“พอชาวเมืองได้ยินว่าโจวฉวินถอยทัพแล้วมีอาการลิงโลดยินดีกันอย่างไรบ้างนั้น ภาพเหตุการณ์นี้น้องรองก็น่าจะได้เห็นเองแล้ว! สกุลเฉียวของพวกเราปกครองราษฎรที่นี่แทนโอรสสวรรค์มาหลายชั่วคน น้องรองจะหักใจปล่อยให้ทหารและราษฎรสองแสนของเหยี่ยนโจวต้องตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัสจริงๆ หรือ ยามนี้ขอเพียงเกี่ยวดองกับสกุลเว่ยสำเร็จ ภัยสงครามก็จะถูกขจัดไป! หลานสาวข้ากับชาวเหยี่ยนโจวสองแสนคน สิ่งใดหนักสิ่งใดเบา พี่ชายคนนี้คงไม่ต้องพูดให้มากความอีกกระมัง”
เฉียวผิงชะงักงันไปชั่วขณะ
หลายปีก่อนเขาสูญเสียภรรยาไป ทายาทจึงมีเพียงลูกแฝดหญิงชายหนึ่งคู่ เขานั้นรักเสี่ยวเฉียวประหนึ่งนางเป็นสิ่งล้ำค่า เกรงก็แต่จะทำให้นางต้องกล้ำกลืนฝืนใจ หากต้องส่งนางแต่งไปสกุลเว่ยเช่นนี้ ในใจเขาไม่อาจยินยอมได้จริงๆ ทว่ายามนี้คำว่า ‘ไม่’ กลับหนักราวกับสามหมื่นชั่ง
แม้จะเป็นอากาศในเดือนสิบเอ็ด หน้าผากของเฉียวผิงก็ยังคงหลั่งเหงื่อออกมา เขายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ ในที่สุดจึงเอ่ยด้วยความลำบากใจ “พี่ชาย มิใช่ผู้น้องไม่รู้จักหนักเบา ทว่าเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่า…”
เฉียวเยวี่ยพลันเดินมาถึงเบื้องหน้าเขา ก่อนจะคุกเข่าให้โดยไม่พูดแม้สักคำ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายกำลังจะจรดหน้าผากลงกับพื้น เฉียวผิงก็ตื่นตระหนกจนใบหน้าถอดสี รีบก้าวพรวดขึ้นหน้าไปขวางเอาไว้
“พี่ชาย! ไยท่านจึงทำเช่นนี้…”
“น้องรอง!” เฉียวเยวี่ยน้ำตาคลอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ชวนสะเทือนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาจหักใจแต่งหมานหมานไปไกลถึงมณฑลโยวโจว เพราะข้าเองก็มีอาฟั่นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน ไหนเลยจะตัดใจให้นางพรากจากบิดามารดาไปไกลได้ ทว่าเจ้าจงฟังพี่ชายสักคำเถิด แผนรับมือในยามนี้นอกจากผูกไมตรีกับเว่ยเซ่าก็ไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว! หากมิใช่อาฟั่นจากไปอย่างไร้เยื่อใย ข้าจะพรากหมานหมานของเจ้าได้อย่างไรกัน พี่ชายคนนี้ขอเป็นตัวแทนชาวเหยี่ยนโจวสองแสนคนขอวิงวอนเจ้า!” จบคำเขาก็ไม่สนใจการขัดขวางของเฉียวผิงอีก เอาแต่จะหมอบกราบลงไปอีกครั้งให้ได้
เฉียวผิงรู้สึกคล้ายถูกหมื่นเกาทัณฑ์ทะลวงหัวใจ มือเท้ายิ่งเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง เขาออกแรงพยุงพี่ชายพร้อมกับกัดฟันกล่าว “พี่ชายโปรดลุกขึ้นเถิด ทุกสิ่งให้ฟังคำบัญชาของท่านก็แล้วกัน”
เห็นอีกฝ่ายใจอ่อนยอมรับปากในที่สุด เฉียวเยวี่ยจึงลอบผ่อนลมหายใจแล้วค่อยลุกขึ้น คว้ากุมมือของน้องชายไว้แน่นพลางกล่าวทั้งน้ำตา “ผู้คนในยามนี้ใครเล่าจะเทียบพี่น้องได้! น้องรอง เจ้าเข้าใจและให้อภัยในความลำบากของพี่ชายอย่างนี้ พี่ชายซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
เสี่ยวเฉียวฟังชุนเหนียงแม่นมของตนเล่าว่า…พอเฉียวฉือน้องชายฝาแฝดของนางรู้ข่าวนี้ก็เต้นผาง พุ่งตรงไปคัดค้านเสียงดังต่อหน้าเฉียวเยวี่ยผู้เป็นลุงในทันที
ท่านลุงไม่มีบุตรชาย แต่ไรมาจึงเห็นหลานชายคนนี้เป็นเสมือนบุตรแท้ๆ ของตน ยามปกติจึงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง ทว่าคราวนี้เฉียวฉือกลับถูกท่านลุงตีและไล่ออกมา ซ้ำยังกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้อง
เสี่ยวเฉียวเองก็ไม่ได้หลับตาลงเลยตลอดทั้งคืน
เดิมทีนางเพียงคิดปลอบโยนญาติผู้พี่ถึงได้บอกออกไปว่านางอยากแต่งกับเว่ยเซ่าแทนอีกฝ่ายเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็นจริงเสียได้
บิดารักถนอมนางมาแต่ไหนแต่ไร นางรู้แก่ใจดี หากมิใช่จนใจถึงขีดสุดจริงๆ เขาจะไม่ตกปากรับคำให้นางแต่งไปสกุลเว่ยเป็นอันขาด บัดนี้ข่าวสองสกุลดองญาติแพร่สะพัดออกไปแล้ว โจวฉวินได้ยินข่าวก็ถอนทัพกลับทันที เดิมทีจิตใจของผู้คนย่อมโหยหาความสงบร่มเย็นอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อไร้การศึก ราษฎรทั้งเมืองจึงล้วนยินดีปรีดากับเรื่องนี้ บิดาในฐานะเจ้าเมืองจึงเสมือนถูกจับนั่งลงบนหลังเสือ แบกความมุ่งหวังของชาวเหยี่ยนโจวทั้งสองแสนคน นอกจากตกปากรับคำแล้ว เขาก็ไม่มีทางถอยอื่นใดอีกจริงๆ
หลายวันมานี้ขณะที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจหมายจะช่วยต้าเฉียวเปลี่ยนชะตากรรมนั้น เสี่ยวเฉียวก็ตั้งใจแล้วว่าตนเองจะไม่ยอมเดินไปตามเส้นทางในห้วงฝันร้ายสายนั้นเด็ดขาด น่าเสียดายที่แม้ความตั้งใจนั้นจะดูงดงามยิ่งนัก ทว่าความเป็นจริงกลับเอาคืนนางอย่างร้ายกาจ นางคล้ายถูกฟาดด้วยก้อนอิฐจนมึนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้
เสี่ยวเฉียวได้แต่ยิ้มเฝื่อนอย่างกลั้นไม่อยู่
เส้นทางเปลี่ยนไปแล้วก็จริง แต่แค่เปลี่ยนไปเป็นทางตันอีกสายหนึ่งเท่านั้น
นางไม่อาจยุติเรื่องราวด้วยการจากไปอย่างต้าเฉียว ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้นางอยากหลบหนีเพียงใดก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ท่านลุงย่อมได้รับบทเรียนจากคราวก่อน สองวันมานี้ไม่ว่านางไปที่ใด ข้างกายก็จะมีบ่าวรุ่นป้าเรี่ยวแรงดีสามสี่คนจากเรือนของท่านลุงคอยตามติดอยู่เสมอ
เป็นเพราะจิตใจนางว้าวุ่นจึงได้พลิกกายไปมาตลอดคืน จวบจนยามฟ้าสางในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมตนเองให้หลับลงได้ ท้ายที่สุดก็มีแต่ต้องยอมรับผลของการจับพลัดจับผลูในครั้งนี้