ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 1
ทว่าเสี่ยวเฉียวไม่อาจบอกสิ่งเหล่านี้ต่อต้าเฉียว นางลอบระบายลมหายใจก่อนช้อนตาขึ้นกล่าว “พี่สาว หากข้าบอกท่านว่าข้าอยากแต่งกับเว่ยเซ่าแทนท่าน ท่านจะยอมส่งเสริมข้าหรือไม่”
ต้าเฉียวตะลึงงันไปอีกครั้ง นางเบิกตาโตมองญาติผู้น้องอยู่นานจึงค่อยเอ่ยด้วยความฉงน “หมานหมาน…เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดเช่นนี้ เจ้ากับหลิวซื่อจื่อต่างก็ผูกสมัครรักใคร่กัน ทั้งยังเตรียมจะเข้าพิธีในปีหน้าอยู่แล้วนี่ อีกอย่างเว่ยโหว ผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าเขา…เขา…”
นางบังเกิดความลังเล ‘อุปนิสัยอำมหิตโหดร้าย ทารุณไร้ซึ่งคุณธรรม’ คำบอกเล่าที่ได้ยินมาพวกนี้นางล้วนไม่กล้าพูดออกจากปาก
“ใช่ เว่ยเซ่าผู้นั้นไม่ใช่คนดี” เสี่ยวเฉียวกล่าวแทนนาง “แต่ว่าพี่สาว สตรีทุกคนเมื่อออกเรือนล้วนไม่พ้นสองจำพวก พวกแรกเป็นเช่นท่าน ได้ครองคู่กับชายในดวงใจจวบจนแก่เฒ่า ต่อให้ต้องใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายก็ยังรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ! ทว่าข้าต่างจากท่าน สิ่งที่ข้าปรารถนาไม่ใช่สามีที่จะมาช่วยเขียนคิ้วที่เบื้องหน้าคันฉ่อง หากแต่เป็นฐานะและอำนาจที่เขานำมาให้กับข้าได้ เมื่อก่อนข้าอาจชมชอบหลิวซื่อจื่อจริง แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าเขาไม่ใช่บุรุษที่ข้าปรารถนา อุปนิสัยของเขาค่อนข้างอ่อนแอ หากข้าแต่งกับเขาแล้ว ต่อให้วันหน้าเขาได้สืบทอดตำแหน่งหลางหยาอ๋องอย่างราบรื่น แต่ด้วยสถานการณ์ของใต้หล้าในยามนี้ ลำพังแค่ชายาอ๋องแห่งหลางหยาซึ่งเป็นเพียงเขตปกครองเล็กๆ ยังจะนับเป็นอะไรได้ ในขณะที่เว่ยเซ่านั้นกลับแตกต่าง ข้าคิดว่าต่อไปเขาต้องสำเร็จการใหญ่อย่างมากแน่ ในเมื่อสองสกุลอย่างไรก็จะเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์อยู่แล้ว ท่านเองก็ไม่ปรารถนาจะแต่งกับเขา เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าออกเรือนแทนเสียเลย”
ต้าเฉียวมองน้องสาวที่ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยความฉงน นิ่งงันอยู่เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยตะกุกตะกัก “หมานหมาน เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ ไม่ใช่พูดเพื่อส่งเสริมข้าจริงๆ นะ”
“พี่สาว ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายขอร้องท่าน ได้โปรดส่งเสริมข้าเถิด!”
ต้าเฉียวทึ่มทื่ออยู่พักใหญ่ ในที่สุดดวงตาก็ค่อยๆ เปล่งประกายแห่งความหวังซึ่งไม่เคยปรากฏมาช้านานแล้ว แต่นางยังคงไม่แน่ใจเท่าไรนักจึงมองเสี่ยวเฉียวด้วยความลังเลก่อนพึมพำเสียงเบา “อย่างนี้จะได้จริงๆ หรือ ข้าสามารถปล่อยวางทุกสิ่งที่นี่แล้วจากไปได้จริงๆ หรือ ท่านพ่อจะตำหนิข้าหรือไม่ แล้วท่านแม่เล่าจะเศร้าเสียใจหรือไม่…”
“พี่สาว!” เสี่ยวเฉียวออกแรงกุมมืออีกฝ่าย “หลังจากท่านไปแล้ว ข้าจะกตัญญูต่อท่านลุงท่านป้าแทนท่านเอง พอนานวันเข้าท่านลุงท่านป้าย่อมเข้าใจและให้อภัยท่านแน่ อีกอย่างท่านลองตรองดู หากท่านออกเรือนไปเช่นนี้จริง กับคนผู้นั้นควรจะทำประการใดดีเล่า”
ต้าเฉียวหน้าซีดขาวทว่าสองแก้มกลับแดงก่ำ นางหลับตาพึมพำตอบ “ข้าขอตรองดูอีกสักหน่อย…ให้ข้าตรองดูอีกสักหน่อยเถิด…”
“พี่สาว ข้าไม่บังคับท่านหรอก ท่านค่อยๆ ตรองดูแล้วกัน”
เสี่ยวเฉียวประคองต้าเฉียวเอนกายลง ช่วยคลุมผ้าห่มให้เสร็จก็เป่าไฟตะเกียงดับ ล้มตัวลงนอนข้างกายนาง ผ่านไปชั่วครู่ก็เอ่ยเสริมเนิบๆ
“พี่สาว ก่อนหน้านี้ที่ข้าฝันร้ายอยู่บ่อยครั้งนั้น ข้ายังไม่ได้บอกท่านเลยว่าที่จริงข้าก็เคยฝันเกี่ยวกับท่านและบ่าวเลี้ยงม้าผู้นั้นด้วย ในความฝันท่านออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นและด่วนตายจากไป เหลือไว้เพียงหลุมศพเดียวดายอยู่บนโลกนี้ เขาเองก็มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังเช่นกัน ท่านรู้หรือไม่ว่าสุดท้ายเขาทำสิ่งใด เขาตามหาหลุมฝังศพของท่านจนพบ นำร่างของท่านออกมาจากใต้ผืนดิน แล้วก็พาท่านจากไปด้วยกัน…”
“อย่าพูดอีกเลย…” ต้าเฉียวพึมพำเสียงเบา หยาดน้ำตาอาบแก้มรินร่วงก่อนไหลซึมลงบนหมอนโดยไร้เสียง
สามวันต่อมา ติงฮูหยินพาต้าเฉียวกับเสี่ยวเฉียวไปจุดธูปขอพรที่วัดฉางเซิงอีกครั้ง เมื่อจุดธูปเติมน้ำมันหอมเสร็จ ติงฮูหยินที่อ่อนเพลียจากการเดินทางไกลจึงไปพักผ่อนชั่วครู่ที่ห้องด้านหลังเช่นเคย นางรู้สึกว่าต้าเฉียวบุตรสาวคล้ายผิดแปลกจากยามปกติ ดูกลุ้มอกกลุ้มใจ ท่าทางกระอึกกระอัก ทั้งยังกุมมือนางแน่นไม่คลาย กระทั่งนางเอนนอนลงไปแล้วก็ยังนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
ติงฮูหยินมิได้คิดมากอะไร นึกเพียงว่าบุตรสาวกลัดกลุ้มเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลเว่ย นางจึงลูบมืออีกฝ่ายแล้วเอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ลูกแม่ เมื่อครู่แม่ขอพรเบื้องหน้าองค์พระแล้ว ขอเพียงวันหน้าเจ้ามีชีวิตคู่ที่สุขสมบูรณ์ ต่อให้ต้องลดทอนอายุขัยแม่ไป แม่ก็ยินยอมพร้อมใจ เชื่อว่าพุทธองค์จะทรงประทานพรให้สมดังปรารถนาแน่ เจ้าอย่าได้กังวลใจอีกเลย”
ต้าเฉียวข่มกลั้นความโศกเศร้าของการจากลาไว้ เพียงเกาะกุมมือของมารดาผู้การุณย์ไว้เนิ่นนานไม่ยอมคลายออก
ด้านหลังของวัดฉางเซิงมีเส้นทางบนเขาที่เงียบสงบลับตาคนอยู่สายหนึ่ง เส้นทางสายนี้เกิดจากการเดินย่ำขึ้นลงเขาทุกวันของคนตัดฟืนในละแวกใกล้เคียง
หลังถอดอาภรณ์หรูหราเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าเนื้อหยาบแล้ว ต้าเฉียวก็เดินเคียงไหล่กับชายหนุ่มผู้นั้นจากไปตามเส้นทางบนเขานี้ เมื่อพวกเขาเดินไปได้ระยะหนึ่งจนเงาร่างใกล้จะถูกเงาไม้สองข้างทางกลืนหายไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตผู้นั้นก็พลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะหมุนกายเร่งสาวเท้ากลับมาถึงเบื้องหน้าเสี่ยวเฉียว คุกเข่าคำนับนางอย่างเต็มพิธีการ
“ชาตินี้หากคุณหนูมีสิ่งใดเรียกใช้ ข้ามีเพียงคำตอบเดียวคือขอรับใช้ท่านอย่างถวายชีวิต!” เขากล่าวเน้นทีละคำ
นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเฉียวได้ยินเสียงเขาเอ่ยปากพูด เสียงนั้นซื่อตรงและหนักแน่น ชวนให้ผู้ฟังบังเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวเฉียวมองส่งเงาหลังของหนุ่มสาวทั้งสองเคลื่อนห่างไปทีละน้อย นางยืนนิ่งงันอย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน
ตามเหตุการณ์ในห้วงฝันร้ายที่คล้ายว่าประสบมาในชาติก่อนนั้น หลังจากที่ต้าเฉียวแต่งกับเว่ยเซ่าไม่นานนัก บ่าวเลี้ยงม้านามปี่จื้อผู้นี้ก็หายสาบสูญไป หลายปีให้หลังภัยแล้งรุนแรงในดินแดนเจียงหนาน ก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นครั้งใหญ่ ผู้อพยพที่ร่อนเร่ลี้ภัยไปทั่วค่อยๆ ผันตัวมาเป็นโจรหลายกลุ่ม ในจำนวนนั้นมีจอมโจรนัยน์ตาสีมรกตผู้หนึ่งผงาดขึ้นมา เขาผนวกกลืนขุมกำลังฝ่ายต่างๆ เข้าด้วยกันจนมีอำนาจโหญ่โตขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ยึดครองอำเภอไหวอินแล้วตั้งตนเป็นจอมทัพโดยไม่ขึ้นกับผู้ใด ต่อมาเมื่อเว่ยเซ่าช่วงชิงลั่วหยาง ครองความเป็นใหญ่ในดินแดนจงหยวน ได้สำเร็จ จอมโจรนัยน์ตาสีมรกตที่เคยคำนึงแต่ความอยู่รอดส่วนตนมาตลอดก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายไปสวามิภักดิ์ต่อหลิวเหยี่ยนซึ่งได้ขุนนางใหญ่ที่ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นกลุ่มหนึ่งหนุนขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น ยามนั้นหลิวเหยี่ยนกำลังขาดทั้งแม่ทัพและไพร่พลจึงแต่งตั้งเขาเป็นไหวอินอ๋อง จากนั้นมาเขาก็เป็นศัตรูกับเว่ยเซ่าอย่างเปิดเผย
กล่าวได้ว่าหากมิใช่เพราะการสกัดขวางและการตอบโต้ของไหวอินอ๋องที่คล้ายปรากฏตัวลงมาจากฟากฟ้าอย่างกะทันหันผู้นี้แล้ว ช่วงเวลาที่เว่ยเซ่าจะเข้ายึดครองใต้หล้านี้ย่อมจะเร็วขึ้นได้อย่างน้อยถึงสองปี สำหรับบทสรุปสุดท้ายของไหวอินอ๋องผู้นี้ก็นับว่าเป็นสีสันที่แต่งแต้มตำนานอยู่ไม่น้อยเช่นกัน