ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 3
ตอนที่สาม
เว่ยเซ่ามุ่งหน้าสู่ห้องหนังสือ เมื่อใกล้ถึงกลับชะงักฝีเท้าแล้วเหลียวมองรอบทิศ
จวนซิ่นในยามกลางวันนั้นมีคนไม่มากจึงมักให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงอยู่บ้าง นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เพิ่งถึงยามโฉ่ว เป็นช่วงเวลาที่รัตติกาลลุ่มลึกกว่ายามใด รอบด้านจึงยิ่งเงียบสงัด ข้ารับใช้ในจวนซิ่นล้วนดำดิ่งในห้วงฝัน
สายตาของเขากวาดไปเบื้องหลัง จับนิ่งที่หอถานไถซึ่งถูกม่านราตรีวาดเค้าโครงออกมาอย่างแจ่มชัด
ชั่วครู่ให้หลังชายหนุ่มก็ขึ้นมาอยู่บนหอสูงตระหง่านหลังนี้ซึ่งปลูกสร้างบนดินที่อัดแน่นจนกลายเป็นฐานสูง ยามที่เขาพิงราวกั้นท้ารับสายลมราตรีอันหนาวเสียดกระดูก ทอดสายตามองกำแพงเมืองและท้องทุ่งเบื้องนอกที่อยู่ใต้ม่านรัตติกาลอันลุ่มลึกนั้นแล้ว ที่ด้านหลังพลันแว่วเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา เขาหันหน้าไป อาศัยแสงดวงดาวเหนือศีรษะแยกแยะได้ว่าผู้มาคือกุนซือที่มีนามว่ากงซุนหยางนั่นเอง
“ราตรีเข้าหอของนายท่านแท้ๆ ไฉนจึงมายืนพิงราวกั้นอยู่ที่นี่ตามลำพังเล่าขอรับ”
กงซุนหยางคารวะเว่ยเซ่า เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนยิ้มกล่าว
กงซุนหยางคือที่ปรึกษาคนสนิทของเว่ยเซ่า เว่ยเซ่าเชื่อใจและให้ความสำคัญต่อเขาไม่น้อย ครั้งนี้ที่สกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวเป็นฝ่ายขอผูกไมตรีด้วยการเกี่ยวดองเป็นช่วงที่เว่ยเซ่าบังเอิญไม่อยู่ตอนที่ทูตของอีกฝ่ายมาเยือนพอดี เมื่อกลับมาได้ยินข่าวว่าสวีฮูหยินผู้เป็นย่าได้ตอบรับงานมงคลแทนตนไปแล้ว เดิมทีเขายังไม่ยอมเห็นด้วย เนื่องจากทูตเพิ่งจากไปได้ไม่นานจึงตั้งใจจะส่งคนตามไปสกัดขบวนพาทูตกลับมา ทว่ากงซุนหยางเอ่ยโน้มน้าวเขาด้วยเหตุผล สุดท้ายเว่ยเซ่าจึงรับฟังคำแนะนำของอีกฝ่ายแล้วรับปากเรื่องการแต่งงานนี้
“ท่านกงซุนไม่ห่มผ้านอนหลับให้สบายหน่อยหรือ ไยมาตากลมที่นี่เช่นกันเล่า” เว่ยเซ่าย้อนถาม
“เดิมทีข้าเมาสุราจนหลับไปแล้ว พอรู้สึกตัวตื่นก็ไม่ง่วงงุนอีก มองเห็นดวงดาวส่องสว่างเต็มฟ้าจึงมาสังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวยามราตรีที่นี่เสียเลย ไม่คิดว่าจะพบเจอนายท่าน”
กงซุนหยางพูดจบก็หัวเราะหึๆ เดินมาถึงข้างกายเว่ยเซ่าจึงค่อยเอ่ยต่อ
“ข้าเคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งของมณฑลเหยี่ยนโจวว่าไว้ว่า ‘เทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วสุ่ยงามสิบส่วน สองเฉียวงามแปดส่วน’ เดิมทีข้าไม่เชื่อ นึกว่าเพียงกล่าวเยินยอเกินจริงเท่านั้น รอจนได้ยลโฉมธิดาสกุลเฉียวในพิธีมงคลเมื่อหัวค่ำแล้ว นับว่าสมกับคำยกย่องนี้โดยแท้ ข้าดูกิริยาและสีหน้าของนางแล้ว ทั้งที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนหมู่มากกลับไม่เผยแววขลาดกลัวแม้แต่น้อย นับเป็นกุลสตรีผู้ผ่าเผย นายท่านได้ฮูหยินที่งามพร้อมเช่นนี้ ช่างน่ายินดีน่าเฉลิมฉลองยิ่งนัก!”
เบื้องหน้าสายตาของเว่ยเซ่าพลันผุดภาพดวงหน้าน้อยๆ ที่เมื่อครู่เห็นอยู่ว่าตื่นตระหนกสุดขีดจนดวงตาเบิกกลมถึงขั้นนั้น กระทั่งเขาเห็นได้ชัดเจนว่าขนตาของนางสั่นไหว แต่นางก็ยังพยายามแสดงสีหน้าเยือกเย็นต่อหน้าเขาอย่างสุดกำลัง เว่ยเซ่านิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ข้าเพียงแต่ฟังคำแนะนำของท่านกงซุน พายเรือตามน้ำ พลิกแพลงตามสถานการณ์เท่านั้น ไหนเลยจะเรียกว่าน่ายินดีน่าเฉลิมฉลองได้ รุ่งเช้าข้าจะให้นางเดินทางกลับเมืองอวี๋หยางเลย”
กงซุนหยางชะงักไปเล็กน้อยก่อนชำเลืองมองผู้เป็นนาย เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ไยดีจึงเอ่ยปนยิ้ม “ก็ดีเหมือนกันขอรับ พื้นที่แถบเมืองเหอหนานควรวางแผนยึดครองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อาจใจเร็วด่วนได้ ในเมื่อยามนี้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ลุล่วงไปแล้ว การให้นายหญิงเดินทางไปเมืองอวี๋หยางเพื่อปรนนิบัติญาติผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูแทนนายท่าน ให้นายท่านสามารถวางแผนงานใหญ่ได้อย่างเบาใจนั้นก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน”
เว่ยเซ่าทำเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ได้ต่อบทสนทนา
“เมื่อครู่ข้าสังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวในเขตจื่อเวยหยวน* ทว่าดาวจักรพรรดิกลับยังซ่อนอยู่ใต้หมอกขาว เกรงว่าอีกไม่ช้าใต้หล้าจะโกลาหลหนักแน่ ไม่พ้นที่ราษฎรทั้งหลายต้องประสบทุกข์ยากแสนเข็ญ”
กงซุนหยางพลันทอดถอนใจกล่าวเมื่อแหงนมองผืนฟ้าประดับดาว
เว่ยเซ่าแหงนหน้ามองตามทิศทางที่เขาชี้มือ มองเห็นเพียงหมู่ดาวเกลื่อนฟ้าพราวพร่างเป็นจุดแต้ม ทว่ากลับมองความนัยอันใดไม่ออกจึงเอ่ยเพียงว่า “ความล้ำเลิศของท่านกงซุนนี้ข้านับถือเลื่อมใสเสมอมา”
กงซุนหยางสั่นศีรษะ “นายท่านชมเกินจริงแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้ถนัดอวดคารมเท่านั้น แต่หากเอ่ยถึงยอดคนผู้ล้ำเลิศในยุคนี้แล้วก็มีอยู่ผู้หนึ่งจริงๆ ท่านผู้เฒ่ามีนามว่าไป๋สือ เป็นศิษย์สายตรงรุ่นที่ยี่สิบของสำนักโม่จยา ไม่เพียงเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการทูตและการปกครอง ยังมีสติปัญญาสูงเทียมฟ้า ทั้งสันทัดวิชาแพทย์ ความรู้แตกฉานอย่างลึกซึ้ง หากเปรียบข้ากับท่านผู้เฒ่าแล้วก็เป็นดั่งหิ่งห้อยบินทาบแสงดาวเดือน ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงแม้เพียงน้อยนิด”
เว่ยเซ่าเลิกคิ้ว “ยอดคนเช่นนี้ยามนี้จะไปอยู่ที่แห่งหนใดกัน”
กงซุนหยางกล่าว “วัยหนุ่มข้าสืบเสาะไปทั่วทิศ หมายกราบอาจารย์เข้าสำนักโม่จยา สวรรค์ไม่ตัดหนทางคน ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านผู้เฒ่า แต่น่าเสียดายที่ข้าด้อยสติปัญญาจึงไม่ถูกรับเข้าสำนัก ทว่าก็มีโชคได้รับการชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าอยู่สามเดือน ถือเป็นประโยชน์จนชั่วชีวิต เมื่อสิบปีก่อนข้าโชคดีได้พบท่านผู้เฒ่าที่ข้างทางโดยบังเอิญอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าจิตใจของท่านยังห่วงใยผู้คนในใต้หล้า จึงหวนคืนสู่โลกภายนอก ท่องทั่วแดนไปช่วยเหลือผู้คนด้วยวิชาแพทย์ บัดนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านอยู่แห่งหนใด หากยังอยู่ดีมีสุขก็ล่วงถึงวัยเจ็ดสิบปีแล้ว”
ลมหนาวโชยมาหอบหนึ่ง กงซุนหยางพลันไอค่อกแค่ก
ในวัยหนุ่มระหว่างติดตามกองทัพ เขาเคยได้รับบาดเจ็บมาอย่างไม่คาดฝัน ภายหลังแม้อาการจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังทิ้งต้นตอของโรคภัยไว้ ทำให้เขาไอบ่อยครั้ง สุขภาพก็ทรุดโทรมลงไปจากเดิมมาก
“อากาศเหน็บหนาว ท่านกงซุนร่างกายอ่อนแอ ข้าส่งท่านกลับห้องดีกว่า”
เว่ยเซ่ากล่าวทันใด
กงซุนหยางปฏิเสธติดกันว่ามิกล้า บอกว่าตนกลับไปเองเป็นใช้ได้แล้ว เว่ยเซ่าจึงไม่คิดฝืนใจ เพียงปลดเสื้อคลุมของตนคลุมลงบนบ่าของกงซุนหยาง มองส่งเงาหลังของอีกฝ่ายเดินลงจากหอไป
หลังกงซุนหยางจากไป เว่ยเซ่าพิงราวกั้นอยู่ตามลำพัง สายตาทอดมองตามจิตใต้สำนึกไปยังกลุ่มดาวที่กงซุนหยางชี้ให้ตนดูเมื่อครู่นี้
นับแต่ราชวงศ์ฉินสูญเสียแผ่นดิน ทั่วหล้าล้วนร่วมไล่ล่าเพื่อช่วงชิง
ภายในใจอันทะเยอทะยานของเว่ยเซ่าค่อยๆ วาดเค้าโครงภาพอนาคตซึ่งแจ่มชัดขึ้นทุกที