศวาสในห้องหนังสือช่างยวนใจ สติล่องลอยไปถึงก้อนเมฆ วิญญาณดำดิ่งลึกลงใจกลางทะเลชิงไห่ เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว คิดว่าในที่สุดก็จบลงแล้ว

 

* นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวนหมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย

    By

      มรสุมพลันสาดซัด เด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด   ราตรีล่วงผ่านไปโดยไม่อาจข่มตาหลับ วันถัดมาฟ้าเพิ่งจะสาง หรูซิ่วก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตู...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย

    By

    เด็กหนุ่มรูปงาม อุทิศตนเป็นบ่าวรับใช้   ในห้องที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ คนทั้งสองหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่ามกลางความมืด...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    แสงดาราพาดผ่าน ดวงชะตาเคลื่อนคล้อย   กลางดึก รถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากเมืองอย่างช้าๆ ระหว่างที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ตัวรถก็ส่ายไปซ้ายทีขวา...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 1 #นิยายวาย

    By

    สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ฝันร้ายอันยากจะลืม   ความจริงแล้ว...เขาแตกต่างจากผู้อื่นที่ใดกันแน่ เหตุใดใครๆ จึงต่างรังเกียจเขาเช่นนี้   ส...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.2   เมื่อกลับมาถึงวังอ๋อง เนื่องจากเหตุการณ์ของชายาทำให้บรรยากาศในวังยังคงอึมครึม ข้าเรียกคนให้หยิบกาสุรามาดื่มในสวนเล็กของตำหน...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.1   วันถัดมา ข้าเข้าวังเพื่อกราบทูลผลการลงโทษชายาต่อฝ่าบาทและไทเฮา เดิมทีข้าจะไปเข้าเฝ้าฉีเจ่อก่อน แต่ขันทีน้อยบอกข้าว่าฝ่าบาทก...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 2   ข้าย่างเท้าออกจากประตูตะวันออกของอุทยานหลวงภายใต้แสงสายัณห์ ยังไม่ทันเดินออกมาได้ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากทางเบื...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com