ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 1
ยามนั้นเว่ยเซ่าที่เพิ่งอายุได้สิบสองปีก็ติดตามบิดากับพี่ชายไปออกรบด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากได้ขุนนางและบริวารสละชีพเพื่ออารักขาเขาเอาไว้ สุดท้ายจึงสามารถฝ่าวงล้อมอันแน่นหนาแล้วถอยหนีกลับไปจนถึงมณฑลโยวโจวได้
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น สกุลเฉียวได้ให้คำชี้แจงมากมายต่อเรื่องที่ตนถอยทัพไปกลางคัน ยามที่สกุลเว่ยจัดงานศพก็ส่งบิดาของเสี่ยวเฉียวไปร่วมไว้อาลัยด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าสกุลเว่ยไม่ยอมรับคำแก้ต่างของสกุลเฉียวเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว เว่ยเซ่าในวัยสิบแปดซึ่งยามนั้นผู้คนขนานนามว่า ‘จอมอหังการน้อย’ ก็นำทัพออกไล่ล่าข้าศึกด้วยตนเองจนปลิดชีพหัวหน้าทัพกบฏเมืองเฉินผู้สังหารบิดากับพี่ชายของตนได้ที่ชายฝั่งทะเลตงไห่ แรกสุดหัวหน้าทัพกบฏผู้นั้นถูกเฉือนเนื้อทั้งเป็นก่อน ต่อเมื่อลงมีดครบพันครั้งแล้วจึงถึงแก่ความตายในที่สุด จากนั้นยังถูกสับเนื้อจนเละป้อนลงสู่ท้องปลา สภาพอันโหดร้ายทารุณนั้นชวนให้ผู้คนขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
ไม่นานนักท่านปู่ของเสี่ยวเฉียวก็ล้มป่วยจนถึงแก่กรรม
เล่ากันว่าหลังจากเขาตาย เว่ยเซ่าซึ่งได้ข่าวขณะบุกตีเมืองเหอเจียนก็เอ่ยประโยคหนึ่งอย่างเย็นชาว่า ‘โจรเฒ่าหัวหงอก ตายไปก็สมควร’
เพียงเท่านี้ก็คาดเดาได้แล้วว่าเว่ยเซ่าเคียดแค้นสกุลเฉียวลึกล้ำเพียงใด ทว่าบัดนี้เฉียวเยวี่ยกลับคิดอาศัยการดองญาติไปผูกไมตรีกับเว่ยเซ่า แล้วเฉียวผิงจะเห็นพ้องได้อย่างไรเล่า
เขาเคยเสนออย่างแข็งขันและพูดโน้มน้าวให้เฉียวเยวี่ยทุ่มกำลังรบกับข้าศึกดูสักตั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะไร้โอกาสในการเอาชัย แต่ไม่ว่าเขาจะเพียรโน้มน้าวอย่างไร ผู้เป็นพี่ชายกับเหล่าขุนนางบริวารก็ยังคงหนุนให้เลี่ยงการศึกอย่างเต็มที่
เฉียวเยวี่ยเป็นผู้นำของสกุล และเป็นผู้มีตำแหน่งสูงสุดในพื้นที่มณฑลเหยี่ยนโจว หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับฟังถ้อยคำของตนเช่นนี้ เฉียวผิงก็อับจนปัญญาแล้วจริงๆ
ยิ่งยามนี้เฉียวเยวี่ยส่งทูตไปยังมณฑลจี้โจวอันเป็นที่พำนักปัจจุบันของเว่ยเซ่าแล้วด้วย เขาจึงกระวนกระวายรอคอยคำตอบอยู่
สองปีมานี้เสี่ยวเฉียวแอบหวังมาตลอดว่าทุกเรื่องในฝันของตนจะเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ทว่ารอจนเวลาค่อยๆ ล่วงผ่านไป นางก็ต้องหวาดผวาเมื่อพบว่าเรื่องเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นความจริงทั้งสิ้น ประหนึ่งเป็นคำพยากรณ์ก็ไม่ปาน เรื่องราวกำลังดำเนินไปทีละก้าวตามลำดับเวลาที่นางล่วงรู้
หากเป็นดังที่นางเห็นในฝัน เช่นนั้นเว่ยเซ่าก็จะตอบรับงานมงคลนี้ ทว่าหลังจากต้าเฉียวออกเรือนไปแล้ว ชะตาของอีกฝ่ายกลับถูกลิขิตให้เต็มไปด้วยวิบากกรรม บทสรุปยังน่าสังเวชใจยิ่งกว่าจุดจบของนางในฝันเสียอีก
นับตั้งแต่วันแรกที่ต้าเฉียวแต่งเข้าสกุลเว่ย เว่ยเซ่าผู้เป็นสามีก็ไม่เคยแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย หลายปีให้หลังเมื่อเว่ยเซ่าสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แล้ว สกุลเฉียวทั้งตระกูลบ้างก็ตาย บ้างก็พลัดพราก ต้าเฉียวจำต้องกลืนทองคำเพื่อจบชีวิตตนเอง เว่ยเซ่าแต่งตั้งสตรีอีกคนขึ้นเป็นฮองเฮา ต้าเฉียวก็เดินไปจนสุดปลายทางของชีวิตในลักษณะเช่นนี้
“หมานหมาน…” ท่ามกลางความมืดสลัว เสี่ยวเฉียวได้ยินต้าเฉียวเอ่ยเรียกชื่อเล่นของตน “สกุลเว่ยเคียดแค้นคนสกุลเฉียวของพวกเรา เว่ยเซ่าผู้นั้นคงไม่ตอบรับงานมงคลนี้หรอก เจ้าว่าใช่หรือไม่”
สุ้มเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง
สองสามวันมานี้เฉียวผิงผู้เป็นบิดาสั่งให้เสี่ยวเฉียวอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบโยนพี่สาวให้มาก แต่เสี่ยวเฉียวกลับรู้สึกลึกๆ ว่าคำปลอบโยนใดนั้นก็ล้วนแต่อ่อนด้วยเหตุผลและไร้ซึ่งพลัง ไม่ก่อประโยชน์อันใดเลยสักนิด
“ใช่ น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เสี่ยวเฉียวขานตอบพลางคลำหามือของพี่สาวแล้วค่อยๆ เกาะกุมเอาไว้
นิ้วมือของนางสัมผัสถูกความเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง มือข้างนั้นไม่มีไออุ่นแม้แต่น้อย
เหมือนว่าต้าเฉียวจะคลี่ยิ้ม
ขณะที่เสี่ยวเฉียวรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง นางก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปาก “หมานหมาน เจ้าเองก็ไม่ได้พบหน้าหลิวซื่อจื่อมาระยะหนึ่งแล้วสินะ”
‘หลิวซื่อจื่อ’ ที่ต้าเฉียวเอ่ยถึงคือคู่หมั้นของเสี่ยวเฉียวในเวลานี้ ซึ่งก็คือ ‘โฮ่วตี้หลิวเหยี่ยน’ ผู้เป็นสามีของเสี่ยวเฉียวในห้วงฝัน ยามนี้เขายังเป็นเพียงซื่อจื่อ แห่งหลางหยา
เสี่ยวเฉียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินต้าเฉียวเอ่ยถึงเขา
ช่วงที่ผ่านมานี้ ไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืน ลืมตาหรือหลับตา สิ่งที่นึกถึงล้วนมีแต่เรื่องออกเรือนของญาติผู้พี่ทั้งสิ้น จนนางเกือบลืมไปเสียสนิทว่าตนก็เป็นหญิงที่มีพันธะหมั้นหมายติดตัวอยู่เช่นกัน อีกทั้งกำหนดแต่งงานนั้นก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว เป็นปีหน้านี่เอง
“หมานหมาน หากสกุลเว่ยตอบรับงานมงคล พี่สาวคนนี้ก็คงได้แต่แต่งออกไปแล้ว แดนเหนืออยู่ไกลโพ้น ตอนที่เจ้าเข้าพิธีแต่งงานในปีหน้า เกรงว่าพี่สาวคงมิอาจกลับมาร่วมงานเจ้าได้ วันหน้าพวกเราพี่น้องคงยากจะได้พบกันอีก ยังดีที่เจ้ากับซื่อจื่อมีใจดวงเดียวกัน หลังแต่งงานต้องรักใคร่แน่นแฟ้นเป็นแน่ พี่สาวไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวลเลย”
ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ เสี่ยวเฉียวพลันเศร้าใจ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา
ต้าเฉียวมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของน้องสาว ยังคงแย้มยิ้มเอ่ยต่อ “แต่ไรมาฝีมือเย็บปักถักร้อยของเจ้าก็ไม่เท่าไร สองปีมานี้ก็ยิ่งใช้ไม่ได้มากขึ้น พี่สาวยังไม่มีสิ่งใดมอบให้เจ้า ก่อนหน้านี้จึงคิดได้ว่าปีหน้าเจ้าก็จะออกเรือนแล้ว สกุลหลิวเป็นถึงราชนิกุล ถึงเวลานั้นงานฝีมือที่จะมอบเพื่อแสดงความกตัญญูต่อคนสกุลหลิวจะสะเพร่าไม่ได้ ดังนั้นเมื่อตอนต้นปีพี่สาวกับชุนเหนียงจึงฉวยโอกาสที่ว่างเว้นจากงานมาช่วยเจ้าทำสิ่งของไว้บ้างแล้ว ตอนนี้เก็บอยู่ที่ชุนเหนียง สิ่งที่เตรียมไว้ก็เกือบจะครบถ้วน ขาดก็แต่รองเท้าชื่อซี่* ที่จะมอบให้พ่อสามีของเจ้า เพราะสิ้นเปลืองเวลามากจึงเก็บเอาไว้เป็นอย่างสุดท้าย พี่สาวเริ่มต้นไว้แล้ว แต่ยังจัดสีไม่ลงตัว เจ้าจะดูหรือไม่ว่าแบบใดถึงจะดี พวกเรามาหารือกันเถอะ…”
ต้าเฉียวขยับตัวหมายจะคลานออกจากผ้าห่ม ทว่าเสี่ยวเฉียวกลับกดร่างนางไว้ พยายามเอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่มั่นคง “ขอบคุณพี่สาว แต่ยังไม่ต้องดูหรอก พี่สาวเองก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พวกเรานอนกันเถิด”
ต้าเฉียวกล่าว “ก็ข้าร้อนใจนี่ กลัวว่าทำไม่ทันเสร็จก็ต้อง…” นางชะงักคำพูดไป นิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจแล้วค่อยเอ่ยปนยิ้ม “พรุ่งนี้ก็ได้ นอนก่อนแล้วกัน”
ในห้องเงียบเชียบลง
ดูเหมือนต้าเฉียวจะหลับสนิทดี เพราะนางไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย เสียงลมหายใจก็สม่ำเสมออย่างยิ่ง
เมื่อแรกเสี่ยวเฉียวยังคงนอนไม่หลับ จวบจนเลยเที่ยงคืนเข้าสู่ครึ่งคืนหลังไปแล้ว ในที่สุดความง่วงงุนก็เริ่มจู่โจมนาง ขณะที่สติรับรู้เริ่มเลือนรางพลันรู้สึกได้ว่าต้าเฉียวซึ่งนอนอยู่ด้านนอกของตนขยับตัว จากนั้นคลานลงจากเตียงไปอย่างเบามือเบาเท้า ทว่าอีกฝ่ายกลับมิได้จุดตะเกียง อาศัยเพียงแสงจันทร์ที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา แล้วสวมอาภรณ์ในความมืด จากนั้นจึงมุ่งไปเบื้องนอกอย่างแผ่วเบา นางเปิดประตูอย่างช้าๆ เดินผ่านข้างกายสาวใช้ซึ่งหลับเป็นตายอยู่ที่ห้องชั้นนอก แล้วออกจากห้องนอนไป
แรกเริ่มเสี่ยวเฉียวนึกว่าพี่สาวตื่นไปห้องปลดทุกข์จึงไม่ได้ส่งเสียง แต่ในใจยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ รอจนอีกฝ่ายออกไปแล้วนางจึงค่อยฉุกคิดได้เรื่องหนึ่งซึ่งเคยเกิดขึ้นในฝันร้ายซึ่งเป็นชาติก่อนของเจ้าของร่างเดิม หัวใจของนางพลันหนาววูบ รีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่องไว หลังจากสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วก็กลั้นหายใจเดินย่องตามอีกฝ่ายออกไปอย่างแผ่วเบา
ราตรีนี้แสงจันทร์เย็นกระจ่าง ฉายส่องทั้งลานจนดูวิเวกวังเวง ตอนที่นางย่างเท้าข้ามธรณีประตูออกมาก็เห็นเงาร่างของต้าเฉียวแวบผ่านข้างหน้าต่างฉลุลายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าต้าเฉียวจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสวนดอกไม้ท้ายจวน