ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 4
ยามที่เว่ยเหลียงรุดตามมาถึงที่นี่ คราบเลือดบนพื้นและรอยล้อรถม้าล้วนถูกหิมะหนาหนักที่ตกลงมาอีกระลอกหนึ่งกลบกลืนไปจนสิ้น เขาได้แต่คาดคะเนเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จากหัวธนูหลายดอกซึ่งเสียบอยู่ในพื้นหิมะ
เมื่อครู่มีคนเดินทางมาส่งข่าว บอกว่ามีคนไหว้วานให้เขามาแจ้งต่ออีกทอดหนึ่ง ความว่าฮูหยินของเว่ยโหวตกอยู่ในกำมือเฉินรุ่ยแห่งปิงโจวแล้ว เว่ยเหลียงอยากซักถามเหตุการณ์ให้มากกว่านี้ แต่คนเดินทางผู้นั้นกลับตอบว่าไม่รู้เรื่องอื่นอีก
เว่ยเหลียงทางหนึ่งตำหนิตนเองไม่หาย อีกทางหนึ่งก็ทอดตามองไปไกลด้วยอาการกลัดกลุ้มรุ่มร้อน
คนที่ส่งไปรวบรวมเบาะแสคณะของเฉินรุ่ยทยอยกลับมารายงาน พบว่ามีคนเห็นรถม้าคันนั้นมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
เขาคาดคะเนด้วยประสบการณ์ว่าเฉินรุ่ยน่าจะจับตัวนายหญิงมุ่งสู่เมืองสืออี้ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ที่นั่นคือเมืองชายแดนระหว่างเขตปกครองของเว่ยเซ่ากับเฉินเสียงที่อยู่ใกล้ที่สุด มีไพร่พลประจำการกองใหญ่ สิบกว่าปีมานี้ระดมทหารมารักษาการณ์จำนวนมาก แข็งแกร่งประดุจป้อมปราการ
เว่ยเหลียงได้ส่งคนรุดเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดทั้งวันทั้งคืนกลับไปแจ้งต่อเว่ยเซ่าแล้ว ภายในหนึ่งถึงสองวันผู้เป็นนายน่าจะได้รับข่าวและรุดมายังเมืองสืออี้
ขณะที่รอคอยเขาก็ไม่รู้ว่านายหญิงอยู่ในเมืองสืออี้เป็นอย่างไรกันแน่ และไม่รู้ว่าม้าเร็วส่งข่าวถึงเมืองซิ่นตูแล้วหรือไม่ หลังครุ่นคิดชั่วครู่เขาจึงสั่งให้ทหารไปสืบข่าวความเคลื่อนไหวในเมืองสืออี้ ส่วนตนเองขึ้นม้าเร็วเร่งย้อนกลับไปหาผู้เป็นนาย
เว่ยเหลียงร้อนใจดุจไฟสุมอก ประกอบกับรู้สึกละอายแก่ใจและตำหนิตนเอง จึงเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักแม้สักชั่วขณะเดียว ยามบ่ายวันรุ่งขึ้นเมื่อรุดถึงเมืองชิ่งอวิ๋นซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสืออี้ราวร้อยกว่าลี้ เขาก็เห็นแต่ไกลว่าถนนเบื้องหน้ามีฝุ่นฟุ้งกลบฟ้า ธงทิวคลี่สะบัด พอแยกแยะได้ว่าเป็นธงของเว่ยเซ่าก็พุ่งตรงเข้าสู่กองทัพนั้นทันที ทหารรู้จักเว่ยเหลียง เห็นเขาหน้าตามอมแมม สีหน้ากระวนกระวายจึงพากันหลีกทางให้ เว่ยเหลียงพุ่งตรงไปถึงเบื้องหน้าเว่ยเซ่า พลิกตัวจากหลังม้าก่อนจะลงมายืนบนพื้น แล้วคุกเข่าโขกศีรษะกล่าว “ขอท่านโหวได้โปรดประทานโทษตายแก่ข้าน้อย! ท่านโหวมอบหมายภารกิจสำคัญให้ข้าน้อยเป็นผู้คุ้มกันนายหญิง ทว่าข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ เป็นเหตุให้นายหญิงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เดิมทีข้าน้อยไม่มีหน้ามาพบท่านโหวอีกแล้ว! รอให้ข้าน้อยบุกเมืองสืออี้ช่วยนายหญิงกลับมาได้เมื่อไร ข้าน้อยค่อยปลิดชีพตนเองเป็นการขอขมา!”
เว่ยเซ่าพลิกกายลงจากม้า ประคองเว่ยเหลียงลุกขึ้นมาแล้วสอบถาม “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยเหลียงเงยหน้าเหลือบมองผู้เป็นนาย เห็นสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องตนอยู่ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนตอบเสียงเบาในที่สุด “นางถูกเจ้าเฉินรุ่ยนั่นชิงตัว…พาเข้าเมืองสืออี้ไปแล้วขอรับ”
อากาศรอบด้านคล้ายผนึกแข็งในฉับพลัน
เว่ยเซ่าไม่ขยับเขยื้อน หนังตาของเขากระตุกสองทีก่อนจะชักกระบี่ พร้อมกับเสียงฉับอันดังกังวาน ต้นหลิวอายุหลายปีขนาดลำต้นเท่าปากชามที่อยู่ข้างทางต้นหนึ่งก็ถูกฟันเข้ากลางลำต้น แล้วขาดสะบั้นในครั้งเดียว ต้นหลิวหักโค่น ล้มลงดังครืน
เว่ยเซ่าหันหน้ามาพร้อมสีหน้าที่อึมครึม เอ่ยเน้นทีละคำ “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป เดินทัพต่อเนื่อง โจมตีเมืองสืออี้คืนนี้ ผู้ใดจับเป็นเฉินรุ่ยได้จะตกรางวัลให้อย่างงาม!”
เฉินรุ่ยเข้าเมืองสืออี้โดยมีแม่ทัพรักษาเมืองมาต้อนรับ พอเข้าที่พักในจวนเจ้าเมือง เขาก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายไป ห้ามรั้งอยู่แม้แต่คนเดียว เขาอุ้มเสี่ยวเฉียวลงมาจากตัวรถ ตรงเข้าห้องพักแล้วปิดประตู ดึงผ้าที่อุดปากนางออก ค่อยแก้เชือกที่มัดมือมัดเท้านาง เห็นข้อมืองามทั้งสองข้างถูกรัดจนเป็นรอยช้ำสีม่วงเขียวหนึ่งวงแล้วก็รู้สึกปวดใจจนสุดประมาณ ขณะที่เขากระเถิบเข้าไปหมายคว้ากุมมือนางมาเป่าและนวดคลึงให้ ปากก็พูดพร่ำไม่หยุด “คนงามอย่าได้ถือโทษเลยนะ เดิมทีข้าก็มิใช่คนหยาบคายเช่นนี้หรอก หากเจ้าไม่ดื้อ ข้าไหนเลยจะหักใจทำรุนแรงกับเจ้าได้”
เสี่ยวเฉียวเบี่ยงตัวหลบมือที่เขายื่นมา เอียงกายหันข้างให้ ทางหนึ่งค่อยๆ นวดคลึงข้อมือที่ถูกมัดจนเป็นเหน็บชา อีกทางหนึ่งคอยมองสำรวจเฉินรุ่ยที่อยู่ด้านข้างผู้นี้อย่างเยือกเย็น ไม่พูดจาแม้สักคำ
เฉินรุ่ยอยู่ข้างๆ ตะลึงมองเสี่ยวเฉียวด้วยสองตาที่เบิกค้าง
เมื่อคืนนั่งโคลงเคลงอยู่บนรถม้ามาตลอดราตรี ยามนี้ดวงหน้าของนางจึงฉาบไปด้วยความอิดโรย ใต้ขอบตามีรอยคล้ำจางๆ หนึ่งวง จอนผมยุ่งเล็กน้อย ทว่าเหล่านี้มิได้ทำลายรูปโฉมของนางแม้เพียงเศษเสี้ยว กลับยิ่งแต่งเติมให้นางมีท่าทางที่บอบบางชวนถนอม
เฉินรุ่ยเจ้าสำราญมาแต่ไหนแต่ไร เด็ดดอมบุปผามาแล้วนับไม่ถ้วน ในจำนวนนี้ย่อมไม่ขาดแคลนหญิงงาม ทว่าเขาไม่เคยพบพานสตรีใดที่มีรูปโฉมล้ำเลิศเช่นเสี่ยวเฉียวมาก่อน เพียงรู้สึกยิ่งมองก็ยิ่งนึกรัก มองอย่างไรล้วนไม่เพียงพอ เขาแทบอยากจะคลึงเคล้นนางเป็นก้อนแล้วกลืนกินเข้าสู่ท้องในคราวเดียว ในใจราวกับมีหนอนนับไม่ถ้วนคอยขบกัด รู้สึกคันยุบยิบยากจะทานทนไหว เขาอดใจไว้ไม่อยู่โถมเข้าไปกอดรัดนางหมายจุมพิตให้ชื่นใจ ปากก็อ้อนวอนด้วยวาจาอันเหลวไหล
“คนงาม ข้ารักเจ้าจริงๆ นะ เว่ยเซ่านั่นแล้งน้ำใจไร้คุณธรรมต่อเจ้า วันรุ่งขึ้นหลังการแต่งงานก็ขับไล่ไสส่งเจ้าเสียแล้ว หรือว่าเบื้องล่างของเขามิใช่ชาย? ในเมื่อไม่ใช่ชาย เจ้าไม่ต้องมีเขาก็ได้ เจ้ายอมข้าเถิดนะ ต่อไปข้าจะรักถนอมเจ้าเอง…”
เสี่ยวเฉียวหลบหลีกปากของเขาด้วยความตื่นตระหนก แม้หลบพ้นด้านบนทว่าไม่ได้ป้องกันด้านล่าง ขณะดิ้นรนอย่างสุดกำลัง รองเท้าข้างหนึ่งก็ถูกเขารวบดึงออกไปทั้งถุงเท้า เท้างามไร้ที่ให้หลบซ่อนจึงเผยต่อสายตาของเฉินรุ่ยในฉับพลัน เท้างามข้างนั้นขาวนวลเนียนราวก้อนเต้าหู้เนื้อละเอียดสีหิมะ เฉินรุ่ยมองจนตาค้างพลางกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก เขาฝืนกดข่มความคิดที่จะกระโจนเข้าไปคว้ามาขบกัดเสียให้พอ ลังเลเพียงชั่วอึดใจก่อนจะชักกระบี่ออกมากล่าวขู่ขวัญ
“หากเจ้าไม่ยอมข้า ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”
ตกอยู่ในกำมือของเฉินรุ่ยผู้นี้ หากบอกว่าไม่กลัวย่อมเป็นคำโป้ปด ทว่าจะมากหรือน้อยนางก็พอมองออกว่าคนผู้นี้ถูกความใคร่จู่โจมจิตใจ กระทั่งไม่กลัวที่จะแสดงสารพัดท่าทางน่ารังเกียจต่อหน้านาง ยามนี้ที่ถือกระบี่ขู่เข็ญน่าจะกำลังข่มขวัญนางเท่านั้น เสี่ยวเฉียวสงบสติได้ตามลำดับ ด้วยเกรงว่าเขาจะใช้กำลังกับตนอีก นางจึงตอบโต้ด้วยโทสะเสียเลย “สกุลเฉียวของข้าปกครองราษฎรเหยี่ยนโจวมาสามชั่วคน นับเป็นตระกูลขุนนางใหญ่เช่นกัน ไหนเลยจะยอมให้เจ้ามาหักหาญกันเช่นนี้ ขืนเจ้ายังไร้มารยาทอีก ข้าขอยอมตายเสียยังดีกว่าให้เจ้ามาหมิ่นเกียรติ!”
โฉมสะคราญมีโทสะ…ก็เป็นเสน่ห์อีกประการหนึ่ง เผชิญกับดวงหน้าที่ชวนมองไม่ว่ายามเบิกบานหรือโกรธเกรี้ยว เฉินรุ่ยถึงกับมือไม้อ่อน กุมกระบี่ไว้ไม่อยู่ร่วงกระทบพื้นดังเคร้ง ส่วนตนเองก็พลอยคุกเข่าลงกล่าว “ได้ๆ ข้าไม่บังคับเจ้าแล้ว เจ้าอยากให้ข้าแต่งเจ้าก่อนถึงจะยอมข้ากระมัง เรื่องนี้มีอันใดยาก! ตำแหน่งภรรยาเอกของข้ายังเว้นว่างอยู่ แต่งเจ้าได้พอดี…”
ขณะที่เขากล่าววาจาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าประชิดมาใกล้จากเบื้องนอก ตามด้วยเสียงตบประตูดังปึงปัง ลูกน้องของเขามารายงานว่าพบเว่ยเซ่ากำลังนำทัพมาในระยะสามสิบลี้ และจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว
เฉินรุ่ยตระหนกวูบ ไม่นึกว่าเว่ยเซ่าจะมาถึงเร็วปานนี้ แต่ในเมื่อเข้ามาในเมืองสืออี้แล้ว เขาก็ไม่หวั่นเกรงแต่อย่างใด
ในเมืองไม่เพียงมีทหารรักษาการณ์จำนวนมาก สภาพพื้นที่ซึ่งตั้งรับง่ายทว่าบุกได้ยากก็ช่วยในการป้องกันเมืองอีกแรงหนึ่ง
เขาจะคอยเว่ยเซ่าบุกมา ขอเพียงเอาชัยอีกฝ่ายในศึกนี้ ไม่เพียงสามารถล้างความอัปยศก่อนหน้า นับแต่นี้ยังจะได้เชิดหน้าชูตาต่อหน้าโฉมสะคราญ รับรองว่านางจะไม่กล้าดูแคลนตนอีก
เฉินรุ่ยเอ่ยกับเสี่ยวเฉียว “คนงาม เว่ยเซ่ามารนหาที่ตายเองแล้ว ช่างไม่รู้จักดีชั่วเลยจริงๆ ถึงกับกล้ามาทำลายเรื่องดีของเจ้ากับข้า เจ้าคอยดูเถิด ข้าจะออกจากเมืองไปฆ่ามันให้ร่วงจากหลังม้าเลย รอจนข้ากุมชัยกลับมาค่อยเข้าพิธีไหว้ฟ้าดินกับเจ้า เจ้ารอข้านะ” เขาพูดพลางหยิบเชือกออกมา พันไม่กี่ทีก็มัดมือมัดเท้านางอีกครั้ง สุดท้ายจึงอุ้มนางไปวางนอนบนเตียงพร้อมเอ่ยปลอบโยน “คนงามอย่าได้ถือโทษที่ข้าทำรุนแรงเลยนะ ข้าไม่อาจวางใจเจ้าได้จริงๆ กลัวว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ใกล้ๆ เจ้าจะคิดไม่ตก หากเจ้าเป็นอะไรไป ถึงตอนนั้นข้าสำนึกเสียใจก็สายเกินแก้แล้ว! เจ้าอดทนสักหน่อยเถิด ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมา” จบคำเขาก็ปล่อยม่านลง กำชับหญิงรับใช้อาวุโสให้เฝ้าคุมหน้าประตูให้ดี จากนั้นตนเองค่อยออกไปอย่างเร่งรีบ