ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 4
หลิวเหยี่ยนคล้ายได้สติ เขาขานดังอ้อก่อนเอ่ยพร้อมใบหน้าที่เผยรอยยิ้มอีกครา “หมานหมาน เจ้าคงเสียขวัญถึงได้พูดเหลวไหล เจ้าไม่ต้องกลัวไป ทุกอย่างล้วนฟังข้าเป็นพอ ข้าได้จัดการไว้หมดแล้ว ต่อไปพวกเราจะมีชีวิตที่ดียิ่ง”
“หลิวซื่อจื่อ! ท่านละทิ้งทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้เพื่อข้า มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ! ข้าเองก็จะไม่ไปกับท่าน อดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ท่านโปรดละทิ้งข้าเสียเถิด!”
หลิวเหยี่ยนจับจ้องนาง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไปอีกครั้ง
“หมานหมาน เจ้าทำให้ข้างุนงงยิ่งนัก แต่ที่มากยิ่งกว่าคือความผิดหวัง”
เขาเอ่ยทีละคำด้วยน้ำเสียงอันเลื่อนลอย
“เจ้าก็รู้หัวใจของข้า ตะวันจันทรายืนยันได้ สามชาติภพไม่แปรผัน! สองปีที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า ตอนข้าอยู่ที่หลางหยาแทบไม่มีชั่วขณะใดเลยที่ไม่คะนึงหาเจ้า ปีที่แล้วข้าสู้อุตส่าห์อ้างวันเกิดท่านลุงของเจ้าไปเยือนถึงเมืองตง เดิมหวังจะได้พบหน้าเจ้าสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าเจ้ากลับหลบเลี่ยงไม่ให้พบ ในที่สุดข้าก็รอคอยจนใกล้ถึงกำหนดแต่งงาน แต่จู่ๆ สกุลเฉียวของเจ้ากลับส่งข่าวมาถอนหมั้น เจ้าจะให้ข้าทำตัวเช่นไรเล่า ข้าหลิวเหยี่ยนแม้ไร้สามารถ แต่ก็ไม่อาจข่มกลั้นแค้นที่ถูกชิงภรรยาไปเช่นนี้ได้!
ข้าออกเดินทางตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีโอกาส วันนี้กระทั่งสวรรค์ก็ยังช่วยข้า ทำให้ข้าชิงเจ้าคืนมาได้อีกครั้ง เพียงแต่ข้ายังไม่เข้าใจ ที่แท้เจ้าเป็นอะไรไป เจ้ามีความในใจใดที่ยากจะกล่าว หรือว่าใจเจ้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ละทิ้งคำมั่นสัญญาในอดีตของพวกเราไปหมดสิ้นแล้ว
หมานหมาน ยามนี้เจ้ามีเรื่องให้ห่วงพะวงมากมาย ข้ารู้ แต่เจ้าแค่ไปกับข้าเป็นใช้ได้แล้ว อย่าได้คิดมากอีก รอให้ผ่านไปสักพัก เจ้าก็จะคิดตกเอง หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยพูดกับข้าว่าอย่างไร”
สุดท้ายน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนมาอ่อนโยนดังเดิม
เสี่ยวเฉียวหลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ซื่อจื่อ ข้า…”
นางเอ่ยปากอย่างยากลำบากอยู่บ้าง ยังไม่ทันขาดคำ รถม้าคล้ายประสบเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง จู่ๆ ก็ลดความเร็วลง เนื่องจากแรงเหวี่ยงของตัวรถ เสี่ยวเฉียวจึงถลาไปเบื้องหน้าทั้งตัวก่อนจะได้หลิวเหยี่ยนประคองไว้ในคราวเดียว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
รถม้าจอดสนิท หลิวเหยี่ยนชะโงกศีรษะออกจากหน้าต่าง ตวาดถามเสียงกร้าว ก่อนที่เขาจะชะงักในฉับพลัน
บนพื้นหิมะเบื้องหน้าหลายจั้ง มีพลธนูบนหลังม้าแถวหนึ่งเรียงหน้ากระดานอยู่กลางทาง ขวางทางของรถม้า สายธนูถูกน้าวเต็มกำลังพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
สีหน้าของหลิวเหยี่ยนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาสั่งการให้คนบังคับรถม้าหันหัวรถกลับ
ทว่าพริบตานั้นบนพื้นหิมะเบื้องหลังพลันปรากฏพลธนูบนหลังม้าเจ็ดแปดนายรุดมาเช่นเดียวกัน จากนั้นม้าอีกตัวก็ออกมาจากด้านข้าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้าสวมชุดเกราะ มือกุมทวนวงเดือน ท่าทางลำพองไม่สำรวม เขายกทวนชี้รถม้าพลางเปล่งเสียงหัวเราะร่วน “ข้าคือเฉินรุ่ยแห่งปิงโจว! หลิวซื่อจื่อ เจ้าจงทิ้งภรรยาของเว่ยเซ่าไว้ ข้าให้เกียรติที่เจ้าเป็นราชนิกุลฮั่น จะไม่สร้างความลำบากแก่เจ้าเป็นอันขาด!”
เฉินรุ่ยคือบุตรชายของเฉินเสียงผู้ว่าการมณฑลปิงโจว สกุลเฉินแห่งปิงโจวเป็นอริกับเว่ยเซ่ามาแต่ไหนแต่ไร ศึกที่เมืองป๋อหลิงเมื่อเดือนก่อน เว่ยเซ่าพิชิตทัพสกุลเฉินได้อย่างงดงาม ตอนที่เฉินรุ่ยพ่ายศึกจนต้องหลบหนีไปนั้นกลับถูกโจมตีจนพลัดออกจากทัพใหญ่ ดีที่ได้ทหารองครักษ์เสี่ยงชีวิตอารักขาไว้เขาถึงฝ่าวงล้อมออกมาได้ เห็นสภาพอากาศหนาวเหน็บขึ้นทุกวัน ใคร่ครวญดูแล้วเห็นว่าตนรั้งอยู่ต่อก็ไม่มีสิ่งใดให้ฉกฉวย
ขณะเตรียมกลับปิงโจวจึงได้ยินว่าเว่ยเซ่าจะส่งภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีกลับมณฑลโยวโจว เมื่อรู้ข่าวนี้เขาจึงสะกดรอยมาตลอดทาง ด้วยเกรงต่อความร้ายกาจของเว่ยเหลียง แม่ทัพกล้าที่แม้แต่ทหารหมื่นนายก็ไม่อาจต้านขวาง ที่ผ่านมาเขาจึงไม่กล้าตามกระชั้นชิดนัก ยิ่งไม่กล้าผลีผลามลงมือ นึกไม่ถึงว่าวันนี้เว่ยเหลียงที่รอบคอบเรื่อยมาจะเลินเล่อปล่อยให้หลิวเหยี่ยนชิงลงมือได้สำเร็จ โอกาสดีๆ เช่นนี้ไหนเลยจะปล่อยให้หลุดลอยได้ เขาจึงรีบไล่ตามมาทันใด เก็บคนที่มีค่ามหาศาลเช่นนี้ได้จะไม่ให้หัวเราะร่วนเต็มอารมณ์ได้อย่างไรกัน
เฉินรุ่ยเห็นในรถม้าไม่มีความเคลื่อนไหวเสียที สีหน้าก็ขรึมลงพร้อมให้สัญญาณมือ พลธนูบนหลังม้าปล่อยลูกธนูทันใด เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นนอกตัวรถ ท่ามกลางเสียงลูกธนูแหวกอากาศดังขวับๆ ผู้ติดตามของหลิวเหยี่ยนทยอยต้องลูกธนูบาดเจ็บล้มลงกับพื้น
ตอนแรกที่รถม้าเพิ่งจอดสนิท เสี่ยวเฉียวนึกว่าเว่ยเหลียงรุดมาถึงแล้ว แต่อีกใจก็สงสัยว่าเขาไม่น่าจะตามมาที่นี่ได้เร็วปานนี้ ยามนี้ได้ยินเสียงร้องครวญครางนอกตัวรถดังมาไม่ขาดหู สีหน้าของหลิวเหยี่ยนก็ดูย่ำแย่ถึงขีดสุด เขาคุ้มกันนางไว้เบื้องหลัง มือข้างหนึ่งกุมด้ามกระบี่ยาว บีบแน่นจนหลังมือขึ้นเส้นเลือดเขียว ในใจนางก็เริ่มหวาดหวั่นอย่างไม่อาจควบคุม
สกุลเฉินแห่งปิงโจวกับเว่ยเซ่าเป็นศัตรูกันมาตลอด ปลายปีที่แล้วเพิ่งปะทะกันที่เมืองป๋อหลิง เรื่องนี้นางก็รู้เช่นกัน
หากต้องตกอยู่ในกำมือสกุลเฉินแห่งปิงโจว นางสู้ตามหลิวเหยี่ยนไปก่อนยังดีกว่า
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งประชิดเข้ามาใกล้ ประตูรถม้าถูกกระชากเปิดในคราวเดียว ใบหน้าที่ยื่นเข้ามาขาวกระจ่างชวนมอง บนศีรษะเกล้ามวยครอบเกี้ยวทองคำ บุรุษผู้นี้อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี เมื่อดวงตามองเห็นเสี่ยวเฉียวที่อยู่เบื้องหลังของหลิวเหยี่ยนก็พลันชะงักค้าง ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว
หลิวเหยี่ยนโมโหพลันชักกระบี่ทันใด ปลายกระบี่ชี้หน้าเฉินรุ่ยขณะเอ่ยด้วยโทสะ “แม่ทัพเฉิน แต่ไรมาหลางหยาของข้ากับปิงโจวของเจ้าเป็นเช่นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง วันนี้เจ้าใช้กำลังสกัดขวางเช่นนี้มีเหตุผลอันใด!”
เฉินรุ่ยผู้นี้ก็เคยได้ยินว่าธิดาสกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวมีรูปโฉมงดงาม เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะงามได้ถึงเพียงนี้ แค่แรกเห็นวิญญาณของเขาก็แทบจะหลุดลอย รอจนเห็นหลิวเหยี่ยนชักกระบี่ชี้ใส่ตนอย่างโกรธเกรี้ยวจึงค่อยได้สติคืนมา เฉินรุ่ยไม่ขุ่นเคือง เพียงใช้นิ้วมือผลักตัวกระบี่ออก พลางบุ้ยคางไปด้านหลังแล้วกล่าว “หลิวซื่อจื่อ จำนวนคนเบื้องหลังข้ามีมากกว่าเจ้าหลายเท่านัก หากมิใช่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นราชนิกุลฮั่น วันนี้ข้าไหนเลยจะไว้ชีวิตเจ้า”
พลธนูบนหลังม้าของเฉินรุ่ยโอบล้อมเข้ามา คันศรสิบกว่าคันล้วนน้าวสุดสาย เล็งคมธนูมาที่หลิวเหยี่ยนโดยพร้อมเพรียง
“ข้าขอเตือนว่าเจ้าควรรู้อะไรควรไม่ควรเป็นการดีกว่า โฉมสะคราญผู้นี้เดิมทีหาใช่ของเจ้าไม่ ข้าพานางไปก็ไม่นับว่าผิดต่อเจ้ากระมัง เจ้าเองก็ลงมาเสียเถิด ทิ้งรถม้าให้แก่ฮูหยินของเยียนโหว อากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก ข้าไม่อาจหักใจให้นางต้องทนหนาวได้”
เฉินรุ่ยฉวยกระบี่ยาวจากมือหลิวเหยี่ยนในฉับพลัน พลธนูหลายนายปีนขึ้นไปบนรถม้า ใช้กำลังกระชากตัวหลิวเหยี่ยนลงจากรถ
เฉินรุ่ยพิศมองเสี่ยวเฉียวอีกครั้งก่อนหัวเราะร่วน ปิดประตูรถม้าดังปัง พลิกกายกลับมากล่าว “ที่นี่ไม่อาจรั้งอยู่นาน! ไป!”
“เฉินรุ่ย! หากเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าหลิวเหยี่ยนไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า”
หลิวเหยี่ยนถลึงตาจนแทบปริแตก ไล่กวดอีกฝ่ายไป ทว่าไหนเลยจะตามได้ทัน สุดท้ายจึงได้แต่เบิกตามองไพร่พลทั้งกลุ่มห้อมล้อมรถม้าคันนั้นแล้วห้อตะบึงจากไปท่ามกลางพื้นหิมะ เขาวิ่งไปเบื้องหน้าราวคลุ้มคลั่ง กระทั่งไล่ตามไปหลายสิบก้าว เท้าก็สะดุดถลาล้มลงกับพื้นในที่สุด
เนิ่นนานให้หลังเขาถึงคืบคลานขึ้นมาช้าๆ คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นหิมะ เหม่อมองทิศทางที่รถม้าหายลับไป ทั้งร่างพลันสั่นเทิ้ม สองตาแดงฉาน สีหน้าร่ำไห้ก็มิใช่ หัวเราะก็ไม่เชิง