ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 5
วันรุ่งขึ้นเว่ยเซ่าก็ออกประกาศในเมือง ปลอบขวัญราษฎร รับช่วงดูแลจวนว่าการ งานยุ่งต่อเนื่องหลายวัน กระทั่งไม่ได้เผยโฉมอีกเลย เสี่ยวเฉียวเองก็ไม่ได้ย่างเท้าออกจากประตูสักครึ่งก้าว กินดื่มและนอนพักฟื้นอยู่แต่ในห้อง จวบจนสี่ห้าวันต่อมาหญิงรับใช้อาวุโสสองคนที่คอยปรนนิบัตินางก็มาเชิญนางออกไปขึ้นรถม้า เสี่ยวเฉียวถึงรู้ว่าจะเดินทางกลับเมืองซิ่นตูกันแล้ว
เว่ยเซ่ามอบหมายเมืองสืออี้แก่กงซุนหยาง เว่ยเหลียงกับพวกทหารที่บาดเจ็บให้อยู่พักฟื้นต่อ ทิ้งไพร่พลเกินครึ่งอยู่รักษาการณ์ที่นี่ ส่วนตนเองนำกำลังคนที่เหลือพาเสี่ยวเฉียวกลับไป
เสี่ยวเฉียวนั่งรถม้าติดตามขบวนของเว่ยเซ่ากลับถึงเมืองซิ่นตูอย่างราบรื่น
พวกชุนเหนียงล่วงหน้ากลับมาก่อนเสี่ยวเฉียวนานแล้ว
บุตรสาวแท้ๆ ของชุนเหนียงเคราะห์ร้ายป่วยตายตั้งแต่อายุเพียงสามสี่ขวบ นับจากนั้นชุนเหนียงก็ยิ่งทุ่มเทความคิดจิตใจทั้งหมดมาที่เสี่ยวเฉียว เห็นนางสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก วันนั้นได้แต่เบิกตามองนางถูกผู้อื่นลักพาตัวไปต่อหน้า ชุนเหนียงจึงปวดร้าวเจียนขาดใจ หลังกลับเมืองซิ่นตูมาก่อนตามคำสั่งของเว่ยเหลียง กลางวันก็กินไม่ได้ กลางคืนก็นอนไม่หลับ ร่ำไห้จนดวงตาบวมแดง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ใบหน้าซึ่งเคยอวบอิ่มซูบตอบลงไม่น้อย ยามนี้เฝ้าคอยจนได้เห็นเสี่ยวเฉียวแคล้วคลาดกลับมาในที่สุด หยาดน้ำตาแห่งความยินดีจึงเอ่อท้นออกมาก่อน รอจนเห็นข้อมือที่บาดเจ็บและได้รู้ว่าเสี่ยวเฉียวใช้เปลวเทียนทำร้ายตนเองเพื่อหลบหนี ชุนเหนียงก็ปวดใจหลั่งน้ำตาอีกหน หลังจากร้องไห้แล้วยิ้มออก ยิ้มออกแล้วร้องไห้ ในที่สุดก็กลับถึงเรือนเซ่อหยางที่เสี่ยวเฉียวเคยพำนักอยู่หนึ่งคืน เหล่าสาวใช้เปิดกล่องจัดเรียงเครื่องใช้กันใหม่ ตระเตรียมอยู่อาศัยที่นี่
‘ห้องหอ’ ห้องนี้เดิมน่าจะเป็นห้องส่วนตัวที่เว่ยเซ่าพำนักเป็นประจำ ดูเหมือนวันรุ่งขึ้นพอเสี่ยวเฉียวจากไปก็ถูกเก็บกวาดจนด้านในไม่เหลือกลิ่นอายมงคลที่เคยถูกใช้เป็น ‘ห้องหอ’ แม้แต่น้อย
ตกค่ำเสี่ยวเฉียวก็พักผ่อนตามปกติ นางรู้ว่าเว่ยเซ่าไม่มาอยู่ร่วมห้องกับตนแน่ ผิดกับชุนเหนียงที่ไม่รู้คิดอย่างไร ดูเหมือนผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วจะมีเรื่องในใจเรื่องใหม่ผุดขึ้นมาอีก เรียกว่าฮ่องเต้ไม่รีบขันทีรีบ ขนานแท้ กระทั่งรอจนดึกดื่นเสี่ยวเฉียวหลับใหลไปนานแล้ว ชุนเหนียงก็ยังอดทนไม่ยอมไปเข้านอน จวบจนสาวใช้ที่ทำงานในห้องหนังสือของเว่ยเซ่าซึ่งถูกนางใช้เงินซื้อตัวคนนั้นลอบส่งข่าวมา บอกว่าท่านโหวสั่งให้ปูเตียงเตรียมค้างคืนที่ห้องหนังสือ ชุนเหนียงถึงได้ถอดใจปิดประตูไปนอนพร้อมความหงุดหงิด
ตลอดหลายวันต่อมาเสี่ยวเฉียวได้รับการดูแลอย่างละเอียดพิถีพิถันจากชุนเหนียง เรียกได้ว่าอาหารมาอ้าปาก เสื้อผ้ามากางแขน เท่านี้ก็เพียงพอ หลังสู้ทนผ่านพ้นความทรมานในช่วงวันแรกๆ ยามนี้แผลไฟลวกบนข้อมือของนางเริ่มฟื้นฟูแล้ว ผิวตายชั้นนั้นค่อยๆ ผลัดออก ผิวใหม่เริ่มสร้างขึ้นทดแทน หมอยังคอยมาเปลี่ยนยาให้นางทุกวัน นับจากเมื่อวานก็เลิกใช้ยาขี้ผึ้งสีดำเข้มที่ค่อนข้างเหม็นชนิดเก่า เปลี่ยนมาเป็นยาตัวใหม่สีขาวน้ำนมและมีกลิ่นเย็นชื่นใจยิ่ง หมอบอกว่ายาขี้ผึ้งตัวนี้มีสรรพคุณผลัดผิวตายสร้างผิวใหม่ ดูจากระดับความรุนแรงของแผลไฟลวกแล้ว เขาคาดคะเนจากประสบการณ์ว่าหากฟื้นฟูได้ดี ผิวที่สร้างขึ้นใหม่น่าจะเรียบเนียนเช่นกาลก่อนและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้
ช่วงวันแรกๆ ชุนเหนียงเป็นกังวลเรื่องนี้มาตลอด กลัวแต่ว่าข้อมือทั้งคู่ของเสี่ยวเฉียวซึ่งแต่เดิมงามดุจหยกจะมีร่องรอยไฟลวก ได้ยินหมอพูดเช่นนี้ถึงเบาใจได้เสียที
คืนนั้นเสี่ยวเฉียวชำระร่างกาย
นางขยันชำระกายผิดจากเคย สองปีที่ผ่านมาต่อให้เป็นฤดูเหมันต์ที่หนาวจัดเยี่ยงนี้ ขอเพียงอยู่บ้านที่มีสิ่งของเอื้ออำนวยจะต้องแช่ร่างทุกสองวัน ตอนแรกชุนเหนียงก็รู้สึกประหลาดใจกับนิสัยชอบชำระกายที่พลันเปลี่ยนไปจากเดิม ต่อมาจึงค่อยๆ คุ้นชิน อย่างไรเสียสกุลเฉียวก็เป็นตระกูลใหญ่ฐานะมั่นคง แค่สั่งโรงครัวต้มน้ำร้อนเพิ่มไม่กี่ถังเท่านั้น
ห้องอาบน้ำของที่นี่เชื่อมต่อกับห้องนอนที่เสี่ยวเฉียวพำนักอยู่ ตรงกลางกั้นด้วยฉากบังลมหนึ่งบาน ชุนเหนียงช่วยถอดเสื้อผ้าให้เสี่ยวเฉียว ประคองนางลงนั่งในถังอาบน้ำขนาดใหญ่แล้วออกคำสั่งเฉียบขาดให้นางยกสองมือขึ้นสูง ห้ามให้ข้อมือเปียกแม้เพียงน้อยนิด เห็นสาวน้อยเชื่อฟังแต่โดยดีแล้วจึงค่อยสระเรือนผมยาวให้นางด้วยความพึงพอใจ
เสี่ยวเฉียวพิงร่างกับขอบถัง น้ำร้อนปริ่มเหนือหน้าอก เส้นน้ำกระเพื่อมน้อยๆ ตามการวักน้ำของชุนเหนียง ให้ความรู้สึกดุจมีปลายลิ้นเล็กตวัดจุมพิตแผ่วเบาบนผิวกายตรงหน้าอกของนาง เสี่ยวเฉียวแช่ทั้งร่างอยู่ในน้ำอันอบอุ่น สัมผัสได้ว่าชุนเหนียงกำลังช่วยนวดหนังศีรษะให้ด้วยฝีมืออันช่ำชองและชวนผ่อนคลาย แสนสบายจนนางจวนหลับใหล
“…นายหญิง มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง บ่าวไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
ขณะหลับตาพริ้ม เสี่ยวเฉียวพลันได้ยินชุนเหนียงเอ่ยเสียงเบาที่ข้างหูจึงขานตอบดังอืม
“บ่าวรู้สึกอยู่ตลอดว่าคนที่ขี่ม้ามาลักพาตัวนายหญิงไปจากจุดพักเปลี่ยนม้าในวันนั้นดูคุ้นตาอยู่บ้าง…”
ชุนเหนียงพูดแนบอยู่ข้างใบหูของเสี่ยวเฉียวถ่ายทอดเสียงเข้ามา
สาวน้อยชะงักก่อนเบิกดวงตาขึ้น นั่งตัวตรงหันขวับไปมองชุนเหนียง เห็นนางมองดูตนอยู่เช่นกัน สีหน้าเจือความไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่มากยิ่งกว่าน่าจะเป็นความกังวล เสี่ยวเฉียวมองออก
“นายหญิง…” ชุนเหนียงมองนางพลางถอนหายใจแผ่วเบา “คนผู้นั้น…ใช่คุณชายที่บ่าวคิดหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวเหยี่ยนอาศัยอยู่ในจวนสกุลเฉียวหลายปี ต่อมาแม้จากไปนานพอควร ทว่าลักษณะจำเพาะของคนผู้หนึ่งต่อให้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเติบใหญ่ แต่รูปโฉมโดยรวมก็ยังคงรักษาไว้ไม่เปลี่ยน หากชุนเหนียงจะจดจำได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
เสี่ยวเฉียวมองดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความวิตกคู่นั้น ลังเลเล็กน้อยก่อนโน้มตัวไปตอบเสียงเบาข้างหูอีกฝ่าย “ชุนเหนียงวางใจได้ ต่อไปเขาน่าจะไม่มาอีกแล้ว”
ชุนเหนียงตะลึงงัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวั่นวิตกยิ่งกว่าเดิม
“เว่ยโหวรู้เรื่องนี้หรือไม่” นางเอ่ยถามข้างหูเสี่ยวเฉียว แผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ
“คืนที่บุกยึดเมืองสืออี้เขาเคยมาหาข้า ข้านึกว่าเขาจะสอบถามเหตุการณ์ในวันที่ข้าถูกลักพาตัวไป หากตอนนั้นเขาเอ่ยถาม ข้าก็จะบอกเขา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ถาม ข้าจึงคิดว่ามีเรื่องเพิ่มขึ้นมิสู้มีเรื่องน้อยลงดีกว่า…”
ชุนเหนียงเหม่อลอยไปชั่วครู่
“หวังว่าเรื่องราวจะผ่านพ้นไปเพียงเท่านี้เถิด…” นางทอดถอนใจ
เสี่ยวเฉียวเห็นชุนเหนียงกลัดกลุ้ม จึงโอบสองแขนที่ขาวราวหิมะรอบลำคอของนาง ส่งเสียงฮือๆ ขึ้นจมูกพร้อมพูดอ้อน “ชุนเหนียง ข้าคันข้อมือยิ่งนัก อยากเกาเหลือเกิน…ทำอย่างไรดี…”
ข้อมือของนางกำลังสร้างผิวใหม่ ไม่แคล้วเริ่มคันยุบยิบ ซ้ำยังถูกความชื้นจากไอร้อนที่อบอวลอยู่ภายในถังอาบน้ำ นี่จึงไม่ใช่คำพูดหลอกอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ชุนเหนียงเคร่งเครียดทันตาเห็น รีบคว้ามือนางไว้ ใช้ท้องนิ้วคลึงเบาๆ ใกล้รอยแผลพลางเอ่ยปาก “อดทนนิดเดียวก็จะผ่านพ้นไป ห้ามเกาเองส่งเดชนะเจ้าคะ ได้ยินหรือไม่ หากเกาถลอกทิ้งแผลเป็นไว้จะทำอย่างไรกัน”
เสี่ยวเฉียวส่งเสียงอืมติดกันสองหน ซบดวงหน้ากับหน้าอกที่อุ่นนิ่ม หลับตาคลอเคลียก่อนเอ่ยเสียงนุ่มหวาน “ชุนเหนียง ท่านดีต่อข้ายิ่งนัก…”
ชุนเหนียงยิ้มออกแล้ว “หมานหมานของชุนเหนียงงดงามถึงเพียงนี้ ทั้งยังช่างเอาใจใส่ ผู้ใดจะใจร้ายใจดำหักใจทำไม่ดีต่อท่านได้…”
ยังไม่ทันขาดคำ เบื้องนอกพลันบังเกิดเสียงดังปึงคล้ายประตูห้องถูกใครผลักเปิดในคราวเดียว ความรุนแรงนั้นคล้ายแฝงด้วยโทสะที่กำลังปะทุแรง
“ท่านโหว! นายหญิงยังชำระกายอยู่ในห้องอาบน้ำนะเจ้าคะ!”
เสียงของสาวใช้ที่ดังตามมาฟังออกถึงความตระหนกลนลาน
เสี่ยวเฉียวลืมตาขึ้น
ชุนเหนียงเองก็ชะงักไปชั่วอึดใจก่อนตบบ่าปลอบขวัญเสี่ยวเฉียว จากนั้นรีบยืนขึ้นหมายออกไปรับหน้า ทว่าเสียงฝีเท้าประชิดเข้ามาแล้ว พอเงาคนวาบผ่านเบื้องหลังฉากบังลม ผ้าม่านที่ทิ้งตัวอยู่ก็ถูกคนกระชากเปิดในคราวเดียว เว่ยเซ่าบุกตรงเข้ามาในห้องอาบน้ำแล้ว
เปลวเทียนบนเชิงเทียนสำริดรูปคนคุกเข่าที่วางอยู่ทั้งสี่มุมวูบไหวเล็กน้อย ภายในพื้นที่ซึ่งอวลด้วยไอหมอกอันหอมหวนนุ่มนวลนี้ อากาศคล้ายเย็นลงในฉับพลันพร้อมกับการรุกล้ำกะทันหันของเขา
ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเฉยชาอย่างยิ่ง ทว่าแววตากลับฉายโทสะที่ไม่อาจอำพรางได้ เขากวาดมองมาที่เสี่ยวเฉียวซึ่งยังคงนั่งอยู่ในถังอาบน้ำเบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ออกไป”
ชุนเหนียงรู้ว่าเขากำลังพูดกับตน นางกดข่มความไม่สบายใจเอาไว้ เอ่ยด้วยเสียงที่สั่นสะท้านนิดๆ “ท่านโหวมาหานายหญิงหรือเจ้าคะ นายหญิงยังชำระกายอยู่ ขอท่านโหวโปรดอนุญาตให้บ่าวปรนนิบัตินางสวมอาภรณ์ก่อน…”
“ไสหัวไป!”
เว่ยเซ่าเพิ่มระดับเสียง
หัวไหล่ของชุนเหนียงสะดุ้งไหว แต่ยังคงค้อมกายขวางอยู่เบื้องหน้าเสี่ยวเฉียวอย่างดื้อรั้นไม่ยอมออกไป
“ชุนเหนียง ท่านออกไปเถิด ข้าไม่เป็นไรหรอก” เสี่ยวเฉียวเอ่ยเนิบช้า
ชุนเหนียงหันกลับไปมองนาง ในที่สุดก็ก้มหน้าลง ก่อนจะเดินผ่านข้างกายเว่ยเซ่าออกไปเงียบๆ