ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 3
ตั้งแต่อายุสิบขวบเขาก็นั่งอยู่บนหลังม้าติดตามบิดาซึ่งเป็นผู้ว่าการมณฑลโยวโจวสู้ศึกกับชาวซยงหนูที่ข้ามพรมแดนเข้ามารุกราน บิดาในสายตาของเขาไม่ต่างจากเทพเซียน ทว่าสิบปีก่อนสกุลเฉียวตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรม เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียบิดาผู้การุณย์กับพี่ชายคนโตไปอย่างปวดร้าว เขาไม่เคยเชื่อคำชี้แจงของสกุลเฉียวที่ว่า ‘คนส่งสารถูกดักสังหารกลางทาง’ คนที่เทียบไม่ได้กระทั่งหมูหมาเยี่ยงนั้น สักวันหนึ่งเขาจะต้องบดขยี้คนสกุลเฉียวให้สาสมใจ เหตุที่ท่านย่าตอบรับการแต่งงานครั้งนี้บางทีอาจเพราะเล็งเห็นประโยชน์ของพื้นที่มณฑลเหยี่ยนโจวก็เป็นได้
ถึงจะแต่งหญิงสกุลเฉียว แต่ก็เป็นไปเพื่อสนองคืนแค้นอีกฝ่ายด้วยวิธีการเดียวกันเท่านั้น นอกจากความรังเกียจที่การแต่งงานนี้นำมาให้แก่จิตใจของตนแล้ว สิ่งอื่นเขาล้วนไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะ
สำหรับบุตรีสกุลเฉียว…
เขาเบนสายตาก้มมองไปยังทิศทางของห้องหอในเรือนเซ่อหยางที่ตนเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ก่อน
แลไปแต่ไกลยังคงเห็นหน้าต่างบานนั้นสะท้อนแสงเทียนแดงรำไร ภายใต้การขับเน้นของผืนรัตติกาลสีดำสนิททำให้โดยรอบดูสะดุดตาอย่างยิ่ง
ได้แต่โทษที่ชะตาของนางอาภัพเอง…เว่ยเซ่าคิดเช่นนี้ โดยไม่รู้ตัวในห้วงความคิดกลับผุดภาพเมื่อแรกเห็นนางถูกพาเดินตรงมาหาตนทีละก้าวในพิธีมงคล
รูปโฉมพอฝืนนับว่าเข้าตาได้กระมัง ทว่าเนื้อบนร่างนั้นตลอดทั้งเบื้องบนเบื้องล่างรวมกันแล้วคงหนักไม่ถึงสองตำลึง
ชายหนุ่มกระตุกยกมุมปาก
หลังเว่ยเซ่าจากไป เสี่ยวเฉียวก็ไม่มีแก่ใจนอนต่อ นางได้แต่ห่อผ้าห่มนั่งรออยู่ในห้องจวบจนฟ้าสาง แต่เขาก็ไม่ได้เผยโฉมมาอีก
ยามที่พวกชุนเหนียงเข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้าบ้วนปาก ในจวนซิ่นก็มีข่าวโจษกันว่าเจ้าสาวไม่เป็นที่พึงใจของท่านโหว เข้าหอเพียงวันเดียว วันรุ่งขึ้นก็จะถูกส่งไปไกลตัวถึงเมืองอวี๋หยางแล้ว
เมืองอวี๋หยางคือที่ตั้งหลักของสกุลเว่ย ยามนี้สวีฮูหยินผู้เป็นย่าของเว่ยเซ่าและจูซื่อ* มารดาม่ายของเขาล้วนแต่อยู่ที่นั่น
เดิมทีผู้เป็นสะใภ้ไปดูแลญาติผู้ใหญ่เพื่อแสดงความกตัญญูแทนสามีที่ภูมิลำเนาถือเป็นจารีตอันพึงปฏิบัติ ทว่าวันรุ่งขึ้นหลังแต่งงานก็จะถูกส่งไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้…
เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก!
แรกเริ่มชุนเหนียงยังฝืนทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรต่อหน้าเสี่ยวเฉียว ต่อมาอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงสั่งให้สาวใช้ออกไป ก่อนที่นางจะกุมมือเสี่ยวเฉียวกล่าวทั้งน้ำตา “นายหญิง บ่าวได้ข่าวแต่เช้าว่ามีข้ารับใช้ตื่นมาเข้าห้องปลดทุกข์ตอนยามโฉ่ว มองเห็นเว่ยโหวตั้งแต่ไกล ไฉนเขาออกจากห้องหอทั้งที่ยังไม่ทันเช้าเช่นนั้นเล่า หรือว่าท่านลืมสิ่งที่บ่าวกำชับไว้ เผลอไปยั่วโทสะของเขาเข้า วันนี้เขาถึงจะส่งท่านไปที่อวี๋หยางเช่นนี้”
ความหมายของชุนเหนียงพูดให้ชัดคือตอนนี้ข้ารับใช้ในจวนซิ่นล้วนกำลังโจษกันว่ากิจในห้องหอเมื่อคืนนี้ไม่ราบรื่น เว่ยโหวไม่พอใจในตัวเจ้าสาว ดังนั้นวันนี้จึงไล่ให้นางกลับจวนสกุลเว่ยที่เมืองอวี๋หยางทันที
ความไม่เป็นธรรมและความอัดอั้นที่อยู่ในใจเสี่ยวเฉียวนั้นไม่อาจชี้แจงได้
ย่อมไม่เหมาะกระมังที่นางจะบอกชุนเหนียงว่าเจ้าบ่าวเว่ยเซ่าดื่มสุราจนเมามายกลับมา เขานอนหลับไปเพียงคนเดียวโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลนางสักนิด นางอดทนจนครึ่งคืนหลังกระทั่งถูกความหนาวปลุกให้ตื่น แค่คิดจะหยิบผ้าห่มสักผืนมาอุ่นร่างกายเท่านั้นกลับหวุดหวิดจะถูกเขาฆ่าตายเพราะนึกว่าเป็นมือสังหารเสียได้
คนผู้นี้…ที่แท้ยามปกติเคยทำเรื่องน่าละอายใจไว้มากมายเท่าใดกันแน่ กระทั่งในห้วงนิทราก็ยังหวาดระแวงตื่นตัวได้ถึงขั้นนั้น
“ข้าไม่ได้ล่วงเกินเขาแต่อย่างใดเลย ที่จริงเมื่อคืนเขาไม่ได้แตะต้องตัวข้าด้วยซ้ำ เขาแค่ไม่ชอบข้าก็เท่านั้นเอง ท่านลุงกับสกุลเว่ยเกี่ยวดองกัน เดิมทีต่างฝ่ายก็มีจุดประสงค์ของตนเอง ในเมื่อข้ายอมออกเรือนมาเช่นนี้ ในใจย่อมเตรียมพร้อมแต่แรกแล้ว ไปอวี๋หยางแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไร ช้าเร็วข้าก็ต้องไปอยู่ดี ไยต้องว้าวุ่นใจว่าจะไปก่อนหรือหลังด้วย ส่วนผู้อื่นเขาพูดอันใดกันบ้างก็สุดแท้แต่คนเขาพูดไปเถิด ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก ท่านก็อย่าได้เสียใจไปเลย”
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย วันหน้ายังต้องเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้อีกแน่ นางไม่ปรารถนาให้ชุนเหนียงตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ และต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อยๆ เช่นนี้ นางจึงถือโอกาสนี้พูดให้ชัดเจนเสียเลย
“ชุนเหนียง แม้ท่านได้ชื่อว่าเป็นบ่าว แต่ข้าก็เห็นท่านราวกับเป็นมารดาครึ่งหนึ่ง ข้าแต่งมาที่สกุลเว่ย ข้างกายก็มีท่านเพียงคนเดียวที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างเต็มที่ ข้าจึงคาดหวังว่าจิตใจของท่านจะหนักแน่นไม่หวั่นไหว วันข้างหน้าเผชิญกับเรื่องใดก็สามารถช่วยเหลือข้าได้อีกแรง”
ชุนเหนียงตกตะลึง มองเสี่ยวเฉียวอย่างนิ่งงัน
แสงอรุณฉายส่องเข้ามาทางหน้าต่างทิศตะวันออก ทอดมาถึงข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แสงตะวันสีทองอร่ามฉาบสีสันอันอบอุ่นบนผิวกายอ่อนเยาว์ของเสี่ยวเฉียว กระทั่งขนอ่อนที่เล็กละเอียดแต่ละเส้นบนติ่งหูก็ยังแลเห็นชัดถนัดตา สาวน้อยคลี่ยิ้มมองชุนเหนียงอยู่เช่นกัน นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบวิบวับดุจมีอัญมณีหมุนวนอยู่ภายใน
นายหญิงที่เป็นเช่นนี้คือผู้ที่ชุนเหนียงคุ้นเคยทว่าก็รู้สึกแปลกหน้า แต่กระนั้นนายหญิงผู้นี้ก็ทำให้ความเชื่อมั่นผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของชุนเหนียงทีละน้อย ทั่วร่างคล้ายดั่งมีพลัง ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะปกป้องอีกฝ่ายโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองพลันบังเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
“นายหญิงสั่งสอนได้ถูกต้อง! บ่าวจดจำไว้แล้ว! บ่าวจะหวีผมแต่งตัวให้ท่านสุดฝีมือประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
ชุนเหนียงปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคลานขึ้นมายืนที่เบื้องหลังผู้เป็นนายแล้วเริ่มหวีผมแต่งตัวให้อีกฝ่าย
นางมีมืออันแคล่วคล่องคู่หนึ่งซึ่งหวีผมแต่งตัวให้ผู้อื่นได้อย่างล้ำเลิศ อันเป็นผลมาจากการค่อยๆ เรียนรู้จนกระทั่งเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วจากพรสวรรค์ เมื่อก่อนตอนที่มารดาของเสี่ยวเฉียวยังมีชีวิตอยู่มักเอ่ยชมมือวิเศษของนางว่าสามารถแปลงรูปโฉมของสตรีจากความงามห้าส่วนเพิ่มเป็นแปดส่วนได้
เดิมทีเมื่อคืนชุนเหนียงยังกังวลใจว่าเว่ยโหวจะไม่รู้จักหนักเบา ทำให้นายหญิงต้องทนทุกข์ นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าเขากลับไม่ได้แตะต้องนายหญิงเลยแม้แต่น้อย
ความไม่ยินยอมและความอัดอั้นที่อยู่ในใจของชุนเหนียงจึงยากจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดเช่นกัน เฉกเช่นอัญมณีที่ตนซุกซ่อนไว้ในตลับล้ำค่า ยามปกติคอยเก็บงำมิดชิดไม่ยอมแสดงต่อผู้ใด บัดนี้เมื่อส่งมอบนายหญิงถึงเบื้องหน้าอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีรังเกียจไม่เห็นอยู่ในสายตาเชียวหรือ
เดิมทีชุนเหนียงรู้สึกเคารพยำเกรงเว่ยเซ่าเป็นอย่างมาก ทว่าผ่านเหตุการณ์เช้านี้นางพลันบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
เว่ยโหวผู้นี้ที่แท้ดวงตามืดบอดถึงขั้นใดกันแน่ ถึงมองข้ามเสี่ยวเฉียวที่นางรักยิ่งไปได้ถึงขั้นนี้ กระทั่งลบหลู่เกียรติด้วยวิธีส่งนางจากไปตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังการแต่งงาน
เมื่อคืนเครื่องประทินโฉมหนาเข้มซึ่งเหมาะกับงานพิธีย่อมงามหรูอย่างภูมิฐาน ทว่าแท้จริงได้กลบเสน่ห์ที่มีอยู่แต่เดิมของเสี่ยวเฉียวไป วันนี้ตนจะต้องแต่งตัวให้นายหญิงอย่างสุดฝีมืออีกครั้ง ต่อให้จากไปก็ต้องไปอย่างงดงาม จะปล่อยให้พวกเขาเก็บไปเยาะหยันไม่ได้อีกเป็นอันขาด!