ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 3
เมื่อเสี่ยวเฉียวออกจากประตูใหญ่ เว่ยเหลียงกับจงเอ่าล้วนตรงมาต้อนรับ รอจนนางก้าวขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว เว่ยเหลียง จงเอ่า และคนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปประจำที่ของตน ขณะจะออกเดินทางก็เห็นเว่ยเซ่าเดินออกมาเสียก่อน พวกเขาจึงรีบไปต้อนรับ
“เตรียมม้า ข้าจะไปส่งนางออกจากเมือง”
เสี่ยวเฉียวขึ้นนั่งในรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางพลันได้ยินเสียงของเว่ยเซ่าแว่วมาจากด้านหลัง ด้วยความสงสัยใคร่รู้จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกม่านมองเขาปราดหนึ่ง เห็นเขายืนอยู่ตรงขั้นบันไดของประตูใหญ่กำลังรอคนไปจูงม้ามาให้ เขาหันใบหน้าด้านข้างให้นาง ถึงกระนั้นนางก็ยังมองออกว่าสีหน้าของเขาดูเจือความรำคาญใจอยู่ ราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จู่ๆ เขาก็หันขวับมาพร้อมกับสาดสายตามายังรถม้าของนาง
เสี่ยวเฉียวจึงรีบกระถดถอยแล้วปล่อยม่านลงทันควัน
ขบวนรถและม้าต่างก็ออกเดินทางไปบนถนนใหญ่
ยามนี้ผู้คนบนท้องถนนเพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นว่าขบวนรถและม้ามาจากทิศทางของจวนซิ่น รถม้าขนาดใหญ่ที่อยู่กลางขบวนมีองครักษ์ติดตามทั้งหน้าหลัง เว่ยเซ่าเองก็คอยขี่ม้าอยู่ด้านข้าง คนเดินถนนจึงค่อยๆ ห้อมล้อมเข้ามาพลางร้องเรียกเขาว่าท่านโหว พอผ่านถนนไปหนึ่งสาย ผู้คนก็มากขึ้นทุกที ไม่รู้ข่าวนี้แพร่ออกไปอย่างไร ไม่นานนักผู้คนก็พูดกันว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่นั้นคือฮูหยินท่านโหวที่เพิ่งเข้าพิธีมานั่นเอง เนื่องจากการศึกกำลังตึงเครียด ท่านโหวจึงจำต้องส่งนางขึ้นเหนือในวันรุ่งขึ้นหลังพิธีแต่งงานผ่านไปเพียงวันเดียว แม้ไม่อาจหักใจพรากจากเพียงใด ทว่าไร้ซึ่งหนทางแล้วจึงได้แต่ส่งนางออกจากเมืองด้วยตนเอง อารมณ์ของชาวเมืองค่อยๆ ถูกปลุกเร้าขึ้นอย่างช้าๆ กระทั่งมีบางคนเริ่มตะโกนคารวะนายหญิงที่อยู่ในรถม้าแต่มิได้เผยโฉมขึ้นมา คนที่เหลือต่างพากันทำตามทันที
เสี่ยวเฉียวนั่งอยู่ในรถม้า นางได้ยินคนเดินถนนด้านนอกเอ่ยแสดงความเคารพต่อนาง บ้างก็อวยพรเสียงก้องให้นางเดินทางอย่างราบรื่นปลอดภัย
ในยุคนี้แม้ชนชั้นสูงจะริเริ่มผลักดันข้อปฏิบัติตามแนวคิดของสำนักหรูจยา อาทิ ยกย่องชายเหนือหญิง ไม่สนับสนุนให้หญิงแต่งงานใหม่ ทว่าเมื่อเปรียบกับค่านิยมในยุคต่อมาแล้วก็ยังถือว่ายุคนี้เปิดกว้างกว่ามากนัก ทั้งไม่มีข้อจำกัดอันเข้มงวดที่ห้ามสตรีชั้นสูงเผยโฉมต่อธารกำนัล ตอนที่อยู่มณฑลเหยี่ยนโจว เมื่อครั้งมารดาของเสี่ยวเฉียวยังมีชีวิตอยู่จะพาทั้งต้าเฉียวและเสี่ยวเฉียวไปที่ศาลเทพบุปผาร่วมงานเทศกาลซั่งซื่อ* อันเป็นหนึ่งในวันเทศกาลสำคัญช่วงเดือนสามของทุกปี ช่วงนั้นเป็นฤดูวสันต์ที่มีดวงตะวันอบอุ่นทอแสงงามตา ตลอดทางที่นั่งรถม้านั้นจะคอยเปิดม่านกว้างรับคำทักทายจากชาวเมืองที่พบเจอตามรายทาง สนุกสนานกับเทศกาลร่วมกัน ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่จากสองข้างทางดังขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวเฉียวจึงเรียกให้ชุนเหนียงม้วนม่านขึ้นทั้งสองด้าน พลางคลี่ยิ้มผงกศีรษะทักทายชาวเมืองที่อยู่ตลอดสองข้างทาง
ชาวเมืองต่างก็ไม่มีใครรู้เรื่องในอดีตระหว่างเว่ยและเฉียวสองสกุล และเนื่องจากเว่ยเซ่าครองใจราษฎรอย่างมาก พวกเขาย่อมมีความรู้สึกที่ดีในระดับเดียวกันนี้ต่อภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีแต่งงานของท่านโหวด้วย พวกเขาต่างมีอารมณ์ร่วมต่อสามีภรรยาที่ต้องพรากจากตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังการแต่งงาน จึงพากันตามมาส่งตลอดทาง ในที่สุดก็เห็นนางเผยโฉมทักทายตอบ นางนั่งสง่าอยู่กลางรถม้าในอิริยาบถอันสุภาพงดงาม รูปโฉมกิริยาดุจเทพเซียน รอยยิ้มประหนึ่งสายลมอ่อนๆ พัดพากลิ่นหอมบางเบาผ่านมายังสถานที่ซึ่งชวนให้ผู้คนใฝ่หา นางดูเป็นกันเองน่าเข้าใกล้ ยามที่สายตาของนางกวาดผ่าน ในใจทุกคนล้วนบังเกิดความรู้สึกคล้ายฮูหยินท่านโหวกำลังทักทายตน แต่ละคนจึงพลันโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้นมิคลาย ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างติดตามรถม้าไปตลอดทาง ผู้คนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดล้วนห้อมล้อมอยู่บนถนนตลอดสองข้างของรถม้า เพียงหมายจะได้ยลโฉมนางอีกสักครั้ง
แรกเริ่มที่เสี่ยวเฉียวเผยโฉมคลี่ยิ้มทักทายราษฎรนั้นเพราะเป็นหน้าที่อันพึงกระทำในฐานะที่นางเป็นภรรยาท่านโหวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าการกระทำนี้จะดึงดูดให้ผู้คนตามมาส่งอย่างล้นหลามตลอดทางเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าบริเวณที่ไกลออกไปยังมีผู้คนวิ่งมาทางนี้อย่างไม่ขาดสายอีก ด้วยกลัวว่าจะมีคนมาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะเกิดเหตุเหยียบกันอย่างไม่คาดฝันขึ้น นางจึงโบกมือให้ราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงนี้เป็นความหมายว่าไม่ต้องส่งนางแล้ว จากนั้นเสี่ยวเฉียวจึงปล่อยม่านรถลง
ราษฎรส่งภรรยาท่านโหวออกจากเมือง เดิมทีถือเป็นเรื่องปกติ แรกเริ่มเว่ยเหลียงก็ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งเห็นผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นทุกที สุดท้ายถึงขั้นแย่งกันไล่ตามรถม้า ศีรษะของฝูงชนสองข้างทางล้วนคลาคล่ำราวกับอยู่ในตลาดนัด หากมิใช่สองข้างของรถม้ามีทหารผู้ติดตามคอยถือหอกขวางอยู่ตลอดทางแล้วล่ะก็ เกรงว่าผู้คนคงเบียดเสียดเข้ามาในขบวนเป็นแน่ เว่ยเหลียงร้อนใจ หันหน้าไปมองเว่ยเซ่าที่รั้งอยู่ด้านหลังเล็กน้อย ก็เห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนเจือด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย
เห็นชัดว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของผู้เป็นนาย
ในใจเว่ยเหลียงอดไม่ได้ที่จะเริ่มตำหนิหญิงสกุลเฉียวมากเรื่องผู้นั้น ก่อนจะมองไปทางรถม้าอีกครั้ง ยังดีที่นางปล่อยม่านลงแล้ว เขารีบกระทุ้งสะโพกม้าพลางควบเข้าไปใกล้ แล้วคุ้มกันรถม้าด้วยตนเองไปพลาง สั่งเสียงก้องให้ผู้คนแยกย้ายไปพลาง ขบวนรถม้าเคลื่อนๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้ จนในที่สุดพอพ้นออกจากเมืองแล้วก็ค่อยเร่งความเร็วขึ้นได้ กระทั่งเห็นว่าห่างจากประตูเมืองมาหลายลี้แล้วเว่ยเหลียงจึงสั่งให้หยุดขบวนรถม้าที่ริมทาง
หลังออกจากเมือง สีหน้าของเว่ยเซ่ายังคงลุ่มลึกดุจน้ำนิ่ง เขายิ่งไม่ได้ลงมาจากม้า รอจนพวกเว่ยเหลียงมาคำนับลาที่เบื้องหน้า ชายหนุ่มจึงค่อยสั่งการไปสองสามประโยค กำชับให้อีกฝ่ายเดินทางอย่างระมัดระวัง แล้วจึงช้อนสายตาขึ้น เหลือบมองรถม้าเบื้องหน้าที่ไม่ได้เลิกม่านขึ้นอีกเลยนับแต่ออกจากเมือง จากนั้นก็หันหัวม้ามุ่งกลับเข้าเมืองทันที
เว่ยเหลียงยืนอยู่ริมทาง มองส่งเงาร่างบนหลังม้าของเว่ยเซ่าจนลับหายไปแล้วค่อยหมุนกายมาตะโกนบอกผู้ติดตามเสียงดัง “ออกเดินทาง! ส่งนายหญิงกลับอวี๋หยางในเร็ววัน พวกเราก็จะได้กลับมากันเร็วหน่อย!”
หลายวันแรกของปีใหม่นี้ผ่านพ้นไปกับการเดินทาง สี่ห้าวันต่อมาขบวนของเสี่ยวเฉียวก็ถึงพื้นที่ที่เรียกว่าชิวจี๋ ซึ่งแปลว่าชุมนุมเนิน หากตัดผ่านเส้นทางบนเขาอันคดเคี้ยวที่อยู่เบื้องหน้าไปหลายลี้ก็จะเข้าเขตเมืองเหอเจียน สีท้องฟ้ายามใกล้พลบค่ำขมุกขมัว สายลมที่โชยมาราวมีดกรีดเฉือน หิมะคล้ายว่ากำลังจะตก นึกได้ว่าเส้นทางบนเขาอันคดเคี้ยวนั้นยากแก่การเดินทางในเวลานี้ เว่ยเหลียงจึงให้หยุดขบวนและค้างแรมในจุดพักเปลี่ยนม้าที่อยู่ใกล้เคียง
ในรถม้าที่เสี่ยวเฉียวนั่งมานั้นมีทั้งเตาผิงและเบาะรองนั่ง แต่กระนั้นการเดินทางทั้งวันก็ยังทำให้นิ้วเท้าของนางถูกแช่เย็นจนเป็นเหน็บชา นับประสาอะไรกับจงเอ่าและพวกสาวใช้ที่นั่งเพียงรถม้าธรรมดาซึ่งไม่มีแม้แต่เตาผิง อย่างไรเสียตัวรถม้าของนางก็ยังนั่งได้อีกหลายคน เบียดเสียดกันสักหน่อยไม่เห็นเป็นไร
เมื่อช่วงพักเที่ยงเสี่ยวเฉียวจึงให้ชุนเหนียงไปเรียกจงเอ่ากับสาวใช้มา ให้พวกนางมานั่งอุ่นกายด้วยกันในรถม้าของตน แต่จงเอ่ากลับปฏิเสธด้วยฐานะสูงต่ำนั้นมีข้อแตกต่าง นายบ่าวไม่อาจปะปนกันได้ พวกสาวใช้ค่อนข้างเกรงกลัวจงเอ่าอยู่แล้ว เห็นจงเอ่าไม่ขึ้นรถม้าคันใหญ่นี้จึงจำใจกัดฟันนั่งรถคันเดียวกับนางต่อไป
ยามนี้ได้เข้าที่พักเสียที โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้ทรุดโทรมคับแคบอยู่บ้าง แต่ชั่วดีอย่างไรก็อบอุ่นกว่าเบื้องนอกมากนัก เมื่อเข้าที่พักแล้วทุกคนจึงผ่อนคลายลงอย่างมาก
เสี่ยวเฉียวออกเงินขอให้หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าส่งคนไปซื้อหาสุรากับเนื้อหัวหมูมาให้เว่ยเหลียงและเหล่าทหารที่คุ้มกันตนมาตลอดทางได้ดื่มสุราอุ่นกาย หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้ารู้ว่านางคือภรรยาของเว่ยเซ่า ไหนเลยจะกล้าเรียกร้องเงิน เสี่ยวเฉียวย่อมไม่ปล่อยให้เขาต้องควักเนื้อเช่นกันจึงสั่งให้ชุนเหนียงยื่นเงินไป หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าไม่อาจปฏิเสธเงินได้จึงออกไปซื้อหาและผัดเนื้อหมูอุ่นสุราขึ้นโต๊ะด้วยตนเอง เหล่าทหารต่างก็นั่งล้อมวงดื่มกินกันด้วยความซาบซึ้งที่นายหญิงเอาใจใส่ ผิดกับเว่ยเหลียงที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนรับรอง เขาเพียงทอดตามองฟ้าสีดำทะมึนเบื้องนอก สีหน้าดูเหมือนเจือไว้ด้วยความกังวล
อากาศหนาวจัดของแดนเหนือหลังเดือนสิบสองไม่ใช่คำโอ้อวดเลยจริงๆ
เสี่ยวเฉียวมีเท้าที่นิ่มนุ่มอยู่คู่หนึ่ง นิ้วเท้ากลมเกลี้ยง โคนเล็บสีชมพูอ่อนรูปจันทร์เสี้ยวเล็กๆ เรียงตัวเป็นระเบียบดูน่ามองยิ่งนัก เมื่อก่อนตอนที่อยู่มณฑลเหยี่ยนโจว สาวน้อยไม่เคยเป็นแผลเปื่อยในฤดูเหมันต์มาก่อน ทว่ามาที่นี่เพียงไม่กี่วันนิ้วเท้ากลับเริ่มคันยุบยิบเสียแล้ว เมื่อคืนยิ่งคันคะเยอไปถึงตับและหัวใจ ทั้งถูไถทั้งขยี้อยู่ในผ้าห่ม โชคดีที่ชุนเหนียงคิดอ่านรอบคอบ ก่อนเดินทางมานี้จึงพกขี้ผึ้งแก้แผลเปื่อยจากอากาศหนาวมาด้วย อีกฝ่ายแตะขี้ผึ้งเล็กน้อยมาทาให้นางแล้วก็ช่วยนวดคลึง วุ่นวายอยู่ครึ่งคืน กว่าจะหลับลงได้ก็ดึกดื่นมากแล้ว