ตอนที่สอง
หลายวันให้หลัง ไช่ซวิ่นทูตที่สกุลเว่ยส่งมาหารือเรื่องแต่งงานก็มาถึง เฉียวเยวี่ยนำเฉียวผิงพร้อมด้วยขุนนางอีกจำนวนหนึ่งแต่งกายเต็มยศไปรอต้อนรับ เขารับรองแขกอย่างยิ่งใหญ่ที่โถงด้านหน้า หลังนั่งประจำที่บนตั่งแล้ว เขาก็ดื่มสุราไปถึงสามรอบจึงค่อยเผยสีหน้าที่จนใจ ชี้แจงว่าบุตรีซึ่งเดิมทีตั้งใจจะให้ออกเรือนนั้นโชคไม่ดีเป็นโรคร้ายเข้า หมอตรวจแล้วพบว่านางไม่เหมาะที่จะสมรส เคราะห์ยังดีที่ครอบครัวน้องชายมีบุตรีอยู่อีกคน ทั้งรูปโฉมและความสามารถยังเหนือกว่าบุตรีของเขาขั้นหนึ่งเสียอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรารถนาจะหารือขอเปลี่ยนมาแต่งบุตรีคนรองของสกุลเฉียวแทนเพื่อผูกไมตรีกันระหว่างสองสกุลตามเดิม
ฟังจบแล้วไช่ซวิ่นก็ไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเจรจาตอบรับด้วยรอยยิ้มเท่านั้น เขายังบอกว่าจะรีบส่งจดหมายไปแจ้งผู้เป็นนายโดยด่วน ให้สกุลเฉียวรอคอยนายของตนตอบกลับเป็นใช้ได้ เช่นนี้เองเฉียวเยวี่ยถึงวางใจลงได้บ้าง
หลังงานเลี้ยงยุติ เฉียวเยวี่ยก็ส่งไช่ซวิ่นไปยังเรือนรับรองของจุดพักเปลี่ยนม้าด้วยตนเอง เขาสั่งการให้หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าต้อนรับขับสู้ดังเช่นอีกฝ่ายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์
เฉียวเยวี่ยกลับมาชะเง้อคอรออยู่สิบกว่าวัน ทางฝ่ายชายจึงส่งคำตอบกลับมา
สกุลเว่ยตอบตกลงอีกครั้ง
เฉียวเยวี่ยยินดีเป็นล้นพ้น รีบตระเตรียมงานมงคลโดยไม่รอช้า
ธรรมเนียมการเข้าพิธีแต่งงานของที่นี่ยึดถือหกพิธี ตามที่สืบทอดมาแต่โบราณ การเกี่ยวดองระหว่างตระกูลเก่าแก่ที่เรืองอำนาจเช่นสกุลเฉียวและสกุลเว่ยนี้ ตั้งแต่ทาบทามสู่ขอจนถึงเข้าพิธีในขั้นตอนสุดท้าย โดยทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงครึ่งปี ทว่าครั้งนี้ทั้งสองสกุลล้วนคิดอ่านตรงกันโดยไม่ต้องนัดแนะ ราวกับทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายอยู่เพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือเข้าพิธีโดยเร็วที่สุด ไม่ถึงสองวันสินสอดของสกุลเว่ยก็ส่งมาถึง เป็นทองคำกว่าหมื่นตำลึงกับยอดอาชาอีกสิบสองตัว ซึ่งต่ำกว่าธรรมเนียมการอภิเษกสมรสของโอรสสวรรค์แค่เพียงขั้นเดียวเท่านั้น วันนั้นขบวนสินสอดเข้าสู่ประตูทิศเหนือของเมืองตงทางอำเภอผูหยาง บรรเลงเครื่องดนตรีมาตลอดทางกระทั่งถึงจวนผู้ว่าการ ชาวเมืองตามรายทางที่แห่มาชมอยู่เต็มสองฟากถนนต่างก็จุปากอุทานด้วยความอิจฉาและชื่นชม บรรยากาศครึกครื้นอย่างสุดประมาณ
ถัดจากนั้นสกุลเว่ยจึงกำหนดวันรับเจ้าสาวเป็นวันที่สิบแปดเดือนหน้า อันเป็นวันมหามงคลซึ่งเหมาะแก่การแต่งงาน ทั้งยังเหมาะแก่การเดินทางด้วย
ยามนี้ถึงปลายเดือนสิบเอ็ดแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ผู้คนสกุลเฉียวทั้งเบื้องบนเบื้องล่างล้วนยุ่งอยู่กับการเตรียมส่งตัวเจ้าสาว
ผู้คนที่นี่นิยมงานแต่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ถือความหรูหราเป็นเกียรติที่สำคัญ เดิมทีสินเจ้าสาวของทั้งต้าเฉียวและเสี่ยวเฉียวซึ่งตระเตรียมไว้ล่วงหน้าแต่แรกนั้นก็เพียบพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้ว บัดนี้เมื่อต้าเฉียวจากไป สกุลเฉียวหมายแสดงออกซึ่งฐานะของวงศ์ตระกูลจึงไม่มัวตระหนี่กับทรัพย์สินเพียงเท่านี้ รวมสินเจ้าสาวทั้งสองส่วนมอบให้แก่เสี่ยวเฉียวไปทั้งหมด วันนั้นยามที่สินเจ้าสาวถูกส่งออกจากเมือง ขบวนทอดยาวคดเคี้ยวต่อเนื่องกันหลายลี้ เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างยิ่ง สำหรับเงินส่วนตัวของเสี่ยวเฉียวนั้นก็ยิ่งมีมากโข ด้วยเฉียวผิงละอายใจรู้สึกผิดต่อบุตรสาว คิดว่าวันข้างหน้าเมื่อนางไปอยู่ที่สกุลเว่ยแล้ว หากในมือมีเงินใช้ จะทำสิ่งใดย่อมสะดวกกว่ามาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมอบเงินให้นางไปเกือบทั้งหมด ครอบครัวพี่ชายก็สมทบมาอีกมิใช่น้อย นับเฉพาะเงินที่มีอยู่ในมือเสี่ยวเฉียวตอนนี้ นางก็กลายเป็นเศรษฐีหญิงอายุน้อยอย่างเต็มตัวแล้ว
พริบตาวันมงคลก็มาถึง เว่ยเซ่าผู้นั้นมิได้เดินทางมาแต่อย่างใด กลับส่งแม่ทัพหน่วยพยัคฆ์เผ่นนามว่าเว่ยเหลียงเป็นผู้มารับเจ้าสาวแทน เขาเป็นเครือญาติของสกุลเว่ย และยังเป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพใต้ปกครองของเว่ยเซ่า ห้าวหาญชาญศึกจนเป็นที่เลื่องลือ ร่างสูงเจ็ดเชียะ ดวงตากลม ไว้หนวดเครา ดาบยาวประจำกายมีน้ำหนักกว่าเจ็ดสิบสองชั่ง เว่ยเหลียงผู้นี้มิได้แสดงสีหน้าเป็นมิตรหรือมีท่าทีสนิทสนมอย่างไช่ซวิ่นทูตที่มาหารือเรื่องแต่งงานก่อนหน้านี้ ท่าทางของเขานั้นค่อนข้างเย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ใดในสายตา ทั้งปฏิบัติต่อคนสกุลเฉียวอย่างเย็นชาเฉยเมย
ในใจเฉียวเยวี่ยรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก ทว่ายามนี้ตนเป็นฝ่ายไปขอผูกไมตรีกับสกุลเว่ยเองจึงไม่กล้าเผยความไม่พอใจออกมา เบื้องหน้ายังคงประจบเอาใจอีกฝ่ายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
วันรุ่งขึ้นก็คือวันที่เสี่ยวเฉียวจะออกเรือนลาจากครอบครัวไปแล้ว ประตูใหญ่จวนสกุลเฉียวเปิดอ้ากว้าง ประดับประดาด้วยผ้าและกระดาษสีทั้งด้านในและด้านนอก ราษฎรที่อยู่รอบด้านต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ ห้อมล้อมกันมาส่งธิดาของท่านเจ้าเมือง