ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 1
ต้าเฉียวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างแช่มช้า เรือนผมเงางามดุจเส้นไหมสีดำทิ้งตัวเฉียงลงมาปรกคอและบ่า สองมือขยุ้มผ้าห่มที่กองอยู่ข้างเอวด้วยความเคร่งเครียด สีหน้าของนางซีดขาว เปลือกตาระบายสีชมพูเรื่อดั่งเช่นผู้ที่เพิ่งผ่านการร่ำไห้มา พวงแก้มยังคงมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ท่าทางยามที่นางตะลึงมองเสี่ยวเฉียวอยู่เช่นนี้ช่างงดงามชวนให้ผู้คนถนอมยิ่งนัก
รอจนเห็นเสี่ยวเฉียวถือตะเกียงน้ำมันมาวางบนฐานรองตะเกียงตรงหัวเตียงแล้ว ต้าเฉียวถึงได้สติคืนมา รีบคว้ามือของญาติผู้น้องมากุม เอ่ยเสียงเบาอย่างกระวนกระวายใจ “หมานหมาน พี่สาวไม่ได้คิดอื่นใดจริงๆ เพียงแต่ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เบื้องนอกเหน็บหนาวออกเพียงนั้น พี่สาวไม่อยากให้คนผู้นั้นคอยเก้ออยู่ในสวนไปเรื่อยๆ อีกอย่างหากถูกผู้อื่นพบเห็นเข้าจะเกิดเรื่องโดยใช่เหตุ ถึงได้ไปบอกให้เขาจากไปเสีย…”
มือทั้งคู่ของต้าเฉียวเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง และกำลังสั่นสะท้านเล็กน้อยเช่นเดียวกับสุ้มเสียงของนางในขณะนี้
เสี่ยวเฉียวพลิกมือมาเกาะกุมมือของต้าเฉียว เอ่ยพลางพิศมองอีกฝ่าย “พี่สาว ข้าเห็นคนผู้นั้นแล้ว แต่ท่านไม่ต้องกลัวไป เพราะข้าไม่บอกผู้อื่นแน่ เพียงแต่ท่านชมชอบเขา…ใช่หรือไม่”
พวงแก้มของต้าเฉียวซึ่งเดิมทียังซีดขาวค่อยๆ ผุดสีแดงระเรื่อขึ้น นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนประสานสายตากับเสี่ยวเฉียว ผงกศีรษะเอ่ยเสียงเบา “เขามีฐานะต่ำต้อยก็จริง ทว่าเขาก็ดียิ่ง ดีอย่างยิ่งจริงๆ…”
ปี่จื้อเติบใหญ่ที่โรงเลี้ยงม้าสกุลเฉียว เขาเงียบขรึมราวกับเป็นคนใบ้ แต่กลับมีร่างกายกำยำล่ำสัน เรี่ยวแรงไร้ขีดจำกัด วิ่งเร็วจนสามารถไล่กวดสายลมได้ทีเดียว อีกทั้งยังรู้จักลักษณะม้าแต่ละตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าม้าจะพยศสักเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องเชื่อ ด้วยเหตุนี้หัวหน้าโรงเลี้ยงม้าจึงย้ายเขาไปทำหน้าที่เป็นบ่าวผู้ดูแลม้าในยามที่เจ้านายออกเดินทาง หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มปรากฏตัวเข้าสู่สายตาของต้าเฉียวบุตรสาวของผู้ว่าการมณฑล
ทว่าในช่วงเวลาอันยาวนาน…ซึ่งยาวนานต่อเนื่องมาหลายปีนี้ ความทรงจำเดียวที่บ่าวหนุ่มผู้มีรูปหน้าคมสันและมีนัยน์ตาแปลกพิเศษผู้นี้มอบให้แก่ต้าเฉียวนั้นก็คือทุกครั้งที่เขาคุกเข่าเป็นม้านั่งมนุษย์ให้นางขึ้นลงรถม้า ล้วนให้ความรู้สึกมั่นคงกว่าบ่าวคนอื่นมากโข
ยามที่ย่างขึ้นไปบนแผ่นหลังและบ่าของเขา ใต้ฝ่าเท้าของนางจะนิ่งสนิท มั่นคงประหนึ่งเหยียบลงบนหินผาก้อนใหญ่
จวบจนเมื่อสามปีก่อนต้าเฉียวถึงเริ่มจดจำบ่าวผู้นี้อย่างใส่ใจ ยามนั้นคู่หมั้นของนางตายจากไปแล้ว แม้ทั้งสองจะไม่เคยพบหน้าค่าตากัน ทว่าสำหรับนางก็ยังคงเป็นเรื่องที่ชวนเศร้าใจ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นางจะคอยติดตามมารดาไปจุดธูปขอพรที่วัดฉางเซิงที่ตั้งอยู่นอกเมืองบ่อยครั้ง วันหนึ่งระหว่างเดินทางกลับ จู่ๆ ม้าก็ตื่นจนสลัดคนบังคับรถร่วงจากรถม้าแล้ววิ่งตะบึงไปพร้อมกับตัวรถ นางกับมารดาติดอยู่ภายในตัวรถที่กระเด้งกระดอนจนอาจพลิกคว่ำหรือถึงขั้นพลิกตกถนนได้ทุกเมื่อ ขณะที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่นั้น เสียงเป่าปากอันแหลมสูงเฉียบคมก็ดังมาจากเบื้องหลัง จากนั้นคนผู้หนึ่งก็ไล่กวดมาถึงอย่างว่องไว เช่นนี้เองม้าจึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลงจนหยุดฝีเท้าอยู่ข้างทางในที่สุด
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถทั้งที่ยังหน้าซีดขวัญผวามิคลาย ต้าเฉียวก็ได้เห็นชายหนุ่มที่เพิ่งไล่ตามมาช่วยสยบม้าตื่นผู้นั้นคุกเข่าอยู่บนพื้นข้างทาง ยามนั้นบ่าวเลี้ยงม้าผู้นี้ก็ช้อนตาขึ้นมาพอดี
จวบจนบัดนี้นางก็ยังจดจำเขาในตอนนั้นได้…วันนั้นท้องนภาแจ่มใส อากาศปลอดโปร่งสดชื่น สายลมนุ่มนวลชวนสบายใจ ภายใต้แสงตะวันแรงกล้า นัยน์ตาสีมรกตของเขาดูเป็นประกายดุจดังแก้วเจียระไน
นับจากวันนั้นนางก็จดจำนามของเขาไว้…ปี่จื้อ
ต้าเฉียวแค้นใจที่ตนขาดวาทศิลป์ กระทั่งไม่รู้ว่าควรใช้ถ้อยคำเช่นไรถึงจะพูดโน้มน้าวน้องสาวที่มาล่วงรู้ความลับของตนให้ยอมเชื่อว่าปี่จื้อดียิ่ง ดีอย่างยิ่งจริงๆ อย่างน้อย…ในสายตาของนางก็เป็นเช่นนั้น
เลือดลมพลันสูบฉีดขึ้นใบหน้าจนแดงซ่านไปทั้งดวง นางเบิกตาโตมองเสี่ยวเฉียวอย่างร้อนรนกระวนกระวาย
เสี่ยวเฉียวคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “พี่สาว ไม่ต้องให้ท่านบอกหรอก ข้าก็รู้ว่าเขาดียิ่ง เมื่อครู่ตอนที่เขานัดท่านออกไปพบเพราะอยากจะพาท่านจากไปใช่หรือไม่”
ดูเหมือนต้าเฉียวจะตื่นตระหนกมิใช่น้อย นางรีบสั่นศีรษะเป็นอันดับแรก ชั่วครู่ต่อมาจึงก้มหน้าลงช้าๆ รอจนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งขึ้นมาก แล้วเอ่ยตอบอย่างแช่มช้า “หมานหมาน ข้าไม่ไปกับเขาหรอก เมื่อครู่ข้าบอกกับเขาชัดเจนแล้ว เจ้าวางใจได้ วันหน้าข้าจะไม่พบเขาอีก”
“พี่สาว ให้เขาพาท่านจากไปเถิด ท่านอย่าได้รั้งอยู่ที่นี่เลย” เสี่ยวเฉียวกล่าว
ต้าเฉียวตะลึงงัน นิ่งมองอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ค่อยคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นขมเฝื่อนนิดๆ “เด็กโง่ เจ้านึกว่าข้าไม่บริสุทธิ์แล้วสินะ กลัวข้าออกเรือนไปแล้วถูกจับได้ใช่หรือไม่ เจ้าวางใจเถิด ข้ากับเขาบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มีอันใดทั้งสิ้น”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”
เสี่ยวเฉียวยื่นหน้าไปที่ข้างหูนาง
“พี่สาว ท่านจำเป็นต้องไป สกุลเว่ยจะตอบรับงานมงคลนี้แน่นอน หากท่านไม่จากไปเสียตอนนี้ ท่านก็ต้องรอออกเรือนสถานเดียว ออกเรือนไปเช่นนี้ชั่วชีวิตของท่านก็จบสิ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…ท่านก็มีบุรุษที่ชอบพออยู่แล้วมิใช่หรือ”
ต้าเฉียวเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็สั่นศีรษะเบาๆ “เช่นนี้ข้ายิ่งไม่อาจจากไป หากสกุลเว่ยตอบรับงานมงคล แต่ว่าข้ากลับจากไปเสียแล้ว ถึงตอนนั้นทางบ้านจะทำเช่นไร จะดีก็ช่าง จะร้ายก็ช่าง ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นสตรีสกุลเฉียวเล่า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าสมควรจะน้อมรับ”
ต่อให้พี่สาวออกเรือนไปแล้วยอมจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตของนางเอง ทว่านั่นก็แลกมาได้เพียงการเอาตัวรอดแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น วันหน้าสกุลเฉียวทั้งตระกูลยังคงต้องถูกเว่ยเซ่าเอาชีวิตอยู่วันยังค่ำ มิสู้ทำตามความคิดของท่านพ่อตน รบกับข้าศึกที่มารุกรานดูสักตั้ง ไม่แน่อาจมีทางออกอื่นก็เป็นได้ ขอเพียงพี่สาวจากไป ท่านลุงย่อมอับจนหนทาง คาดว่าถึงตอนนั้นหากท่านพ่อเสนอความเห็นอีกครั้งคงจะง่ายดายขึ้นมากแน่