ณ ส่วนลึกของพุ่มพฤกษาในสวนดอกไม้ท้ายจวนสกุลเฉียว ขณะนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังรอคอยอยู่ตรงนั้น
รูปโฉมของเขาองอาจคมสัน รูปกายกำยำปราดเปรียวประดุจเลี่ยเป้า กล้ามเนื้อทุกมัดล้วนซ่อนแฝงพละกำลังมหาศาลที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
เขายืนนิ่งอยู่ตรงมุมมืดซึ่งแสงจันทร์ฉายส่องไม่ถึง เงาหลังถูกสีแห่งรัตติกาลกลืนหาย หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับค่ำคืนอันไร้ขอบเขต เขารอคอยอยู่ที่นี่นานแล้ว อาภรณ์ผ้าป่านเนื้อหยาบที่บางเบาและเต็มไปด้วยรอยปะชุดนั้นถูกความหนาวของราตรีในฤดูเหมันต์แทรกซึมจนตลอดร่างแผ่ซ่านไปด้วยไอเย็น ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเหน็บหนาวแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้เลยว่านางในดวงใจของตนซึ่งเป็นถึงคุณหนูแห่งจวนผู้ว่าการที่สูงศักดิ์เหนือใครนั้นจะยอมมาพบเขาที่นี่หรือไม่ ยามนี้ในหัวใจของเขาราวกับมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ แม้เปลวไฟนี้จะอ่อนแรงและเล็กจ้อยเสียจนอาจดับมอดลงเมื่อใดก็ได้ ทว่ามันกลับเพียงพอจะทำให้ร่างกายของเขาได้รับความอบอุ่นท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวยะเยือกนี้
เขาไม่รู้ว่าบิดามารดาของตนเป็นผู้ใด รู้แต่เพียงว่าตนเกิดมาพร้อมนัยน์ตาสีมรกตที่ทอแสงเรืองรองยามราตรี บางทีบิดามารดาอาจนึกว่าเขาเป็นมารปีศาจจึงทอดทิ้งเขาซึ่งเป็นเพียงทารกไว้ข้างเล้าสุกรใกล้โรงเลี้ยงม้าของสกุลเฉียว ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายปกคลุมทั่วผืนดินนั้น เขากลับไม่แข็งตาย และยังได้แม่สุกรพาเข้ามาในเล้า ดื่มกินน้ำนมของแม่สุกรจนอยู่รอดมาได้ หลังจากหัวหน้าโรงเลี้ยงม้ามาพบเข้าก็เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์จึงรับเลี้ยงเขาเอาไว้ เมื่อเติบใหญ่เขาจึงกลายมาเป็นบ่าวเลี้ยงม้าของสกุลเฉียว
เขาไม่มีชื่อแซ่ เนื่องจากยามที่ถือกำเนิดถูกทิ้งไว้ข้างเล้าสุกร ‘ปี่จื้อ’ ซึ่งแปลว่าเฉกเช่นสุกรจึงกลายมาเป็นนามของเขา
เมื่อติดตามมาถึงสวนดอกไม้ท้ายจวนแล้ว เสี่ยวเฉียวก็แลเห็นแต่ไกลว่าญาติผู้พี่ถูกชายหนุ่มที่เดินออกมาจากเงามืดนั้นโอบกอดไว้ในคราวเดียว จากนั้นนางก็ออกแรงจนดิ้นหลุด เหมือนว่านางกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา เมื่อพูดจบแล้วก็ก้มศีรษะกำลังจะหมุนกายออกเดิน ทว่าย่างเท้าได้เพียงสองก้าวก็ถูกชายหนุ่มโอบรั้งเอวจากด้านหลังอย่างแนบแน่น
ต้าเฉียวหยุดชะงัก แต่เพียงครู่เดียวก็ดิ้นจนหลุดและเดินจากไปอีกครา
ครั้งนี้ชายหนุ่มมิได้ไล่ตามนางไปอีก เพียงหยุดอยู่ตรงนั้น ทอดตามองเงาหลังของนางเคลื่อนห่างออกไปทีละน้อย สุดท้ายเขาจึงทรุดเข่าลงช้าๆ จนสองเข่าสัมผัสกับพื้น เงาร่างสีดำนั้นคล้ายกับถูกผนึกจนแข็ง แน่นิ่งไม่ไหวติง
หัวใจของเสี่ยวเฉียวเต้นตึกตักขณะเร่งรุดกลับมาที่ห้อง สาวใช้ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา เสี่ยวเฉียวเดินผ่านข้างกายอีกฝ่ายกลับเข้าห้องชั้นใน คลานขึ้นเตียงแล้วเลิกผ้าห่มนอนลงดังเดิม เพิ่งจะปิดตาลงก็แว่วเสียงแอ๊ดเบาๆ จากประตูห้องชั้นนอก ตามด้วยเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา ต้าเฉียวก็กลับมาแล้วเช่นกัน
อาจเพราะใจคอของต้าเฉียวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะเดินผ่านข้างเตียงนอนของสาวใช้ เท้าจึงเผลอไปเกี่ยวม้านั่งตัวเล็กที่อยู่เบื้องหน้าเตียงสาวใช้เข้า ม้านั่งตัวนั้นถูกเกี่ยวจนล้มคว่ำบังเกิดเสียงดังปัง สาวใช้สะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน พอเบิกตาขึ้นก็แลเห็นเงาตะคุ่มของคนผู้หนึ่งอยู่ด้านข้าง ขณะตื่นตระหนกกำลังจะเปล่งเสียงร้อง นางก็มองออกว่าอีกฝ่ายคือต้าเฉียว
“ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด เมื่อครู่ข้าไปห้องปลดทุกข์มาเท่านั้น”
เสียงของต้าเฉียวที่ดังมานั้นสงบราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น สาวใช้ไม่แคลงใจว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นจึงรีบยกม้านั่งตัวเล็กตั้งขึ้น
เสี่ยวเฉียวแว่วเสียงถอดเสื้อนอกดังสวบสาบอยู่นอกม่านมุ้ง จากนั้นม่านมุ้งก็ถูกแหวกเปิดเป็นช่อง ต้าเฉียวคลานขึ้นเตียงอย่างเบามือเบาเท้าหันหน้าออกด้านนอก หันหลังให้เสี่ยวเฉียวแล้วก็เอนร่างลงช้าๆ แรกเริ่มนางนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับเอนกายลงแล้วหลับใหลไปทันที ทว่าชั่วครู่ต่อมาหัวไหล่ก็เริ่มสะท้านนิดๆ ท่ามกลางราตรีเงียบสงัด เสียงสะอื้นแผ่วที่พยายามกดข่มไว้ก็แว่วเข้าหูของเสี่ยวเฉียว
ความคิดของเสี่ยวเฉียวทำสงครามกันไปหนึ่งคำรบ ขณะลังเลว่าจะตัดสินอย่างไรดีนั้นก็ได้ยินต้าเฉียวที่อยู่ข้างหมอนสะอื้นจนลมหายใจติดขัด อีกฝ่ายคงกลัวจะกวนตนจนตื่นถึงได้กลืนเสียงลงไปเสียดื้อๆ ทว่าหัวไหล่กลับสั่นสะท้านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เสี่ยวเฉียวลืมตาแล้วเบือนหน้าไปมองเงาหลังของอีกฝ่ายซึ่งขดตัวแน่นจนเป็นก้อน ในที่สุดนางก็กัดฟันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ขยับเข้าไปชิดญาติผู้พี่ที่นอนหันหลังให้กับตน เหยียดแขนไปโอบเอวนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายเบาๆ จากด้านหลังพลางยื่นหน้าเอ่ยกระซิบที่ข้างหู “พี่สาว อย่าร้องไห้อีกเลย เมื่อครู่ตอนที่ท่านออกไป ข้าก็ตามท่านออกไปด้วย ข้าเห็นหมดทุกอย่างแล้ว”
ต้าเฉียวตัวแข็งทื่อไปชั่วอึดใจก่อนพลิกกายกลับมาชี้แจงอย่างร้อนรน “หมานหมาน เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด! พี่สาวเพียงแค่…”
เสี่ยวเฉียวยื่นมือไปป้องปากญาติผู้พี่ แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายเงียบเสียงลงก่อนจะลงจากเตียงไปฟังเสียงอยู่ที่ข้างประตูอย่างเบามือเบาเท้า รอกระทั่งได้ยินเสียงขบฟันเบาๆ ของสาวใช้ที่อยู่ห้องชั้นนอกแล้วจึงค่อยกลับมาจุดตะเกียงน้ำมัน