ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 3
จากเมืองซิ่นตูขึ้นเหนือไปอวี๋หยาง ระยะการเดินทางต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือน ก่อนหน้านี้สวีฮูหยินส่งจงเอ่ามาจัดเตรียมงานมงคลที่นี่ ยามนี้งานพิธีลุล่วงแล้ว นายหญิงจะเดินทางขึ้นเหนือ นางย่อมร่วมทางกลับไปพร้อมกัน
ผู้ที่คุ้มกันส่งนายหญิงขึ้นเหนือ…ยังคงเป็นเว่ยเหลียง
เว่ยเหลียงเดิมทีก็เจ็บแค้นชิงชังสกุลเฉียวอย่างลึกล้ำอยู่แล้ว เมื่อครั้งที่เฉียวผิงบิดาของเสี่ยวเฉียวมาร่วมไว้อาลัยที่จวนสกุลเว่ยนั้น เขาก็คือคนแรกที่ชักดาบใส่ด้วยโทสะในโถงตั้งศพ บัดนี้เขาย่อมไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อเสี่ยวเฉียวเช่นกัน เพียงแต่ภารกิจนี้ท่านกงซุนเป็นผู้มอบหมายให้เขา เขาจึงมิอาจบอกปัดได้ อีกทั้งในใจก็รู้ดีว่าหญิงสกุลเฉียวผู้นี้แม้ในวันหน้าจะถูกลิขิตให้ไม่มีใครญาติดีด้วยแน่นอน แต่ในเมื่อนายท่านแต่งกับนางมาอย่างนี้แล้วก็บ่งชัดว่านางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ฝืนใจรับปากไป
เว่ยเหลียงเตรียมม้าและตัวรถเสร็จแล้วก็ไปคัดเลือกผู้ติดตาม หลังสั่งให้คนยกสัมภาระส่วนตัวของเสี่ยวเฉียวออกมาจัดเก็บเรียบร้อยก็รอคอยอยู่หน้าประตูจวนซิ่น
เสี่ยวเฉียวไม่ได้ปล่อยให้ผู้อื่นคอยนาน เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ดวงตะวันเพิ่งจะลอยไปถึงยอดหลังคาเท่านั้น นางก็พาชุนเหนียงกับเหล่าสาวใช้เดินออกมาจากเรือนเซ่อหยาง
เห็นทีว่าเมื่อเช้าชุนเหนียงจะอัดอั้นจริงๆ
หากบอกว่าอาภรณ์และเครื่องประทินโฉมของเสี่ยวเฉียวในงานมงคลเมื่อคืนนี้เพื่อให้สมกับฐานะภรรยาของท่านโหวจึงได้แต่งค่อนไปทางงดงามหรูหราดูภูมิฐาน และไม่แคล้วกลายเป็นข้อเสียให้นางดูอาวุโสเกินจริง เช่นนั้นยามนี้นอกจากให้พอเหมาะตามจำเป็นแล้ว สิ่งที่มากยิ่งกว่าคือครั้งนี้ชุนเหนียงทำให้รูปโฉมที่มีอยู่แต่เดิมของเสี่ยวเฉียวถูกขับเน้นออกมาได้อย่างชวนตะลึง ทั้งกิริยาอันน่าประทับใจก็เผยออกมาตามธรรมชาติในทุกอิริยาบถ
ชุนเหนียงเฝ้ามองและเลี้ยงดูเสี่ยวเฉียวจนเติบใหญ่ อีกฝ่ายสามารถงดงามได้ถึงขั้นใด ไม่มีใครรู้กระจ่างยิ่งไปกว่าชุนเหนียงอีกแล้ว
ชุนเหนียงเกล้ามวยผมทรงชมเซียนให้กับเสี่ยวเฉียว เรือนผมยาวทั้งหมดถูกมุ่นสูงอยู่บนศีรษะ ประดับด้วยหวีเสียบผมหยกเขียวที่เสี่ยวเฉียวโปรดปรานมากที่สุด ข้างจอนผมเสียบปิ่นระย้าอีกอันซึ่งฝังไข่มุกแดนใต้ขนาดเท่าเล็บนิ้วมือหนึ่งเม็ด นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นที่เกินควรอีก อันที่จริงดวงหน้าของสาวน้อยก็ไม่จำเป็นต้องผัดแป้งแต้มชาดมากมายแต่อย่างใด หากแป้งและชาดลงหนามากไปรังแต่จะกลบความงดงามดั้งเดิมของนาง เมื่อวานที่ชุนเหนียงแต่งหน้าเข้มให้นางอย่างนั้นก็เพราะคำนึงว่าหากแต่งหน้าอ่อนเกินไปก็จะถูกสีของชุดพิธีข่มเอาได้ เช้านี้ชุนเหนียงจึงเพียงวาดผ่านคิ้วโค้งงามนั้นเบาๆ แต้มชาดบนริมฝีปากเล็กน้อย สองแก้มทาแป้งหอมสีเมฆยามสายัณห์ชั้นบางๆ ก็เพียงพอที่ดวงหน้านั้นจะงามเฉิดฉายชวนให้หวั่นไหวแล้ว
ชุนเหนียงรู้มานานแล้วว่าชุดชวีจวี* ซึ่งเข้ารูปตลอดร่างและปล่อยชายส่วนที่เลยเข่าให้ระพื้นนั้นสามารถเผยเรือนร่างของเสี่ยวเฉียวซึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นงดงามมากขึ้นทุกวันได้ดียิ่งกว่าชุดใดๆ นางปรนนิบัติเสี่ยวเฉียวอาบน้ำอย่างใกล้ชิด ย่อมล่วงรู้การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของอีกฝ่ายชัดเจนที่สุด ปีที่แล้วหลังจากเสี่ยวเฉียวเริ่มมีระดูก็เริ่มเห็นรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ทรวงอกดุจปทุมดอกตูมเริ่มนูนเด่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ ไม่ว่าความงามหรือผิวสัมผัสล้วนละเอียดอ่อนผิดแผกไปจากสตรีที่เจริญเต็มวัยเหล่านั้น หากมิได้เห็นด้วยตาตนเองก็ยากที่จะพรรณนาได้
เสี่ยวเฉียวผิดกับสตรีที่นี่ซึ่งโดยมากจะมีรูปร่างสูงใหญ่ ธิดาเจ้าเมืองผู้เป็นนายของนางนั้นอาจจะมีโครงร่างที่เล็กบางไปสักหน่อย อีกทั้งเพิ่งถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น ส่วนสูงจึงยังเติบโตไม่เต็มที่ ประกอบกับเมื่อคืนนี้เรือนร่างจริงๆ ซึ่งอรชรสมส่วนถูกชุดพิธีทั้งในนอกรวมกันถึงหกชั้นบดบังไป แท้จริงแล้วเสี่ยวเฉียวมิได้ผอมแห้งดุจไม้ฟืนอย่างที่สตรีรุ่นป้าปากเปราะเหล่านั้นเยาะหยันลับหลังเมื่อเช้านี้แน่นอน
ชุนเหนียงเลือกชุดชวีจวีสีชมพูอ่อนให้เสี่ยวเฉียวสวมใส่ หลังพันอ้อมด้านหลังร่างมาทบกับตัวเสื้อด้านหน้าแล้วก็รัดด้วยสายคาดเอวปักลาย เบื้องล่างเผยให้เห็นกระโปรงจีบบานที่ทอด้วยผ้าแพรชั้นดีเนื้อนุ่มเบาปักลายด้วยไหมเงิน เนื่องจากอากาศหนาวลมแรง เมื่อจัดแขนเสื้อเรียบร้อยจึงเพิ่มเสื้อคลุมพร้อมหมวกสีชมพูอมม่วงขลิบขนสัตว์ให้อีกตัว เสื้อคลุมปราศจากเครื่องตกแต่งอื่นใด มีเพียงชายด้านหนึ่งที่ปักดอกเอ้อเหมย* เบ่งบานหนึ่งกิ่ง หากมีลมแรงก็สามารถตลบหมวกขึ้นมาสวมเพื่อเพิ่มความอบอุ่นได้ ทั้งเรียบสุภาพและไม่ขาดความสง่างามแต่อย่างใด
เครื่องแต่งกายสำหรับเดินทางซึ่งเน้นตัวตนของเสี่ยวเฉียวเป็นส่วนใหญ่ชุดนี้ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็เหลือเพียงคำว่าพอเหมาะเข้าทีแล้ว ทั้งไม่ดูฟุ้งเฟ้อ ทั้งไม่เรียบง่ายจนถึงขั้นสมถะเกินไป ไม่ถือเป็นการบั่นทอนฐานะของฮูหยินท่านโหวที่เพิ่งเข้าพิธีเลยแม้แต่น้อย ยามที่นางเดินเนิบช้าต้องลมออกมานั้นก็เห็นเรือนผมดุจเส้นไหมดำประดับด้วยหยกเขียว ตัวเสื้อและกระโปรงพลิ้วไหวได้ สองตาของนางพราวระยับ ปิ่นระย้าข้างจอนผมทอประกายงดงามจับตา มองจากที่ไกลๆ เสี่ยวเฉียวประหนึ่งเป็นเทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วสุ่ยปรากฏกายขึ้นเหนือสายน้ำ งามสะคราญหาใดเปรียบ แม้แต่ลานหน้าเรือนสี่เหลี่ยมที่ปกติดูอึมครึมผิดธรรมดาเพราะอยู่ในช่วงฤดูเหมันต์แห่งนี้ก็ยังคล้ายถูกเติมแต่งด้วยภาพทิวทัศน์อันงามตื่นตาด้วยต้นฤดูวสันต์ ตลอดทางที่เดินออกไป ข้ารับใช้ที่พบเจอต่างมัวเหลือบมองนางจนถึงกับลืมคารวะ จวบจนนางเดินไกลออกไปทุกขณะแล้วก็ยังคงเหม่อมองเงาหลังอันงดงามนั้น ไม่อาจถอนสายตาคืนมาได้เสียที
ในที่สุดชุนเหนียงก็รู้สึกว่าลมหายใจที่ติดขัดอัดอั้นอยู่ในอกค่อยโล่งขึ้นเล็กน้อย
ผ่านประตูที่อยู่เบื้องหน้าไปก็จะมุ่งออกจากประตูใหญ่แล้ว ตรงนั้นมีบันไดหลายขั้น เป็นเพราะเมื่อคืนอากาศหนาวจัด ชุนเหนียงก็กลัวว่าขั้นบันไดจะมีเศษน้ำแข็งตกค้างอยู่จึงยื่นมือประคองเสี่ยวเฉียวไว้ ขณะที่มือเสี่ยวเฉียวยกชายกระโปรงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงมองขั้นบันได นางก็รู้สึกได้ว่าชุนเหนียงที่อยู่ข้างกายพลันชะงักฝีเท้า จากนั้นแขนเสื้อของนางก็ถูกอีกฝ่ายกระตุกเบาๆ
สาวน้อยช้อนตาขึ้น ก่อนจะเห็นเว่ยเซ่ายืนอยู่ริมทางเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ข้างกายของเขายังมีบุรุษวัยกลางคนอีกผู้หนึ่ง รูปร่างคนผู้นี้ซูบผอมเล็กน้อย ไว้เคราสามกลุ่ม ใบหน้าตอบทว่าแววตากลับเจิดจ้า สีหน้าดูอมโรคจากการตรากตรำงานสะสมมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนสนิทของเว่ยเซ่า
บุรุษทั้งสองน่าจะเพิ่งมาถึงที่นี่จึงพบเจอกับนางเข้าเช่นนี้
เสี่ยวเฉียวเห็นสองตาของเว่ยเซ่ากวาดมาที่ตน ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความรู้สึก นางชะงักฝีเท้าเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินต่ออย่างหน้าตาเฉยไปที่เบื้องหน้าเขา รอจนเข้าไปใกล้แล้วใบหน้าจึงค่อยเผยรอยยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยเรียกเขาหนึ่งคำ “ท่านพี่”
บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายเขาค้อมกายคารวะนาง แนะนำตนเองว่าแซ่กงซุน นามหยาง เป็นกุนซือของท่านโหว
เสี่ยวเฉียวใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผงกศีรษะเล็กน้อยให้กงซุนหยางเป็นการทักทาย จากนั้นจึงหันมากล่าวกับเว่ยเซ่าต่อ “ข้าจะออกเดินทางแล้ว ต่อไปไม่อาจอยู่รับใช้ท่านพี่ได้ หวังว่าท่านพี่จะถนอมรักษาตัวด้วย” จบคำนางก็ย่อกายลงเล็กน้อย เบือนหน้าหมุนกายจากไปโดยไม่มองเขาอีก
เว่ยเซ่าคล้ายจะตะลึงไปเล็กน้อย หัวคิ้วมุ่นนิดๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของนาง
แม้ในใจชุนเหนียงจะขุ่นเคืองเว่ยเซ่าอยู่มาก ทว่าพบเจอกันเช่นนี้การแสดงออกภายนอกย่อมยังไม่กล้าเพิกเฉย เห็นเสี่ยวเฉียวจากไปแล้วจึงรีบคารวะคนทั้งสองก่อนหมุนกายไล่ตามไป สาวใช้ที่เหลือต่างเอาอย่างชุนเหนียงรุดตามไปเช่นกัน
“นายท่านไม่ไปส่งนายหญิงออกจากเมืองหรือขอรับ”
รอจนเงาร่างของเสี่ยวเฉียวเคลื่อนไกลออกไปทุกที กงซุนหยางก็โน้มน้าวอีกคำรบ
“ตามความเห็นของข้า นายท่านไปส่งนางออกจากเมืองจะเป็นการดีกว่า พิธีสมรสตามจารีตโบราณของราชวงศ์โจวถือการเกี่ยวดองว่าเป็นการผูกมิตรระหว่างแคว้น แม้บัดนี้จารีตจะไม่ได้เข้มงวดมากถึงเพียงนั้นแล้ว ทว่าการสมรสของผู้ปกครองที่เป็นไปอย่างปรองดองนั้นยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของราษฎรยิ่งกว่า เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือคุณธรรมอันพึงยึดถือ เมื่อวานเพิ่งเข้าพิธี วันนี้นายหญิงก็เดินทางขึ้นเหนือเสียแล้ว เรื่องนี้แม้จะยังอ้างเรื่องการศึกตึงเครียดได้ ทว่าแค่ไปส่งออกจากเมืองระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวเท่านี้ ต่อให้นายท่านงานรัดตัวเพียงใดก็ไม่เหมาะที่จะละเลยเช่นนี้ หากนายท่านไม่ไปส่ง เกรงแต่จะทำให้ชาวเมืองทั้งหลายแคลงใจได้”