ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 3
เช้าตรู่วันต่อมาเสี่ยวเฉียวถูกชุนเหนียงปลุกจนตื่น อีกฝ่ายบอกว่าเบื้องนอกหิมะตก แม่ทัพเว่ยตื่นตั้งแต่รุ่งสางแล้ว ยามนี้อยู่ที่โถงใหญ่ด้านนอกคอยนางออกเดินทางอยู่ เมื่อครู่ก็เพิ่งจะส่งคนมาเร่งซ้ำ
ความง่วงงุนกำลังจู่โจม เสี่ยวเฉียวหาวหวอด กดข่มอารมณ์หงุดหงิดที่ต้องตื่นนอนไว้ ขณะที่นางถูกดึงตัวออกมาจากผ้าห่มแสนอุ่นด้วยความทุกข์ระทมแสนสาหัส ดวงตาปรือกึ่งหลับกึ่งลืม สติมึนงงขณะชุนเหนียงปรนนิบัตินางสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าหวีผมอย่างลวกๆ นางกินอาหารที่ส่งมาเพียงไม่กี่คำ สาวใช้ที่อยู่อีกด้านพอเก็บเครื่องนอนเสร็จแล้วก็ออกจากห้องไปที่โถงใหญ่พร้อมกัน
เว่ยเหลียงที่รอคอยมาสักพักแล้วนั้นกำลังหัวเสีย ในที่สุดก็เห็นเสี่ยวเฉียวนวยนาดมาถึง ในใจแม้ขุ่นเคืองเพียงใด แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นนายหญิง เขาจึงไม่กล้าวู่วามจนเกินเหตุ คารวะอย่างขอไปทีก่อนเอ่ยเสียงกระโชกโฮกฮาก “เส้นทางบนเขาคดเคี้ยวเดินทางยากลำบาก เกรงว่าจากนี้หิมะคงตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แน่ ออกเดินทางเร็วหน่อยจะได้ข้ามเขาไปได้เร็วขึ้น” จบคำเขาก็ตะเบ็งเสียงสั่งผู้ติดตามให้เตรียมออกเดินทาง
เสี่ยวเฉียวรู้ว่าเขาใจร้อนอยากส่งตนไปถึงเมืองอวี๋หยางโดยเร็ว นางเดินไปถึงใต้ชายคาของประตูเรือนรับรอง เห็นหิมะโปรยลงมาจากฟ้าตามคำของเว่ยเหลียงจริงดังคาด ทางระบายน้ำข้างทางล้วนมีหิมะสะสมบางๆ อยู่หนึ่งชั้น บริเวณที่อยู่ไกลล้วนขาวโพลนไปทั่ว เพียงสายลมหอบมาหนึ่งระลอก นางก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่างแล้ว
รถม้าจอดอยู่หน้าประตูแล้ว ขณะที่เสี่ยวเฉียวกำลังจะขึ้นไปข้างในตัวรถม้านั้น บนถนนฝั่งตรงข้ามพลันมีบุรุษสี่ห้าคนเร่งรุดตรงมา ดูจากท่าทางคล้ายพ่อค้าที่ออกเดินทางแต่รุ่งสาง ทั้งหมดวิ่งมาหลบหิมะที่หน้าประตูเรือนรับรอง ขณะที่พวกเขาย่ำหิมะซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็มีคนในกลุ่มนี้เอ่ยปาก “ท่านแม่ทัพจะมุ่งหน้าไปเหอเจียนกระมัง เส้นทางบนเขาด้านหน้าถูกหิมะตกหนักปิดสกัดจนข้ามไปไม่ได้แล้ว!”
เว่ยเหลียงซักถามรายละเอียด กลุ่มพ่อค้าจึงแย่งกันชี้แจง ได้ความว่าพวกเขาออกเดินทางแต่รุ่งสาง พอไปถึงทางด้านหน้าก็เห็นหิมะที่สุมอยู่ด้านบนถล่มลงมา ปิดกั้นทางไปจนไม่อาจเดินทางผ่านได้โดยสิ้นเชิง
“หิมะกองสูงหลายช่วงตัวเชียวขอรับ! เคราะห์ยังดีที่หนีได้เร็วพอ! หวุดหวิดจะถูกทับอยู่ข้างใต้ด้วยซ้ำ นึกว่าจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว!” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยพร้อมแสดงท่าทางประกอบ กระทั่งยามนี้ยังใจสั่นไม่หาย
“เฮ้อ เกรงว่าต้องติดอยู่ที่นี่เสียแล้ว ไม่รู้เมื่อใดถึงจะผ่านไปได้”
พวกพ้องอีกคนของเขาพลันทอดถอนใจ
เว่ยเหลียงตะลึงงันคล้ายไม่ค่อยอยากเชื่อ ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเชิญเสี่ยวเฉียวเข้าไปรอในรถม้าก่อน ส่วนตนเองพาผู้ติดตามสองคนขึ้นม้าฝ่าลมหิมะไปดูให้แน่ชัด เมื่อกลับมาถึงหัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น บอกว่าเส้นทางถูกหิมะปิดตายแล้วจริงๆ วันนี้คงไม่อาจจากไปได้
เสี่ยวเฉียวฟังจบก็ป้องปากหาวหวอดแล้วก็หมุนกายกลับเข้าที่พัก รอกระทั่งสาวใช้กางเครื่องนอนปูใหม่เสร็จ นางก็มุดตัวเข้าไปนอนชดเชยที่ถูกปลุกให้ต้องตื่นแต่เช้า
จากนั้นก็ไม่มีใครมาเร่งรัดนางอีก คราวนี้เสี่ยวเฉียวได้นอนเต็มอิ่มจนรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ยามตื่นนอนสองแก้มที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจึงมีสีแดงระเรื่อ เท้าซึ่งได้ทาขี้ผึ้งแก้แผลเปื่อยและสวมถุงเท้าไว้ตั้งแต่ก่อนนอนก็อุ่นสบายยิ่งเช่นกัน นางลุกขึ้นมากินอาหาร กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว
ในโถงใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของจุดพักเปลี่ยนม้าครึกครื้นกว่าช่วงเช้ามากนัก
ผู้ที่ยังเร่งเดินทางอยู่ข้างนอกในสภาพอากาศที่เลวร้ายเยี่ยงนี้ นอกจากคนส่วนน้อยเช่นเสี่ยวเฉียวที่มีเหตุอันยากจะกล่าวแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นพ่อค้าที่ค้าขายอยู่ภายนอกทั้งสิ้น ในโถงโหญ่ยามนี้จึงมีแต่ผู้ที่ย้อนกลับมาพักหลบหนาวที่นี่ชั่วคราวเพราะเส้นทางถูกปิด หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าไม่ได้ขับไล่ไสส่งพวกเขา ยังอนุญาตให้เหล่าพ่อค้ารั้งอยู่ในโถงใหญ่ด้านหน้าเป็นการชั่วคราว เพียงแต่ไม่อนุญาตให้รุกล้ำไปที่ห้องใหญ่ด้านหลังตามอำเภอใจ
ในใจเว่ยเหลียงหวังแต่จะส่งเสี่ยวเฉียวไปเมืองอวี๋หยางให้เสร็จภารกิจโดยเร็ว นึกไม่ถึงว่าเพิ่งออกมาได้ไม่กี่วัน เส้นทางกลับถูกหิมะสกัดกั้นเสียได้ เขากลัดกลุ้มรุ่มร้อนใจไม่หาย กลัวแต่ว่าคืนนี้หากมีฝนตกผสมหิมะเพิ่มมาคงผนึกรวมกันจนกลายเป็นน้ำแข็งแน่ ถึงตอนนั้นค่อยคิดจัดการกับหิมะที่ปิดทางจะยิ่งยากลำบาก รอจนถึงยามเที่ยงเห็นหิมะมีแววว่าจะซาลงตามลำดับแล้ว จึงรีบจัดกำลังคนเตรียมมุ่งหน้าไปเปิดเส้นทางทันที
เหล่าพ่อค้าต่างถิ่นก็อยากรีบเดินทางต่อใจแทบขาดเช่นกัน เมื่อเห็นแม่ทัพผู้นี้ลุกขึ้นมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจึงพากันขานรับ เว่ยเหลียงนับจำนวนคนแล้วก็พกเครื่องมือไปกันอย่างพร้อมเพรียง และสั่งการให้ทหารองครักษ์สองนายรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลฮูหยินท่านโหว ส่วนตนเองก็นำพาคนอื่นๆ เดินทางจากไป
ภายในห้องใหญ่ด้านหลัง ถ่านแดงในกระถางไฟกำลังลุกโชนโชติช่วง แผ่ไออุ่นไปทั่วห้อง
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็เดินทางต่อไม่ได้แล้ว ชุนเหนียงจึงหยิบตะกร้างานปักออกมา นั่งล้อมกระถางไฟทำงานเย็บปักกับเหล่าสาวใช้ เสี่ยวเฉียวเอียงกายเหม่อลอยอยู่บนตั่งด้านข้าง จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู ที่แท้เป็นหัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้ายกเกาลัดหนึ่งจานที่เพิ่งคั่วไฟเสร็จมาให้ กลิ่นหอมหวานนั้นโชยปะทะจมูก ชุนเหนียงยื่นเงินให้หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าก่อนรับเกาลัดมา เสี่ยวเฉียวให้สาวใช้ห่อเกาลัดส่วนหนึ่งด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วนำไปมอบให้กับจงเอ่าที่อยู่ห้องด้านข้าง
ครู่หนึ่งสาวใช้ก็กลับมารายงานว่าจงเอ่าไม่รับ เพียงสั่งให้นำถ้อยคำมาแจ้งแทนว่าขอบคุณในเจตนาดีของนายหญิง
เสี่ยวเฉียวเห็นอีกฝ่ายไม่รับก็ไม่ฝืนใจ บอกให้เหล่าสาวใช้นำไปแบ่งกันกิน พวกนางยินดียิ่งนัก นั่งล้อมวงข้างกระถางไฟ ปอกเกาลัดไปพลาง พูดคุยสัพเพเหระเสียงเบาไปพลาง
ชุนเหนียงไม่มัวเย็บปักถักร้อยอีก ล้างมือจนสะอาดสะอ้านแล้วก็ย้ายมานั่งข้างเสี่ยวเฉียว ปอกเกาลัดให้นางกิน ปากก็บ่นว่าจงเอ่าผู้นี้ช่างใกล้ชิดได้ยากเย็น ข้ารับใช้คนหนึ่งยังเป็นถึงขั้นนี้ ไม่รู้ไปถึงที่นั่นแล้วสวีฮูหยินผู้นั้นจะเป็นเช่นไร แม่สามีของนายหญิงจะเป็นเช่นไร
นางส่งเนื้อเกาลัดสีเหลืองทองที่เพิ่งปอกเสร็จหนึ่งลูกใส่ปากจิ้มลิ้มของเสี่ยวเฉียว ส่วนตนเองถอนหายใจหนึ่งที
เสี่ยวเฉียวเห็นชุนเหนียงเริ่มวิตกกังวลแทนตนอีกแล้วจึงปอกเกาลัดลูกหนึ่งบังคับใส่ปากของอีกฝ่ายก่อนยิ้มกล่าว “ทางนั้นจะมีใครจับข้าถลกหนังกลืนกินทั้งเป็นหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทุกคนจะไม่ญาติดีกับข้าไปเสียหมด ชุนเหนียงจะกลัดกลุ้มเพื่ออันใดเล่า กินเกาลัดกันเถิด!”
ชุนเหนียงคลี่ยิ้มเอ่ยตอบ “จริงด้วยเจ้าค่ะ อย่างเช่นท่านกงซุนผู้นั้น ดูอ่อนโยนเป็นมิตรทีเดียว…”
“ไฟไหม้!”
ตอนนี้เองเสียงอึกทึกพลันดังมาจากเบื้องนอก มีคนตะโกนแจ้งเหตุเสียงดัง
ชุนเหนียงตื่นตระหนก รีบลุกขึ้นผลักประตูออกไปสังเกตการณ์ แล้วก็เห็นห้องที่อยู่หัวมุมห่างจากตรงนี้เพียงไม่กี่ห้องเกิดเพลิงไหม้ขึ้นจริง เปลวไฟกับควันหนาทึบพวยพุ่งออกมาจากทางประตูหน้าต่าง ดูท่าจะเริ่มไหม้มาจากด้านใน จงเอ่าที่อยู่ข้างห้องก็ได้ยินเสียงออกมาดูแล้วเช่นกัน
หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าวิ่งตะลีตะลานมาถึง ทางหนึ่งสั่งให้คนดับไฟไปพลาง แล้วก็กล่าวขออภัยต่อเสี่ยวเฉียวที่เดินตามออกมาไปพลาง เขาบอกว่านั่นคือห้องเก็บของทั่วๆ ไป ไม่รู้ว่าจู่ๆ เกิดเพลิงไหม้ขึ้นได้อย่างไร เห็นเปลวไฟโหมแรงยิ่งขึ้น ด้วยเกรงจะลุกลามมาถึงที่นี่ เขาจึงจำต้องเชิญฮูหยินท่านโหวไปหลบที่โถงด้านหน้าก่อนเป็นการชั่วคราว
ชุนเหนียงพุ่งตัวกลับเข้าห้อง ฉวยเสื้อคลุมออกมาให้เสี่ยวเฉียวอย่างรวดเร็ว ส่วนจงเอ่าพาสาวใช้กลับห้องพัก เก็บข้าวของมีค่าจำนวนหนึ่งก่อนตามออกมา คนทั้งหมดห้อมล้อมเสี่ยวเฉียวมาจนถึงโถงด้านหน้า
ผู้คนในเรือนรับรองล้วนติดตามเว่ยเหลียงไปเปิดเส้นทาง กำลังคนที่จะดับไฟจึงมีไม่เพียงพอ หัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้ารีบวิ่งกลับมาอีก อ้อนวอนขอยืมตัวทหารองครักษ์สองนายนั้นไปช่วยกันดับไฟ ทว่ากลับถูกจงเอ่าปฏิเสธทันควัน “แต่ละคนต้องรักษาหน้าที่ของตน พวกเขาสองคนมีภารกิจสำคัญติดตัวอยู่ นั่นคือการอารักขานายหญิง…”
เพิ่งขาดคำก็บังเกิดเสียงดังปัง ประตูใหญ่ที่อยู่หลังนางพลันถูกคนกระแทกเปิด คนจำนวนหนึ่งซึ่งดูคล้ายพ่อค้าทว่าในมือกลับกุมดาบพากันพุ่งปราดเข้ามา ก่อนจะโถมร่างมาหาเสี่ยวเฉียวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“คุ้มกันนายหญิง!”
จงเอ่ามีอาการตอบสนองที่ว่องไวอย่างยิ่ง สั่งการเสียงก้องแล้วพุ่งตัวมาเบื้องหน้าเสี่ยวเฉียว ขวางให้นางอยู่เบื้องหลังของตน
ชุนเหนียงก็ตอบสนองโดยไวเช่นกัน นางโถมร่างตามมาถึงข้างกายเสี่ยวเฉียว
ทหารองครักษ์สองนายนั้นยามปกติได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด แม้ต้องใช้น้อยต้านมากก็ไม่ลังเลเลยสักนิด เห็นเช่นนี้แล้วต่างรีบชักดาบ เรียงหน้ากระดานขวางอยู่หน้าสุด คุมเชิงกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงกับบังอาจล่วงเกินภรรยาเยียนโหวแห่งโยวโจว!”
จงเอ่าตวาดถามเสียงกร้าว
ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าย่ำหิมะพลันดังกระชั้นมาจากนอกประตู แทบจะในพริบตาเดียวม้าขาวตัวหนึ่งก็ทะยานฝ่าเข้าประตูใหญ่มา คนผู้หนึ่งนั่งตระหง่านอยู่บนหลังม้า ศีรษะสวมงอบ ร่างคลุมเสื้อกันหิมะซึ่งถักสานจากหญ้า ปีกหมวกกดลงต่ำ ไม่อาจเห็นโฉมหน้าได้ชัดเจน ทว่าพิจารณาจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นบุรุษ ทักษะการขี่ม้าของเขานับว่าเป็นเลิศ ควบบุกเข้ามาแล้วก็มิได้หยุดชะงักแม้เพียงชั่วอึดใจ ทั้งยังหอบไอหนาวของลมหิมะพุ่งตรงมาหาเสี่ยวเฉียวในทันที ทหารองครักษ์ไม่อาจต้านขวางอาชาที่ดุดันนี้ได้ จำต้องเบี่ยงหลบไปซ้ายขวา พริบตานั้นม้าขาวก็เข้าใกล้เสี่ยวเฉียว พุ่งเข้าใส่จงเอ่ากับชุนเหนียงที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของสาวใช้ เสี่ยวเฉียวได้ถูกบุรุษบนหลังม้าโน้มกายรวบตัวขึ้นม้าไปแล้ว บุรุษผู้นั้นพลันรั้งบังเหียนหยุดม้ากะทันหัน จากนั้นม้าขาวก็กลับตัวพาคนทั้งสองทะยานออกไปจากประตูใหญ่ กลุ่มคนที่แต่งกายเป็นพ่อค้าในตอนแรกเป่าปากส่งสัญญาณครั้งเดียวก็ล่าถอยไปหมดสิ้นในพริบตา
ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นกะทันหันเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
ยามที่จงเอ่ากับชุนเหนียงถูกม้าพุ่งชน ทั้งสองต่างได้รอยฟกช้ำดำเขียวมาจำนวนหนึ่ง พวกนางไม่พะวงกับความเจ็บปวด คลานขึ้นจากพื้นได้ก็ไล่ตามมาจนถึงหน้าประตู ทว่าม้าขาวตัวนั้นได้ห้อตะบึงไปไกลกว่าครึ่งค่อนลี้แล้ว กลายเป็นแค่จุดสีขาวหนึ่งที่แต้มบนพื้นหิมะ พริบตาก็อันตรธานไปท่ามกลางทุ่งหิมะอันเวิ้งว้าง