ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 10
ตอนที่สิบ
ค่ำคืนนี้เสี่ยวเฉียวไม่กล้าผ่อนคลายเช่นยามปกติอีก นางนั่งอยู่ใต้แสงเทียนรอคอยเขากลับมาอย่างสงบเสงี่ยม
สาวน้อยรอคอยจวบจนปลายยามไฮ่ จนแล้วจนรอดเว่ยเซ่าก็ไม่กลับมา สุดท้ายนางจึงทนฝืนต่อไปไม่ไหว เอนนอนลงไปก่อนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบชุด
เว่ยเซ่าไม่ได้กลับมาเลยตลอดทั้งคืน จวบจนยามอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้นลับไป เสี่ยวเฉียวจึงค่อยได้ข่าวว่าแถบเมืองซั่งกู่ซึ่งสงบสุขมาเนิ่นนาน วันก่อนกลับถูกทหารม้าซยงหนูกองใหญ่ปล้นเสบียง ทหารรักษาการณ์และราษฎรบาดเจ็บล้มตายเกือบพันคน หลังทหารซยงหนูปล้นชิงเผาฆ่าเสร็จก็ประกาศว่านี่คือของขวัญวันเกิดแด่สวีฮูหยินแห่งอวี๋หยาง จากนั้นทั้งหมดก็ถอนกำลังหนีขึ้นเหนือ
เว่ยเซ่าโกรธจัดเมื่อได้ยินข่าว รีบนำทหารม้ารุกไล่พวกซยงหนูด้วยตนเอง
เว่ยเซ่านำทหารม้าฝีมือดีสองพันนายไล่ล่าทั้งวันทั้งคืนด้วยความเร็วสูงสุด จนออกจากรัศมีหลายร้อยลี้ของเมืองซั่งกู่มาจนถึงลุ่มแม่น้ำซังกานซึ่งเป็นพรมแดนชั่วคราวที่ราชสำนักซยงหนูยอมรับโดยนัย
เมื่อครู่นี้เองขณะที่ทหารซยงหนูหมายนำวัว ม้า สตรี และสิ่งอื่นที่ปล้นชิงได้ข้ามพรมแดนกลับราชสำนักไปเป็นบำเหน็จศึก ไม่คาดว่าทหารม้าของเว่ยเซ่าจะรุดตามมาถึงจึงต้องต้านรับไว้อย่างฉุกละหุก สองฝ่ายเปิดศึกใหญ่ริมแม่น้ำซังกาน เว่ยเซ่ารุกเข้าสู่กระบวนทัพม้า สู้รบกับนายกองเฉี่ยโม่เชอผู้นำของทหารซยงหนูด้วยตนเอง เฉี่ยโม่เชอถูกเขาฟันตกจากหลังม้าและถูกจับเป็น ทหารม้าซยงหนูที่เหลือบ้างหลบหนี บ้างตกเป็นเชลย ต้องแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน วัวม้าของชาวเมืองซั่งกู่ที่ถูกปล้นชิงไปล้วนได้กลับคืน เว้นแต่สตรีจำนวนหนึ่งที่บาดเจ็บล้มตาย ส่วนใหญ่ที่เหลือล้วนปลอดภัยดี เพียงแต่พวกนางไม่พ้นที่จะถูกหักหาญข่มเหง ยามนี้รวมกลุ่มกันอยู่ในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย บ้างนั่งบ้างยอง กอดคอกันร่ำไห้เสียงดังระงม
ชุดเกราะเหล็กของเว่ยเซ่าย้อมไปด้วยโลหิต มือกดกระบี่ขณะก้าวยาวๆ ผ่านข้างกลุ่มสตรีที่ร้องห่มร้องไห้หลังรอดชีวิตจากการปล้นฆ่ามาถึงเบื้องหน้าของเฉี่ยโม่เชอนายกองชาวซยงหนู
เฉี่ยโม่เชอแข็งกร้าวห้าวหาญยิ่งนัก แม้ตกเป็นเชลย ซ้ำคราบเลือดเต็มร่าง ทว่ายังคงฝืนดึงดันไม่ยอมคุกเข่า ทั้งยังเชิดศีรษะขึ้นสูงพลางหัวเราะร่วนใส่เว่ยเซ่า “เป็นอย่างไร ของขวัญวันเกิดที่มอบให้ท่านย่าของเจ้าถูกใจหรือไม่ หากวันนี้เจ้ากล้าฆ่าข้าหนึ่งคน วันหน้าพี่น้องซยงหนูของข้าย่อมสนองคืนให้เป็นสิบเท่า!”
แม่ทัพหลี่เตี่ยนที่ออกไล่ล่ามาพร้อมกับเว่ยเซ่าโกรธจัด ถีบใส่ข้อพับเข่าของเฉี่ยโม่เชอหนึ่งเท้า เฉี่ยโม่เชอสองเข่าทรุดลงกับพื้น เขาหมายตะเกียกตะกายลุกขึ้นแต่กลับถูกคนกดเอาไว้ ปากจึงด่ากราดด้วยโทสะไม่หยุด
“เว่ยเซ่า! เจ้าเด็กอมมือ หนูโสโครก ชาติสุนัข!”
เว่ยเซ่าชักกระบี่ยาวจากข้างเอวช้าๆ คมกระบี่เปล่งประกายวาววับเย็นเฉียบดุจหิมะ เพียงเงื้อมือขึ้นแล้วตวัดกระบี่ไปลำคอ ศีรษะของเฉี่ยโม่เชอก็หลุดกลิ้งลงจากบ่า โลหิตฉีดพุ่งเป็นลำสูงลิ่วสาดกระจายนองพื้น
รอบด้านเงียบกริบไร้เสียงใดๆ กระทั่งเหล่าสตรีที่อยู่ห่างออกไปยังชะงักเสียงร่ำไห้
“เชลยซยงหนูที่เหลือ ไม่สนว่าจะมียศทหารสูงต่ำ สำเร็จโทษที่นี่เสียให้สิ้น” เว่ยเซ่าสอดกระบี่คืนฝัก ออกคำสั่งด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ
บาดแผลของฮูเหยี่ยนเลี่ยที่ถูกแทงอกซ้ายในคืนนั้นลึกยิ่ง หากลึกเข้ามาอีกเพียงครึ่งชุ่นก็จะแทงถึงหัวใจ
ไม่กี่วันมานี้เขาถูกแผลที่ปวดระบมเคี่ยวกรำ ทั้งเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด ยามนี้ยังถูกพามาถึงลานประหารพร้อมชาวซยงหนูรอบกายที่ถูกจับเป็นเชลย เขาลอบรวมพลังหมายดิ้นให้หลุดจากเชือก ทว่าหน้าอกกลับปวดขึ้นอย่างสาหัส เบื้องหน้าสายตาพลันดำวูบ ร่างยืนไม่มั่นคงล้มคะมำลงกับพื้น
นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตนจะจับพลัดจับผลูมาจบชีวิตที่ริมแม่น้ำซังกานเยี่ยงนี้ได้
เว่ยเซ่าชายหนุ่มชาวฮั่นผู้นี้ถึงกับฝึกฝนทัพม้าอันเกรียงไกรที่มีฝีมือการรบไม่ด้อยไปกว่าชาวซยงหนูเลย ในการศึกซึ่งหน้าเช่นนี้ ชาวซยงหนูไม่เคยช่วงชิงความได้เปรียบจากมือของเขาได้เลยสักนิด ในทางกลับกัน พื้นที่แถบเมืองอวิ๋นจงและเมืองซั่วฟางซึ่งเดิมทีถูกผนวกเข้าสู่เขตแดนของซยงหนูแล้วกลับถูกเขายึดคืน ชาวซยงหนูถูกบีบให้ถอยร่นขึ้นเหนือไปเลี้ยงแพะเลี้ยงม้านอกรัศมีหลายร้อยลี้
นามของเว่ยเซ่าไม่มีใครในราชสำนักซยงหนูไม่รู้จัก เมื่อเอ่ยถึงนามนี้ ตั้งแต่ฉานอวี๋ อ๋องทั้งหลาย ไปจนถึงราษฎรล้วนมีความกริ่งเกรงเจือปนอยู่ในใจ ทว่าผิดกับอูเหวยผู้ครองยศเสียนอ๋องซ้ายควบตำแหน่งรัชทายาทถูฉี ที่สาบานขอเป็นอริกับเว่ยเซ่า ในขณะที่ท่าทีของรื่อจู๋อ๋องที่มีต่อคู่ปรับชาวฮั่นผู้นี้กลับมิได้เคียดแค้นลึกล้ำสักเท่าใด
บางทีอาจเพราะอดีตชายาที่มาจากสกุลเว่ยผู้นั้นก็เป็นได้ ฮูเหยี่ยนเลี่ยได้แต่คิดเช่นนี้
การเดินทางเที่ยวนี้ของฮูเหยี่ยนเลี่ยเดิมทีบรรลุภารกิจที่ต้องทำแล้ว ไม่นึกว่าระหว่างทางขากลับจะพบเจอทหารที่เสียนอ๋องซ้ายส่งมากองนี้ เมื่อล่วงรู้เจตนายั่วยุของเสียนอ๋องซ้าย ฮูเหยี่ยนเลี่ยก็รีบห้ามปราม ทว่าเฉี่ยโม่เชอไหนเลยจะเชื่อฟัง สองฝ่ายจึงเกิดการปะทะกัน
ฮูเหยี่ยนเลี่ยคือนายกองนามกระเดื่องของซยงหนูมาแต่ไหนแต่ไร สร้างความชอบในการศึกครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าวันนั้นเขามาเพียงลำพัง ซ้ำได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายจึงไม่อาจต้านได้ไหวถูกจับกุมตัวมา เฉี่ยโม่เชอต้องการจับเขากลับไปมอบให้เสียนอ๋องซ้ายเพื่อใช้กลั่นแกล้งรื่อจู๋อ๋อง เขาจึงถูกมัดตัวพาไปยังเมืองซั่งกู่ด้วย หลังพวกเฉี่ยโม่เชอปล้นเสบียงเสร็จ เขาก็ถูกบังคับให้ร่วมทางต่อ ไม่นึกว่าพอถึงที่นี่แล้วจะถูกทหารม้าของเว่ยเซ่าไล่ตามทัน สองฝ่ายเปิดศึกใหญ่ เขาจึงพลอยตกเป็นเชลยพร้อมกับพวกเฉี่ยโม่เชอไปด้วย
ชั่วชีวิตของเขาฆ่าคนมานับไม่ถ้วน มีทั้งสหายร่วมเผ่าที่เขาฆ่าเพื่อชิงอำนาจ มีทั้งชาวฮั่น ชาวอูซุน และชาวฮูเจีย* ที่เขาฆ่าเพื่อช่วงชิงดินแดน…เดิมทีความตายไม่มีอันใด ทว่าตายในลักษณะนี้เขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
ฮูเหยี่ยนเลี่ยรู้ว่าทหารของเว่ยเซ่ากำลังทำตามบัญชาของผู้เป็นนายแล้ว เสียงโหยหวน เสียงก่นด่า เสียงวิงวอน สารพัดเสียงผสมปนเปเข้าด้วยกัน เชลยศึกที่อยู่เบื้องหน้าเขาล้มลงไปทีละคน ไม่ช้าก็จะถึงเขาแล้ว
ฮูเหยี่ยนเลี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมรวบรวมพลังเพื่อดิ้นรนเฮือกสุดท้าย จู่ๆ เบื้องหลังก็มีคนเหยียบลงบนร่างของเขา จากนั้นสุ้มเสียงหนึ่งที่เขารู้จักก็ดังขึ้น “ชาวซยงหนูผู้นี้มีความแค้นกับข้า ข้าจะสังหารมันด้วยมือของข้าเอง”
เว่ยเหยี่ยนกล่าวกับนายกองผู้รับคำสั่งประหาร
เว่ยเหยี่ยนเป็นคนออกปาก นายกองย่อมเชื่อฟังและรีบส่งมอบคนออกไป
เขาลากฮูเหยี่ยนเลี่ยที่ไม่ขยับเขยื้อนมาจนถึงริมแม่น้ำซังกาน เมื่อรอบข้างปลอดคน เขาก็ใช้ปลายกระบี่สะกิดเชือกที่มัดฮูเหยี่ยนเลี่ยออก
ฮูเหยี่ยนเลี่ยตื้นตันใจอย่างที่สุด พยายามคุกเข่าลง โขกศีรษะให้เว่ยเหยี่ยน “นายน้อย เรื่องที่เมืองซั่งกู่เป็นฝีมือของเสียนอ๋องซ้าย…”
“ไสหัวกลับไป!” เว่ยเหยี่ยนตวาดไล่โดยไม่ฟังจนจบ จากนั้นจึงหมุนกายก้าวยาวๆ จากไปทันที
ตกค่ำของวันที่ห้าภายหลังเว่ยเซ่าจากไป ในที่สุดเขาก็กลับมา
สวีฮูหยินยินดีเป็นล้นพ้น ออกไปต้อนรับพวกเว่ยเหยี่ยนและเว่ยเซ่าด้วยตนเอง เห็นทั้งสองอ่อนเพลียจากการเดินทางจึงเอ่ยปลอบ จากนั้นก็สั่งให้สองพี่น้องรีบแยกย้ายไปพักผ่อน
ยามที่เว่ยเซ่ากลับถึงเรือนประจิม ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เสี่ยวเฉียวรอต้อนรับเขาอยู่นอกประตูเรือน
ชุดเกราะบนร่างยังไม่ทันได้ถอดออก เขาเพียงยืนอยู่ตรงนั้น สองตาเพ่งมองเสี่ยวเฉียวขณะให้หญิงรับใช้อาวุโสช่วยเขาปลดชุดเกราะ
เสี่ยวเฉียวลังเลเล็กน้อย สุดท้ายยังคงเดินไปถึงตรงหน้า ยกมือช่วยปลดชุดเกราะให้เขาด้วยตนเอง
บรรดาหญิงรับใช้อาวุโสเห็นเช่นนี้จึงพากันถอยออกไป
ระยะห่างระหว่างเสี่ยวเฉียวกับเว่ยเซ่าอยู่ใกล้กันมาก ยามปลดชุดเกราะจึงสูดได้กลิ่นดินผสมโลหิตที่แห้งกรังแล้วจากบนร่างของเขา กลิ่นนั้นฉุนจมูกอยู่บ้าง
นางรู้สึกได้ว่าเหนือศีรษะคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้อง ครั้นช้อนตาขึ้นก็เห็นเขาก้มศีรษะลงมาเล็กน้อย กำลังมองนางอยู่
แพขนตาทั้งคู่ของนางพลันสั่นไหว ขบริมฝีปากแล้วหลุบตาลง นางกลั้นหายใจ กระทั่งช่วยเขาปลดหมุดยึดชุดเกราะอันหนักอึ้งเสร็จในที่สุด จากนั้นก็ทำหน้านิ่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เว่ยเซ่าถอดชุดเกราะลงพื้นเอง บนร่างคงเหลือเสื้อตัวในซึ่งเปรอะย้อมไปด้วยดินและเลือด ชายหนุ่มชำเลืองมองเสี่ยวเฉียวที่ผละจากตนไปแล้วก่อนหมุนกายเดินเข้าห้องอาบน้ำ เมื่อกลับออกมา บนร่างก็เปลี่ยนมาสวมชุดที่สะอาดเรียบร้อย แขนเสื้อกว้างพลิ้วไหว เรือนผมดำที่เปียกชื้นเกล้าไว้บนศีรษะด้วยปิ่นหยก รูปงามสง่าเปี่ยมเสน่ห์ชวนมองยิ่งนัก ผิดกับสภาพที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดตอนเพิ่งกลับมาโดยสิ้นเชิง
“ท่านพี่จะไปกินอาหารหรือไม่” เสี่ยวเฉียวถามเขา
เว่ยเซ่าลูบท้องพลางผงกศีรษะ ก่อนจะหมุนกายเดินไปยังห้องอาหาร เสี่ยวเฉียวเดินตามไปปรนนิบัติ เมื่อไปถึงหน้าประตูก็เห็นเจียงเอ่าจากเรือนบูรพามาเยือน สีหน้านอบน้อมขณะค้อมกายแจ้งว่าฮูหยินเตรียมอาหารไว้ ให้มาเชิญนายท่านไปกิน
“ฮูหยินรักและห่วงใยนายท่านจึงลงครัวทำด้วยตนเอง หวังว่านายท่านจะแวะไปเจ้าค่ะ”
เว่ยเซ่าลังเลเล็กน้อย หันหน้ามามองเสี่ยวเฉียว
เสี่ยวเฉียวรีบกล่าว “ในเมื่อท่านแม่เตรียมอาหารไว้เช่นกัน ท่านพี่ก็ไปเถิด ข้าไม่มีปัญหาหรอก”
เว่ยเซ่าย่างเท้าตรงสู่เรือนบูรพาโดยไม่ได้พูดอันใด