ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 4
ตอนที่สี่
สายลมที่ห่อหุ้มหิมะโหมปะทะใบหน้าเสี่ยวเฉียวอย่างดุดันจนนางแทบไม่อาจลืมตา อยู่บนหลังม้าคล้ายดั่งฟ้าดินหมุนคว้างไม่อาจจำแนกเหนือใต้ได้ เมื่อนางออกแรงดิ้นรนตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดแล้ว เสียงหนึ่งก็ดังมากระทบหู “หมานหมาน! ข้าเอง!”
เสียงนี้คุ้นหูอยู่บ้าง
เสี่ยวเฉียวพลันหยุดดิ้น บุรุษที่อยู่เบื้องหลังจึงจัดร่างนางให้คืนสู่ท่านั่งบนหลังม้าตามปกติ นางลืมตาหันไปมองโฉมหน้าอันหล่อเหลาสง่างามที่เผยออกมาให้เห็นภายใต้งอบ
หลางหยาซื่อจื่อ…หลิวเหยี่ยน!
ครั้งนี้นางตระหนกอย่างยิ่ง เสี่ยวเฉียวไม่นึกไม่ฝันว่าบุรุษที่โผล่มาลักพาตนอย่างกะทันหันผู้นี้จะเป็นหลิวเหยี่ยนไปได้!
ตอนที่หลิวเหยี่ยนอายุได้สิบสามปี แม่เลี้ยงหมายหนุนบุตรชายของตนขึ้นแทนที่ นางจึงพูดยุแยงต่อหน้าหลางหยาอ๋องบิดาของเขา ใส่ความว่าเขาแทะโลมนาง เดิมหลางหยาอ๋องก็โปรดปรานบุตรชายคนเล็กอยู่แล้วจึงหูเบาเชื่อคำใส่ไคล้นั้น ปลดเขาจากตำแหน่งซื่อจื่อและเนรเทศออกจากแคว้นหลางหยาไป เนื่องจากน้าสะใภ้ของเขาคืออาหญิงของเสี่ยวเฉียว เขาจึงบากหน้ามามณฑลเหยี่ยนโจวเพื่อร้องขอที่พักพิง
ยามนั้นราชสำนักฮั่นเสื่อมอำนาจ ภายในลั่วหยางที่เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ ฮ่องเต้หนุ่มวัยสิบสี่พรรษาซึ่งมีอัครเสนาบดีซิ่งซวิ่นหนุนขึ้นนั่งบัลลังก์เมื่อเจ็ดปีก่อนนั้นไม่ต่างอันใดกับหุ่นเชิด แท้จริงราชสำนักตกอยู่ในการควบคุมของอัครเสนาบดีซิ่งซวิ่นแต่ผู้เดียว กระทั่งฮ่องเต้ยังมีสภาพเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับบรรดาเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวที่อยู่ตามเขตปกครองพระราชทาน เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนศึกผู้กุมทหารตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนต่างๆ ยิ่งปราศจากบารมีอันใดให้เอ่ยถึง ด้วยเหตุนี้สกุลเฉียวจึงรับหลิวเหยี่ยนไว้โดยไม่กลัวเกรงหลางหยาอ๋องแต่อย่างใด หลิวเหยี่ยนมีรูปโฉมโดดเด่นและมีทั้งความรู้ความสามารถ เป็นที่โปรดปรานของเฉียวผิงยิ่งนักจึงได้รับการดูแลในหลายด้าน ในที่สุดเมื่อสามปีก่อนยามที่เขาอายุได้สิบแปดปี หลางหยาอ๋องที่ฟังขุนนางเตือนสติ รู้ว่าตนปรักปรำบุตรชายคนโต สำนึกเสียใจกับการกระทำในอดีตจึงรับตัวเขากลับไป ต่อมาไม่นานนักหลางหยาอ๋องก็ส่งทูตมามณฑลเหยี่ยนโจว หมายสู่ขอเสี่ยวเฉียวให้แก่หลิวเหยี่ยน
เฉียวผิงมองออกนานแล้วว่าเสี่ยวเฉียวกับหลิวเหยี่ยนมีใจให้กัน เมื่อถามความเห็นของบุตรสาว เขาเห็นนางเอียงอายไม่พูดจาก็รู้ว่านางเต็มใจ จึงตอบรับงานมงคลทันที ตกลงให้ทั้งสองหมั้นหมายกันในปีถัดไป รอจนเสี่ยวเฉียวอายุได้สิบห้าปีค่อยจัดพิธีแต่งงาน
เมื่อครึ่งปีก่อนหลิวเหยี่ยนเคยอ้างการอวยพรวันเกิดของเฉียวเยวี่ยเดินทางมาเยือนเมืองตงหนหนึ่ง เขาคิดถึงเสี่ยวเฉียวนานแล้ว เดิมทีนึกว่าสามารถฉวยโอกาสนี้พบหน้านางเพื่อระบายทุกข์จากความคิดถึงนี้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าฝันร้ายซึ่งคล้ายประสบการณ์ชีวิตในชาติก่อนนั้นได้ทิ้งเงามืดอันลึกล้ำไว้ในใจของเสี่ยวเฉียว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้นางก็มิใช่เสี่ยวเฉียวคนเดิมที่เติบโตมากับหลิวเหยี่ยนอีกแล้ว สำหรับชายคู่หมั้นผู้นี้จึงไม่นับว่ามีความผูกพันอันใด ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นนางจึงหลบหน้าไม่พบเขา และตอนนั้นหลิวเหยี่ยนก็ได้แต่จากไปพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว
“หมานหมาน อย่าได้กลัว! รถม้าคอยอยู่ข้างหน้าแล้ว ถึงสถานที่ปลอดภัยเมื่อใดข้าค่อยชี้แจงให้เจ้าฟัง!”
สีหน้าของหลิวเหยี่ยนตึงเครียดยิ่ง เขาหันไปมองด้านหลังเป็นระยะ เอ่ยปลอบขวัญเสี่ยวเฉียวหลายประโยค จากนั้นจึงออกแรงหนีบท้องม้าแน่น หวดแส้อย่างแรงหนึ่งที ม้าก็ควบตะบึงไปเบื้องหน้าสุดฝีเท้า
เสี่ยวเฉียวได้สติคืนมา
“หลิวซื่อจื่อ! ข้าจะไม่ไปกับท่าน! ท่านต้องปล่อยข้ากลับไป!”
หลิวเหยี่ยนทำหูทวนลม ไม่เพียงไม่หยุดม้า กลับยิ่งออกแรงหวดแส้เร่งความเร็วเพิ่มขึ้น
ลมหนาวพลันกรอกเข้ามาในปาก กลบกลืนสุ้มเสียงของนางไปสิ้น เสี่ยวเฉียวสำลักจนไอโขลกอย่างรุนแรง
ริมทางเบื้องหน้ามีรถเทียมม้าสองตัวจอดอยู่หนึ่งคัน เมื่อม้าขาวควบพาหนุ่มสาวทั้งสองเข้าไปใกล้ ผู้ดูแลสองคนก็ลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว หลิวเหยี่ยนพลิ้วกายลงจากม้า ใช้กำลังอุ้มเสี่ยวเฉียวที่ยังไอโขลกเข้าไปในตัวรถ พอเขาตามเข้ามาแล้วก็ปิดประตู รถม้าเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางก่อนจะแล่นตะบึงสู่ทิศตะวันออก
เมื่อขึ้นมาบนรถ สีหน้าของหลิวเหยี่ยนจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้างเสียที เห็นเสี่ยวเฉียวยังคงฟุบร่างไออยู่ที่เดิม ใบหน้าของเขาก็เผยความสงสาร มือหนึ่งโอบไหล่นางเบาๆ อีกมือลูบหลังให้พลางเอ่ยปลอบเสียงเบา “หมานหมาน ข้าทำให้เจ้าตกใจกระมัง แต่อย่าได้กลัวไปเลย ข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน นับจากนี้พวกเราจะไม่พรากจากกันอีก!”
ในที่สุดเสี่ยวเฉียวก็หยุดไอพลางยืดกายหลบมือของเขาที่โอบนางไว้
“หลิวซื่อจื่อ! ท่านจะพาข้าไปเช่นนี้ไม่ได้! ข้าต้องกลับไป!”
หลิวเหยี่ยนคล้ายตกอยู่ในภวังค์ นิ่งมองเสี่ยวเฉียวชั่วครู่ค่อยฝืนยิ้มพร้อมแววตาอันขมขื่น
“หมานหมาน ไม่พบกันสองปี เจ้าก็ห่างเหินกับข้าแล้วหรือ เมื่อก่อนเจ้าไม่เรียกขานข้าเช่นนี้นี่”
อดีตพลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเสี่ยวเฉียว
หลิวเหยี่ยนมาที่สกุลเฉียวตอนอายุสิบสาม กลับแคว้นหลางหยาไปตอนอายุสิบแปด ปีถัดมาก็หมั้นหมายกับนาง บัดนี้เขาอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีแล้ว
หลายปีที่เขาอาศัยอยู่กับสกุลเฉียว แม้ได้ชื่อว่ามาขอลี้ภัย ทว่าสกุลเฉียวยังคงปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาท เฉียวผิงจ้างครูฝึกขี่ม้าและยิงธนูที่ดีที่สุดให้กับเขา รวบรวมตำราพิชัยสงครามมาให้เขาศึกษา ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นแขกผู้สูงศักดิ์ เสี่ยวเฉียวกับเขาก็มีใจให้กันจริง การหมั้นหมายนี้จึงเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นเรื่องดีงามที่ฟ้าประทานมาให้
หากนางในยามนี้ยังเป็นเสี่ยวเฉียวคนเดิมอยู่ เสี่ยวเฉียวผู้นั้นจะเผชิญหน้ากับหลิวเหยี่ยนคนรักเก่าอย่างไรก็สุดที่นางจะรู้ได้
ทว่านางมิใช่เสี่ยวเฉียวคนนั้นอีกแล้ว
ความทรงจำอันลึกซึ้งที่สุดที่หลิวเหยี่ยนฝากไว้ให้นางกลับมิใช่ความสามารถของเขาหรือความรู้สึกอันลึกซึ้งที่มีต่อนาง หากแต่เป็นภาพฝันร้ายในวาระสุดท้ายของชีวิตที่เฝ้าทรมานนางมาช้านาน และยังติดตามนางมาจวบจนบัดนี้
หลิวเหยี่ยนกับเสี่ยวเฉียวในความฝันนั้น ในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาคู่สุดท้ายของราชวงศ์ ท้ายที่สุดก็จบชีวิตพร้อมกันด้วยวิธีการเช่นนั้น จะยกย่องว่าเป็นผู้ใจเด็ดยึดมั่นในศักดิ์ศรีก็ไม่เกินเลยแม้แต่น้อย
สำหรับสนมของหลิวเหยี่ยน นางก็สามารถเข้าใจได้
ทว่าแววตาของเด็กสาวที่จับจ้องนางก่อนตายนั้น จวบจนบัดนี้ทุกครั้งที่ตื่นจากฝันก็ยังทำให้นางขนลุกทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว
บางทีนางอาจเข้าใจในวิธีการที่หลิวเหยี่ยนจัดการกับสนม เพราะในยุคนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว แต่นางไม่อาจเห็นพ้องได้จริงๆ
นางเองก็เห็นใจชีวิตอันน่าเศร้าในชาติก่อนของโฮ่วตี้หลิวเหยี่ยน ทว่านางทำไม่ได้…นางไม่อาจทุ่มเทความรู้สึกที่เท่ากันให้แก่เขาได้เช่นเสี่ยวเฉียวคนเดิมอีกแล้ว
ยามนี้นางจะถูกหลิวเหยี่ยนจับตัวไปเช่นนี้ไม่ได้…ในใจนางมีเพียงความคิดเดียวนี้เท่านั้น
“ซื่อจื่อ ท่านลุงฉีกสัญญาหมั้นหมายระหว่างข้ากับท่าน และแต่งข้าให้แก่ผู้อื่นแล้ว สกุลเฉียวของพวกเราเป็นฝ่ายผิดต่อท่าน ทว่ายามนี้ไม่อาจเปรียบได้กับกาลก่อน ข้าไม่ใช่เสี่ยวเฉียวคนเดิมคนนั้นอีกต่อไป ข้าได้ออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว น้ำใจไมตรีอันลึกซึ้งที่ซื่อจื่อมีต่อข้านั้น ข้าทำได้เพียงจารึกไว้ในใจ อวยพรอยู่ไกลๆ ให้วันหน้าซื่อจื่อราบรื่นสมปรารถนาทุกประการ ซื่อจื่อโปรดส่งข้ากลับไปเถิด หรือจะปล่อยให้ข้าลงแถวนี้ก็ได้ อีกไม่นานแม่ทัพเว่ยก็น่าจะตามมาพบ” เสี่ยวเฉียวกล่าว
หลิวเหยี่ยนยังคงนิ่งมองเสี่ยวเฉียว จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาอีกครั้ง ออกแรงกุมมือนางแนบแน่น
“เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกบังคับให้แต่งกับเว่ยเซ่านั่น นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเจ้า! ตอนนี้ข้าพาเจ้าออกมาแล้ว เช่นนี้ก็ดียิ่งมิใช่หรือ”
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ “ซื่อจื่อ ข้ายังยืนยันประโยคเดิม ข้าซาบซึ้งในสิ่งดีๆ ที่ท่านทำให้ข้า ทว่าตอนนี้ข้าไม่อาจรับไว้ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านพาข้าไปเช่นนี้ เว่ยเซ่าจะเลิกราแต่โดยดีหรือ นับจากนี้ท่านจะพาข้าไปที่ใดได้”
“ในเมื่อข้าตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็ไม่คิดจะกลับหลางหยาอีก ตำแหน่งซื่อจื่อนั่นสำหรับข้าใช่จะต้องยึดเอาไว้ให้ได้ ผู้ที่ติดตามข้าออกมาล้วนเป็นนักรบกล้าตายที่ภักดีต่อข้าทั้งสิ้น แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีใครหาพบ พวกเราจะไม่พรากจากกันชั่วนิรันดร์!”
ขณะกล่าววาจา สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นฮึกเหิม
เสี่ยวเฉียวค่อยๆ ชักมือของตนออกจากมือของเขา
“ขอโทษด้วย เกรงว่าข้าต้องผิดต่อเจตนาดีของท่านแล้ว ข้าจะไม่จากไปกับท่านเช่นนี้ ท่านโปรดปล่อยข้ากลับไป”
บนดวงหน้าอันหล่อเหลาของหลิวเหยี่ยน สีแดงเรื่อซึ่งระบายสองแก้มเพราะความฮึกเหิมเลือนจางลงช้าๆ
เขาเพ่งมองเสี่ยวเฉียวอยู่เช่นนั้น แน่นิ่งไม่ไหวติงและไม่เอ่ยวาจา ราวกับเข้าฌานไปแล้วก็ไม่ปาน
รถม้ายังคงแล่นฉิวไปบนถนน ตัวรถเขย่าโคลงเคลงอย่างรุนแรงเนื่องจากล้อบดผ่านพื้นผิวที่ขรุขระเป็นระยะ
สายตาของหลิวเหยี่ยนในขณะนี้ทำให้เสี่ยวเฉียวรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ซื่อจื่อ…” นางหยั่งเชิงเรียกเขาเบาๆ