ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 5
ตอนที่ห้า
เว่ยเซ่ากลับเข้าเมืองก็เป็นเวลายามโฉ่วแล้ว เพลิงไหม้ใหญ่ดับสนิทเป็นที่เรียบร้อย กงซุนหยางอยู่ละแวกจุดที่เกิดเพลิงไหม้ กำลังสั่งการให้เก็บกวาดซากความเสียหาย เขาเหลือบเห็นว่าเว่ยเซ่ามาถึงแล้วจึงรีบตรงไปรายงานผู้เป็นนาย
เขาเองก็ไม่ได้หลับตามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ทว่ายังคงกระชุ่มกระชวยดียิ่ง ถึงขั้นเรียกว่าคึกคักตื่นเต้นก็ไม่ผิด เขาเอ่ยปนยิ้มหลังจบการรายงานอันสั้นกระชับ “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน วันนี้ชิงเมืองสืออี้มาได้อย่างราบรื่น ยึดทางเข้ามณฑลปิงโจวมาได้แล้ว การยึดเมืองจิ้นหยางย่อมนับวันรอได้เลย”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว “ท่านกงซุนสิ้นเปลืองความคิดมาทั้งคืน ฟ้าจวนสว่างแล้ว เรื่องที่เหลือให้สั่งการลงไปเป็นพอ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด”
กงซุนหยางขานรับ ขบคิดชั่วอึดใจก่อนเอ่ยเสริม “ไฟไหม้จวนเจ้าเมืองครั้งนี้เกิดขึ้นประจวบเหมาะนัก กล่าวได้ว่าช่วยหนุนการบุกเมืองอีกแรง เพียงแต่ไฟปะทุขึ้นนี้ดูมีลับลมคมในอยู่บ้าง เมื่อครู่ข้าจึงเจ้ากี้เจ้าการตามไปเยี่ยมนายหญิงพร้อมกับหมอทหาร ที่แท้นายหญิงเป็นผู้วางเพลิงเพื่อหลบหนีดังคาด”
เขาเล่าเหตุการณ์รอบหนึ่งก่อนเอ่ยชื่นชม
“มองไม่ออกเลยว่านายหญิงที่ดูเปราะบางกลับสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดลงมือกับตนเองได้ถึงเพียงนี้ จากนั้นยังอาศัยเพลิงไหม้เอาตัวรอดจากการเฝ้าคุมอีก เรียกได้ว่ายามเผชิญหน้าอันตรายกลับไม่ลนลาน ยังคงคิดอ่านเยือกเย็นได้เป็นขั้นตอน ข้าเห็นข้อมือสองข้างของนางถูกไฟลวกไม่น้อยเลย เต็มไปด้วยแผลพุพองน้อยใหญ่ สภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง พอข้าเห็นแล้วยังสงสารจับใจ ตอนที่หมอทหารตรวจรักษาให้นายหญิง นางไม่ปริปากบ่นแม้เพียงครึ่งคำ ซ้ำยังปลอบใจข้าว่าตนเองไม่เป็นไร ทำให้ข้ารู้สึกทึ่งจริงๆ ขอรับ”
จวนเจ้าเมืองกว่าครึ่งถูกเพลิงเผาวอด เหลือเพียงเรือนต้นลมไม่กี่หลังที่ยังสมบูรณ์ดี ยามนี้เสี่ยวเฉียวถูกจัดให้พักอยู่ที่ห้องชั้นในห้องหนึ่ง ที่นี่มีตั่งเตียงครบถ้วนและสะอาดสะอ้านยิ่ง ก่อนจากไปกงซุนหยางยังสั่งหญิงรับใช้อาวุโสสองคนของจวนเจ้าเมืองให้รอรับใช้อยู่ด้านนอก อีกทั้งทิ้งทหารหนึ่งหน่วยเฝ้าคุมทางเดินกับทางเข้าออกหน้าหลังตลอดทั้งคืน
เสี่ยวเฉียวรู้ว่าในที่สุดตนก็ปลอดภัยแล้ว
สองวันมานี้นางไม่เคยหลับตาลงแม้สักชั่วขณะเดียว นับตั้งแต่ถูกเฉินรุ่ยพาตัวมาที่นี่ ข้างกายก็มีสุนัขป่าบ้าตัณหาที่หิวกระหายหมอบจ้องตนน้ำลายสอ นางเนื้อตัวสั่นสะท้าน ทั้งไม่กล้าแข็งกร้าวเกินพอดีจนยั่วโทสะเขา ยิ่งไม่อาจทำให้เขารู้สึกว่าตนตกถึงมือได้โดยง่าย หาทางรับมือกับเฉินรุ่ยเพื่อไม่ให้เขาได้เข้าใกล้ตน เรียกได้ว่าใช้จนหมดสิ้นทุกหนทางแล้ว ทั่วร่างทั้งเบื้องบนเบื้องล่างจนกระทั่งเส้นผมล้วนเครียดเกร็ง
ก่อนที่เฉินรุ่ยจะจากไปได้จับนางมัดมือไพล่หลังวางไว้บนเตียง นางคิดว่าพอเว่ยเซ่าโจมตีเมือง สองฝ่ายเปิดศึกกัน ท่ามกลางกองทัพอันชุลมุนนั้นไม่ว่าสุดท้ายฝ่ายใดได้ชัยในสนามรบที่กำแพงเมืองนี้ไป แต่หากตนยังเป็นเช่นเนื้อบนเขียงถูกจับกุมอยู่ที่นี่ดังเดิมจะต้องไม่มีผลลงเอยที่ดีแน่ ขณะร้อนใจพลันฉุกคิดถึงเทียนมงคลสองเล่มที่จุดอยู่ในห้อง นางลงจากเตียงไปถึงเบื้องหน้าเทียนแดง ดึงแขนเสื้อขึ้นสูงแล้วหันหลังเข้าหาเปลวเทียน ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสจากไฟที่แผดเผา หลังจากเผาๆ หยุดๆ ในที่สุดก็เผาเชือกบนข้อมือขาด ยามที่เชือกสะบั้น ข้อมือซึ่งแต่เดิมขาวเนียนไร้ตำหนิก็ถูกไฟลนจนผิวหนังทั้งแถบกลายเป็นแผลพุพองใหญ่น้อยทันตาเห็น นางปวดแสบจนหลั่งเหงื่อเย็นไม่ขาดสาย เบื้องหน้าสายตาดำวูบ หวุดหวิดจะหมดสติไป รอจนครองสติได้ก็แก้เชือกที่มัดเท้าออก ใช้เปลวเทียนจุดเผาผ้าม่านในห้อง ตนเองป้องปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำชา จากนั้นจึงคลุมผ้าห่มนวมซ่อนกายอยู่หลังประตู รอจนไฟในห้องไหม้แรงขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความแตกตื่นแก่หญิงรับใช้อาวุโสที่อยู่ด้านนอกจนต้องเปิดประตู เนื่องจากควันไฟฟุ้งตลบ หญิงรับใช้ผู้นั้นมองไม่ชัดว่าด้านในเป็นอย่างไรกันแน่จึงวิ่งไปตามคนอย่างตระหนกลนลาน นางถึงสบช่องหลบหนีออกมาได้
ยามนั้นเกิดศึกใหญ่ที่กำแพงเมือง ในจวนเจ้าเมืองไม่พบเห็นเงาผู้คน ประกอบกับได้ม่านรัตติกาลอำพรางกายให้ สุดท้ายก็พบคอกม้าเปล่าไกลหูไกลตาและอยู่ต้นลม นางจึงซ่อนตัวอยู่ในนั้นชั่วคราว
แม้ยามนี้จะปลอดภัยแล้ว ทว่าอาการปวดแสบปวดร้อนบนข้อมือยังคงแล่นจู่โจมมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับไฟยังคงแผดเผาอยู่ก็ไม่ปาน นางทรมานจนไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้ แค้นใจจนอยากถลกผิวเนื้อบนข้อมือส่วนนั้นทิ้งไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เมื่อครู่ตอนที่กงซุนหยางกับหมอทหารยังอยู่ นางฝืนอดทนไว้ไม่คิดแสดงอาการใดๆ ออกมา ทว่ายามนี้เบื้องหน้าไม่มีใครแล้ว รอบด้านก็เงียบเชียบ แผลระบมจนนางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร่ำไห้เงียบๆ กับตนเองครู่หนึ่ง ไม่รู้เป็นเพราะยาที่หมอทหารทาให้ออกฤทธิ์ หรือเพราะร้องไห้แล้วในใจรู้สึกดีขึ้น ความเจ็บปวดบนข้อมือจึงเหมือนกับทุเลาลงตามลำดับ ดวงหน้าของนางเปื้อนคราบน้ำตา เอนร่างพิงกับหัวเตียง ก่อนสะลึมสะลือหลับตาลงได้ในที่สุด
เว่ยเซ่าแยกกับกงซุนหยาง เดินมุ่งสู่ที่พักของเสี่ยวเฉียว
หญิงรับใช้อาวุโสทั้งสองต่างรู้ว่าเมืองถูกเปลี่ยนนายใหม่ในคืนเดียว เจ้าเมืองเฉินพังกับคนในครอบครัวหลายสิบชีวิตล้วนกลายเป็นเชลย ยามนี้พวกนางสองคนจึงถูกสั่งให้รอรับใช้อยู่ที่นี่ ดวงตาทั้งสี่ข้างเบิกโตตลอดเวลา ไม่กล้าผ่อนคลายลงสักชั่วขณะ กลัวแต่จะเกิดเหตุอันใดขึ้นอีก ทันใดนั้นก็มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินมาจากปลายสุดของระเบียงทางเดิน แม้ยังหนุ่มแน่นแต่ก้าวย่างกลับแฝงไว้ซึ่งอำนาจบารมี เห็นองครักษ์บนระเบียงทางเดินพากันคารวะเขาแบบทหาร เหมือนจะเรียกขานเขาว่าท่านโหว เมื่อคาดเดาได้ว่าผู้มาน่าจะเป็นเยียนโหวเว่ยเซ่าผู้เป็นสามีของนายหญิงที่อยู่ในห้องนี้ พวกนางจึงรีบเดินขึ้นหน้าไปต้อนรับ คุกเข่าแยกกันคนละด้าน
เว่ยเซ่าชะงักฝีเท้า ชำเลืองมองแสงเทียนที่ฉายออกมาจากหน้าต่างก่อนสอบถามความเคลื่อนไหวในห้อง หญิงรับใช้คนหนึ่งตอบว่าหลังจากท่านกงซุนกับหมอทหารจากไป พวกตนสองคนก็อยู่ที่นี่เพื่อรอรับใช้ ไม่เคยละทิ้งที่นี่แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ทว่าตลอดมานายหญิงในห้องไม่เคยเรียกใช้พวกตนเลย น่าจะหลับใหลไปแล้ว
เว่ยเซ่าเดินไปถึงหน้าประตูแล้วหยุดชะงักเล็กน้อย
นางถูกเฉินรุ่ยลักพาตัวมาไม่ใช่เรื่องเท็จ ทว่าวิธีการที่พาตัวมานั้นเหมือนยังมีจุดที่น่าสงสัย ไม่สู้ฉวยโอกาสนี้เข้าไปสอบถามเจ้าตัวดูจะได้กระจ่างแจ้งเสียที
คิดดังนี้ในใจเขาก็ปลอดโปร่ง ยกมือผลักประตูเข้าไป เมื่ออ้อมฉากบังลมที่อยู่ตรงหน้าบานนั้นก็เห็นนางเอนพิงหัวเตียงพร้อมเสื้อผ้าครบชุด ผ้าห่มคลุมถึงแค่ท้อง ดวงหน้าเอียงเข้าด้านใน นิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว น่าจะเป็นเช่นที่หญิงรับใช้ผู้นั้นกล่าว…นางหลับไปแล้ว
เว่ยเซ่าเดินตรงไปถึงข้างเตียงหมายเรียกปลุกนาง แต่เหลือบเห็นว่าบนแก้มข้างที่เผยอยู่ด้านนอกดูเหมือนมีร่องรอยของคราบน้ำตา สายตาของเขาหยุดนิ่งก่อนจะเบนลงสู่มือของนาง
ยามนี้มือทั้งคู่หงายขึ้นวางอยู่นอกผ้าห่ม นิ้วมืองอทำมุมดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ขาวสะอาดสะอ้านดุจก้านต้นหอม แขนเสื้อพับขึ้นสองทบ ถลกขึ้นไปกองอยู่ใต้ข้อพับแขน เผยให้เห็นเรียวแขนงามช่วงหนึ่งซึ่งมีผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงตรงกลางข้อมือที่ถูกพันด้วยผ้าปอสีขาวนุ่มละเอียด ปรากฏสีคล้ำของยาขี้ผึ้งซึมออกมารางๆ ดูสะดุดตายิ่ง
เว่ยเซ่าพิศมองชั่วครู่ก็เบนสายตากลับมาบนดวงหน้าของนางอีกครั้ง
ประกายเทียนส่องมาจากด้านข้าง แสงสลัวที่ถูกกรองผ่านผ้าม่านฉายลงบนดวงหน้านาง ส่งผลให้ขนตางอนยาวทอดเงาประหนึ่งพัดหนึ่งวงประดับเปลือกตาล่างโดยไร้เสียง ดวงหน้าของนางเอียงเข้าด้านในเล็กน้อย เขาจึงมองเห็นลายเส้นด้านข้างอันงามละเมียดละไมได้เพียงครึ่งเดียว ภายใต้แสงเทียนสลัวกับเงาม่านแพร โฉมสะคราญที่นิทราตามลำพังประดุจดอกไห่ถัง หนึ่งกิ่งที่ถูกกางกั้นด้วยม่านหมอก สำหรับประสาทการมองเห็นของบุรุษย่อมเป็นความอิ่มเอมที่นำมาซึ่งความเพลิดเพลินใจ
เว่ยเซ่าก็เป็นบุรุษธรรมดาคนหนึ่ง ไหนๆ นางก็หลับไปแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำอีกหน ตอนนี้เขาถึงสังเกตเห็นว่ามุมปากของนางเชิดขึ้นน้อยๆ ราวกับฟ้าประทานมาให้แต่กำเนิด กระทั่งในยามนี้ที่นางน่าจะเจ็บแผลจนหว่างคิ้วมุ่นนิดๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะมุมปากที่เม้มเชิดขึ้นนี่เอง ดวงหน้ายามหลับใหลถึงมีลักษณะอันไร้เดียงสาเติมแต่งขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
เว่ยเซ่าไม่ค่อยอยากเรียกปลุกนางแล้ว ยามที่เขาดึงสายตากลับมาและหมุนกายเตรียมจากไปนั้น เสี่ยวเฉียวที่อยู่บนเตียงคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เปลือกตาจึงขยับเล็กน้อยก่อนเบิกขึ้นช้าๆ ทันเห็นเงาคนเลือนรางส่ายไหวอยู่หน้าเตียง นางตระหนกวูบร้องอุทานเบาๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งในทันที
“ข้าเอง!”
เว่ยเซ่าชะงักฝีเท้า รีบหมุนกายมากล่าว
เหตุการณ์ที่ประสบมาในสองวันนี้ไม่น่าระลึกถึงนัก ซ้ำเสี่ยวเฉียวยังเพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นจากห้วงฝันจึงไม่แคล้วเป็นกระต่ายตื่นตูมไปสักหน่อย ยามนี้นางเห็นผู้มาเยือนชัดถนัดตาแล้วจึงผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
นางคาดเดาว่าเขาน่าจะมีเรื่องอะไรถึงได้มาที่นี่ อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่นางถูกลักพาตัว นางจึงไม่พูดอันใด เพียงนั่งอยู่กับที่ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นิ่งมองรอคอยเขาเอ่ยปาก
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่พูดจา เห็นสายตาของเขาทอดลงมา เสี่ยวเฉียวจึงก้มหน้ามองตาม จากนั้นก็ค่อยๆ หดมือไปที่มุมผ้าห่มแล้วซ่อนไว้
เว่ยเซ่าจึงเบนสายตาไป เบือนหน้าเล็กน้อยไม่มองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ข้ามาที่นี่ก็แค่อยากบอกให้เจ้าพักฟื้นให้เต็มที่ ยังไม่ต้องไปเมืองอวี๋หยางชั่วคราว รออีกสักพักข้าก็ต้องกลับไปเช่นกัน ถึงตอนนั้นค่อยพาเจ้ากลับไปด้วยกัน”
เสี่ยวเฉียวรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงมองเขาพร้อมขานรับเบาๆ
เว่ยเซ่าชำเลืองมองปราดหนึ่งก่อนหมุนกายจากไป เสี่ยวเฉียวได้ยินเสียงพูดดังขึ้นนอกประตู เขากำชับหญิงรับใช้อาวุโสให้ปรนนิบัตินางเป็นอย่างดี จากนั้นเสียงฝีเท้าก็เงียบหายไปตามลำดับ
เสี่ยวเฉียวค่อยๆ เอนกายลงอีกครั้ง ในใจรู้สึกตงิดๆ คล้ายมีอันใดไม่ถูกต้อง
เหตุการณ์ที่นางถูกลักพาตัวมานี้เขากลับไม่เอ่ยถามเลยสักคำ นี่แสดงว่าเขาไม่รู้ใช่หรือไม่ หลิวเหยี่ยนต่างหากที่เป็นคนลักพาตัวนางตั้งแต่ต้น
หากเขาไม่เอ่ยถึงไปตลอด นางก็สามารถแสร้งทำเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องราวไปเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่