ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 5
ในห้องอาบน้ำคงเหลือเพียงหนุ่มสาวทั้งสอง
เปลวเทียนบนเชิงเทียนเผาไหม้อย่างสงบ ทอรัศมีเหลืองนวลอบอุ่น มีไอหมอกสีขาวซึ่งกลั่นตัวเป็นหยดน้ำบางเบาปกคลุมอยู่ระหว่างคนทั้งสอง สายตาอึมครึมของเขาจ้องมองเสี่ยวเฉียวที่อยู่ในถังอาบน้ำผ่านชั้นหมอกที่ลอยเอื่อย บรรยากาศชวนอึดอัดและแปลกพิกล
ทั้งที่น้ำในถังยังคงร้อนกรุ่น เสี่ยวเฉียวที่แช่กายอยู่ในน้ำกลับรู้สึกหนาววูบ เรือนผมยาวที่เปียกชื้นแนบปรกลำคอระหง ไอเย็นในอากาศคล้ายแทรกซึมผ่านเส้นผมเข้าสู่ผิวหนัง หัวไหล่กับหน้าอกส่วนที่เปิดเปลือยอยู่เหนือผิวน้ำจึงพลอยผุดตุ่มที่เล็กละเอียดเฉกเช่นหนังไก่ แม้แต่ยอดทรวงอกที่อยู่ใต้ผิวน้ำยังคล้ายสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่กำลังลุกลามลงมาช้าๆ ชูชันโดยไร้เสียง
สาวน้อยกระถดกายลงเล็กน้อยโดยไม่แสดงสีหน้า ให้ผิวน้ำบดบังสองไหล่ ทว่าร่างกายของนางเพิ่งขยับ ชายหนุ่มก็ตรงมาถึงถังอาบน้ำในไม่กี่ก้าวแล้ว สองมือแยกลงมาค้ำยันขอบถัง บังเกิดเสียงดังปังราวกับจะฟาดถังไม้ให้แหลก ผิวน้ำถูกแรงกระแทกจนสั่นเป็นริ้วสับสนในทันที เขาโน้มกายลงประชิดพลางจ้องดวงตานาง แล้วขบกรามเอ่ยเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงที่คล้ายสะกดกลั้นจนสุดกำลังกว่าจะข่มโทสะลงไปได้ “เพื่อช่วยเจ้าออกมา ที่เชิงกำแพงเมืองสืออี้ไพร่พลของข้าสูญเสียไปเท่าไรเจ้ารู้บ้างหรือไม่ เว่ยเหลียงที่ตะลุยศึกเหนือใต้ไร้ผู้ต่อกรก็ยังหวุดหวิดต้องสิ้นชื่อ! เจ้ากลับกล้านอกใจข้า ถึงขั้นลักลอบสานสัมพันธ์กับหลิวเหยี่ยนแห่งหลางหยาลับหลังข้าเชียวหรือ!”
หัวไหล่ของเสี่ยวเฉียวสั่นวูบ หัวใจเต้นรัวเร็วในทันที
สุดท้ายเขาก็รู้เรื่องนี้ดังคาด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วปานนี้!
ชายหนุ่มโน้มกายลงมาคุกคาม บีบช่องว่างระหว่างทั้งสองถึงระยะใกล้สุดในฉับพลัน สาวน้อยสัมผัสได้ชัดเจนถึงไอเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งที่โชยมาปะทะใบหน้าอีกระลอกยามที่เขากดร่างลงต่ำ
ใบหน้าของนางยังคงฉาบด้วยไอหมอกอันชุ่มชื้น มีหยดน้ำกลิ้งลงมาตามเรียวคิ้วก่อนจะร่วงเผาะลงบนขนตา ทว่านางไม่อาจพะวงเช็ด รีบร้อนพิงร่างถอยห่างจนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับขอบถังที่อยู่เบื้องหลังจึงได้หยุดเคลื่อนกาย นางแหงนหน้ามองเขาพร้อมกล่าว “อนุญาตให้ข้าออกไปสวมเสื้อผ้าก่อนค่อยชี้แจงให้ท่านฟังได้หรือไม่”
เว่ยเซ่าจับจ้องดวงตาของนาง ชั่วครู่ถึงเลื่อนสายตาผ่านพวงแก้มอมชมพูที่ฉาบเคลือบด้วยไอน้ำเรื่อยลงไป กวาดสายตาแผ่วเบาและเนิบช้าถึงขีดสุดมองไปยังลายเส้นโค้งเว้าบริเวณทรวงอกซึ่งถูกวาดเค้าโครงด้วยผิวน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย
ทันทีที่ก้มมองตามสายตาของเขาไป เสี่ยวเฉียวก็ผลุบร่างลงใต้น้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เผยเพียงลำคอช่วงหนึ่งเท่านั้น
เว่ยเซ่าเห็นเช่นนี้มุมปากก็สั่นกระตุกนิดๆ เขาเผยสีหน้าคล้ายเยาะหยันด้วยเจตนาร้ายอันชัดเจน ก่อนจะไม่มองนางอีก เขายืดตัวตรงแล้วหมุนกายสะบัดแขนเสื้อเดินออกมา
“ไปสวมเสื้อผ้าให้นาง!”
เสียงของเขาที่ดังขึ้นเบื้องนอกไม่ต่างอะไรกับการคำราม
สองมือของเสี่ยวเฉียวยึดจับขอบถัง บังเกิดเสียงดังซ่าเมื่อนางลุกขึ้นจากน้ำ หยดน้ำดุจไข่มุกร่วงพรูลงมาตามผิวพรรณอันขาวนวลดั่งเคลือบไข ผิวกายที่อบอุ่นพลันเปิดเปลือยท่ามกลางกลุ่มควัน ส่งผลให้ขนลุกชันประดุจหนังไก่ในทันที นางสยิวกายวูบ สองขาราวกับพลอยอ่อนระทวยตาม ยามที่กำลังปีนออกจากถังอาบน้ำด้วยมือเท้าที่สั่นเทิ้ม ชุนเหนียงก็รีบรุดเดินเข้ามาพยุงนางออกจากถัง
เสี่ยวเฉียวรีบเช็ดเรือนผมที่เปียกชุ่มของตนลวกๆ ขณะที่ชุนเหนียงช่วยเช็ดเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้าให้นาง
นิ้วมือของชุนเหนียงแตะสัมผัสเสี่ยวเฉียว สามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยียบเช่นเดียวกับน้ำ
“นายหญิง…นายท่านกำลังโกรธจัด…อย่างไรก็ให้บ่าวรั้งอยู่ข้างกายท่านเถิด”
ชุนเหนียงก้มหน้ามัดเชือกผูกเสื้อให้นาง มือสั่นเทาเล็กน้อย มัดอยู่หลายหนกว่าจะสำเร็จ
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ ขยับมาใกล้ข้างหู “อย่าได้เป็นห่วงเลย ข้าสามารถรับมือได้ ท่านไปเถิด”
ชุนเหนียงลังเลชั่วครู่ สุดท้ายจึงกระซิบแนบหูนาง “เช่นนั้นบ่าวจะรั้งอยู่หน้าประตู คอยสังเกตความเคลื่อนไหวในห้อง หากมีอันใดไม่บังควร บ่าวจะเข้ามาเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉียวก้มหน้าตรวจสอบสาบเสื้อตนเองรอบหนึ่ง เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงหลับตาตั้งสติ ระบายลมหายใจยาวก่อนเดินออกไป
ชุนเหนียงตามนางออกมา ชำเลืองมองสีหน้าอึมครึมของเว่ยเซ่าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบายใจแล้วก็ค้อมกายคำนับ เดินพิรี้พิไรออกจากห้อง พลิกมือปิดประตูตามหลังเบาๆ
หัวไหล่ของเว่ยเซ่าขยับเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านคงอนุญาตให้ข้าเรียกขานว่าท่านพี่กระมัง ข้ารู้ว่าท่านโกรธเพราะสาเหตุใด หวังว่าท่านจะรับฟังข้าชี้แจง”
เสี่ยวเฉียวชิงเอ่ยปากก่อนที่เขาจะพูด นางเดินไปหาเขาหลายก้าว สุดท้ายก็หยุดยืนอยู่ข้างเชิงเทียนอันหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ก้าว มองตาของเขาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล หากตั้งใจฟังจริงๆ ก็สามารถฟังออกว่าแฝงซึ่งนัยวิงวอนอยู่ในที
ระยะห่างระหว่างทั้งสองพอเหมาะพอเจาะยิ่ง ห่างกันไม่กี่ช่วงแขน ทั้งไม่ไกลเกินไปจนห่างเหิน และไม่ถึงกับใกล้จนชวนให้สองฝ่ายต้องอึดอัด
แรกเริ่มเว่ยเซ่าคล้ายตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ช้าหัวคิ้วก็ขมวดมุ่น ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงมีสีหน้าเขียวคล้ำดังเดิม
“ข้าคิดว่าท่านคงรู้เรื่องหมดแล้ว วันนั้นผู้ที่ลักพาตัวข้าไปจากจุดพักเปลี่ยนม้าชิวจี๋ในทีแรกนั้นไม่ใช่เฉินรุ่ยจริงๆ แต่เป็นหลางหยาซื่อจื่อหลิวเหยี่ยน” เสี่ยวเฉียวกล่าวต่อ
ดวงตาของเว่ยเซ่าหรี่ลงนิดๆ พลางเอ่ยเสียงเยียบเย็น “เขาดั้นด้นติดตามมาตลอดทาง ชายมีรัก หญิงก็มีใจ ความรักของพวกเจ้าสองคนช่างแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าโลหะอีกนะ”
“เมื่อครู่ท่านเข้ามาซักถามข้า ข้าก็คาดเดาได้ว่าท่านเข้าใจผิดแล้ว เมื่อก่อนข้ากับหลิวซื่อจื่อเคยมีพันธะหมั้นหมายกันจริง แต่ก็ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี ยิ่งไม่เคยติดต่อกันเป็นการส่วนตัว ครึ่งปีก่อนท่านลุงข้าฉลองวันเกิด เขาเดินทางมาถึงจวนโดยไม่ติดว่าหนทางยาวไกล ตอนนั้นพวกเราสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากัน เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน ท่านสามารถตรวจสอบได้ ครั้งนี้ที่เขาปรากฏกายมาลักพาตัวข้าไป ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน หาใช่นัดแนะกับเขาล่วงหน้าไม่ ถ้อยคำของข้าเป็นจริงทุกประโยค หากมีวาจาไม่จริงแม้สักคำ ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ข้า!”
จังหวะการพูดของนางไม่รีบเร่งและไม่เชื่องช้า นางพูดจบก็มองเว่ยเซ่าที่อยู่ตรงหน้า เว่ยเซ่าก็เพ่งพิศนางเช่นกัน
สองคนประสานสายตาทั้งสี่ชั่วขณะ
แววดุร้ายบางเบายังคงฉายออกมาจากดวงตาของเขา ทว่านางยังคงเยือกเย็นอย่างยิ่ง ไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย
ในที่สุดลายเส้นบนดวงหน้าอันแข็งกระด้างจนเกือบแข็งทื่อนั้นก็ค่อยๆ นุ่มนวลขึ้น
ในใจเสี่ยวเฉียวเพิ่งผ่อนคลายลงเล็กน้อย กลับได้ยินเขาเอ่ยเสียงเยียบเย็นขึ้นมาอีก “แต่ข้าได้ยินว่าหลางหยาซื่อจื่อผู้นั้นมาอาศัยลี้ภัยกับสกุลเฉียวที่เมืองตงตั้งแต่แรกรุ่น พวกเจ้าสองคนใช้เวลาร่วมกันทุกวัน มีหัวใจตรงกัน ซ้ำยังหมั้นหมายกันนานแล้ว เหตุใดยังต้องทำให้เกิดสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างในวันนี้ขึ้นอีก ข้าเว่ยเซ่าไยต้องกังวลว่าจะไร้ภรรยา ไหนเลยจะถึงขั้นต้องแต่งสตรีที่หัวใจมีชายอื่นมาเข้าสกุลเว่ยด้วย สกุลเฉียวกล้าลบหลู่ข้าถึงเพียงนี้ เห็นข้าเป็นอะไร!”
“ท่านพี่เข้าใจผิดอีกแล้ว” เสี่ยวเฉียวเอ่ยพลางเพ่งมองเขา “ข้าไม่ปฏิเสธ เป็นความจริงที่ข้ากับหลิวซื่อจื่อรู้จักกันมานาน คนเรามิใช่ต้นไม้ใบหญ้า อยู่ร่วมกันนานวันไหนเลยจะไม่รู้สึกรู้สา ทว่าข้ากับหลิวซื่อจื่อเป็นอดีตไปแล้ว เมื่อครู่ข้าก็บอกท่านแล้วว่าช่วงสองปีนี้ข้าเติบโตขึ้น มีแต่ยิ่งห่างเหินกับเขามากขึ้นทุกวัน ส่วนเรื่องสกุลเฉียวและสกุลเว่ยนั้น บัดนี้ผู้ใดเข้มแข็งผู้ใดอ่อนแอ ท่านและข้าล้วนรู้แจ้งแก่ใจดี อยู่ที่นี่ข้าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจพูด สกุลเฉียวของข้าหมายอาศัยกำลังของท่านถึงได้ขอผูกไมตรีด้วยการเกี่ยวดอง คำว่าลบหลู่นั้นจะมาจากที่ใดได้อีก พวกข้าไหนเลยจะกล้าคิด ในเมื่อข้าเชื่อคำของผู้ใหญ่ ตัดสินใจเด็ดขาดออกเรือนกับท่านแล้ว ยังจะโลเลสองใจได้อย่างไรกัน ข้าจริงใจแต่งเข้าสกุลเว่ยของท่านด้วยกายบริสุทธิ์และใจดวงเดียว ใจนี้ดั่งตะวันจันทราที่กระจ่างเปิดเผย เห็นได้ชัดเจน”
“ช่างมีปากคอคารมคมคายจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าสินะ” สีหน้าของเว่ยเซ่ายังคงปั้นปึ่ง “ในเมื่อถามใจตนเองได้อย่างไม่ละอาย เช่นนั้นตั้งแต่ที่ข้าช่วยเจ้ากลับจากเมืองสืออี้ จนบัดนี้ก็หลายวันแล้ว เหตุใดตลอดมาเจ้าถึงปิดบังไม่บอกความจริงกับข้าเล่า”
“คืนที่บุกยึดเมืองสืออี้ท่านเคยมาเยี่ยมข้า ตอนนั้นข้าคิดในใจว่าขอเพียงท่านถามถึงเรื่องที่ข้าถูกลักพาตัวระหว่างทาง ข้าจะบอกความจริงกับท่านทันที แต่ตอนนั้นท่านไม่เอ่ยถึงสักครึ่งประโยค แค่เอ่ยปากบอกให้ข้าพักฟื้นให้เต็มที่ ไม่ต้องเร่งเดินทางขึ้นเหนือชั่วคราว พูดจบท่านก็รีบร้อนจากไป ข้ามีโอกาสเอ่ยปากที่ใดกัน เรื่องในตอนนั้นท่านน่าจะจดจำได้”
เว่ยเซ่าแค่นเสียงดังฮึ “หลังกลับมาซิ่นตูเล่า ถึงวันนี้เหตุใดเจ้าไม่เคยเอ่ยถึงสักครึ่งประโยค”
“ท่านพี่ ตลอดหลายวันหลังจากข้าตามท่านกลับมาถึงซิ่นตู ข้าก็อยู่ในเรือนเซ่อหยางแห่งนี้ทั้งวัน ไม่เคยออกไปที่ไหนแม้แต่ครึ่งก้าว ท่านเองก็งานรัดตัวนัก ตั้งแต่กลับมาข้าก็ไม่เคยได้พบหน้าท่านอีกเลย จนตอนนี้ข้าถึงได้พบหน้าท่านเป็นครั้งแรก ข้าเองก็รู้ว่าท่านไม่ชอบหน้าข้า ต่อให้ข้ามีใจชี้แจงอย่างไร ยังจะเอาโอกาสและความกล้าจากที่ใดเป็นฝ่ายไปหาท่านแล้วเอ่ยเรื่องนี้ได้เล่า”
เว่ยเซ่ามีสีหน้านิ่งงันไปเล็กน้อย
เสี่ยวเฉียวเองก็เงียบเสียงหลุบตาลง ชั่วครู่ต่อมาขนตาของนางสั่นไหวนิดๆ ก่อนจะลอบช้อนตาเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว แต่กลับสบสายตาของเขาเข้าตรงๆ เว่ยเซ่ากำลังมุ่นคิ้วมองนางอยู่
“อันที่จริงเมื่อครู่ก่อนนี้เอง…” นางปรายตาไปทางประตู เพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย “ข้าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้กับชุนเหนียง ข้ามีใจอยากบอกให้ท่านรู้ แต่ก็กลัวว่าท่านจะไม่เชื่อ หากข้าพูดขึ้นเองแล้วสะกิดให้ท่านแคลงใจ ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็ไม่อาจชี้แจงจนกระจ่างได้ ไม่นึกว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้ ข้าเพิ่งเอ่ยถึง ท่านพี่ก็เข้ามาซักถามข้าอย่างโกรธเกรี้ยวพอดี…”
เสียงของนางเบาลงจนกระทั่งเงียบหายไป ความเจ็บช้ำน้ำใจเจืออยู่ในแววตา นางขบริมฝีปากแดงเบาๆ หลุบดวงตาลงช้าๆ ยืนรวบมืออยู่เบื้องหน้าเขาประดุจลูกกวางที่เชื่องเชื่อ
ครู่ใหญ่สีหน้าของเว่ยเซ่าจึงค่อยอ่อนลง ทว่าสายตายังคงลุ่มลึก
“ที่เจ้าพูดมา…เป็นความจริงหรือ”
เสี่ยวเฉียวช้อนตาขึ้นอย่างแช่มช้า สบมองกับเขาอีกหน
“ข้ารู้ว่าในใจท่านรังเกียจข้า ที่แต่งกับข้าก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเดิมของท่าน คาดว่าท่านคงไม่เคยคิดจะปฏิบัติต่อข้าในฐานะภรรยาจริงๆ ด้วยซ้ำ ทว่าข้ากลับไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ก้าวออกจากครอบครัวเดิม ย่างเท้าเข้าสู่ประตูบ้านของสามี ก็ไม่เคยคิดว่ายังมีหนทางใดให้หันกลับ เมื่อได้ชื่อเป็นภรรยาของท่าน ข้าย่อมสำรวมตนรักษาจารีต เพียงแต่บางเรื่องมิใช่สิ่งที่ข้าสตรีอ่อนแอคนเดียวจะอาศัยกำลังตนพลิกผันได้ เหตุไม่คาดฝันระหว่างทางครั้งนี้มิใช่ความปรารถนาของข้าเลย ทว่าข้าจะทำอย่างไรได้เล่า การกระทำของหลิวซื่อจื่อถึงไม่เป็นการสมควร แต่คงเกิดจากการไม่ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตจึงยังปฏิบัติต่อข้าด้วยมารยาทดุจเดิม กระทั่งข้าตกไปอยู่ในกำมือของเฉินรุ่ยผู้นั้นอีกทอดหนึ่ง ข้าก็เหมือนอยู่ใกล้กับสุนัขป่า เพื่อมิให้ถูกหมิ่นเกียรติ สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ก็แค่ฝืนพอเอาตัวรอด ประวิงเวลาได้เท่าใดก็เท่านั้น ความหวาดหวั่นสิ้นหวังของข้าในเวลานั้นยังหามีใครเผื่อแผ่ความเห็นใจมาให้สักนิดไม่ โชคยังดีที่สุดท้ายท่านมาได้ทันเวลา ในที่สุดข้าก็รอดพ้นจากเคราะห์ แต่เรื่องที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียไพร่พลไปเช่นนี้ก็ถือเป็นความผิดของข้าจริงๆ…”
ไม่รู้เว่ยเซ่าผู้นี้เป็นอย่างไร คงเพราะรู้ว่าผู้ที่ลักพาตัวนางในทีแรกคือหลิวเหยี่ยนต่างหากถึงได้บุกเข้ามาเอาเรื่องอย่างโมโห ทุกสิ่งก่อนหน้านี้เดิมทีเสี่ยวเฉียวเพียงพูดเพื่อเอาตัวรอด หมายกำจัดความระแวงแคลงใจของเขา มิให้วันหน้าตนมีชีวิตที่ยิ่งยากลำบากก็เท่านั้น ทว่าพอพูดมาถึงตอนท้าย นึกถึงความรู้สึกหวาดหวั่นอันไร้ที่พึ่งในยามที่ตนอับจนหนทาง นึกถึงความทรมานขณะเนื้อหนังถูกเปลวเทียนแผดเผาในยามที่ดิ้นรนช่วยเหลือตนเองให้มีชีวิต อีกทั้งภาพความอาวรณ์เหลือล้นที่บิดาและน้องชายมีต่อตนในวันออกเรือนลาจากครอบครัวก็ยังผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตา นางจึงพลันรู้สึกแสบจมูก ขอบตาเริ่มแดงเรื่ออย่างไม่อาจยับยั้ง
“เดิมทีท่านก็ฝืนใจแต่งกับข้าอยู่แล้ว หากท่านทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ ทั้งตำหนิที่ข้าทำให้กำลังพลของท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย ท่านก็หย่าข้าแล้วส่งข้ากลับเหยี่ยนโจวเสียเถิด!”
นางกล่าวเสียงสั่นเครือ เห็นชัดว่าแม้กำลังฝืนข่มกลั้น ขบริมฝีปากอย่างเอาเป็นเอาตายจนริมฝีปากล่างซึ่งแต่เดิมเป็นเช่นกลีบบุปผาถูกขบกัดจนซีดขาว ทว่าท้ายที่สุดมุกน้ำตาวาวใสขนาดเท่าเมล็ดถั่วหนึ่งหยดก็ยังคงเอ่อท้นออกมาอย่างไม่ฟังคำสั่ง พลันกลิ้งหยดลงมาตามพวงแก้มข้างหนึ่ง
แม้เว่ยเซ่าวางแผนยึดเมืองสืออี้มาช้านาน ทว่าการโจมตีครั้งนี้ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ปราศจากการเตรียมการล่วงหน้าอย่างรอบด้าน และไม่ได้เปรียบด้านจำนวนคน การศึกอันดุเดือดที่กำแพงเมืองครั้งนี้ล้วนอาศัยฝีมือการรบของแม่ทัพและทหารที่สั่งสมมาจากสงครามน้อยใหญ่นานปี รวมเข้ากับภาวะผู้นำของตนในกองทัพถึงคว้าชัยมาได้ในที่สุด หลังการศึกเพิ่งยุติ ข้างมือมีงานปลีกย่อยสารพัดที่ต้องสะสางเร่งด่วน ดังนั้นแม้นึกสงสัยรายละเอียดในวันที่เสี่ยวเฉียวถูกลักพาตัวไป ทว่างานล้นมือทั้งวันไม่มีเวลาว่าง เขาจึงพับเรื่องไว้ไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก
จนกระทั่งมาเกิดเหตุในวันนี้ เชลยกลุ่มหนึ่งถูกคุมตัวมาจากเมืองสืออี้ ในจำนวนนั้นมีผู้หนึ่งเป็นคนสนิทของเฉินรุ่ย เขาเปิดปากพูดหมดเปลือกหวังเพียงรักษาชีวิตรอด เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่าพวกตนติดตามเฉินรุ่ยไปลักพาตัวภรรยาของเว่ยเซ่าจากมือหลิวเหยี่ยนแห่งหลางหยากลางทาง เว่ยเซ่าได้รับรายงานจึงสั่งให้คนไปสืบข้อมูลเพิ่ม ไม่ช้าก็รู้เรื่องที่เสี่ยวเฉียวกับหลางหยาซื่อจื่อหลิวเหยี่ยนเคยมีพันธะหมั้นหมายกันมาก่อน
เรื่องที่เกี่ยวดองกับสกุลเฉียว สำหรับเขาเป็นเพียงการพายเรือตามน้ำเท่านั้น ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ยิ่งไม่เคยมีความคิดจะอยู่ร่วมเตียงตายร่วมหลุมกับหญิงสกุลเฉียวอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ตอนหารือเรื่องแต่งงานเขาจึงไม่ถามไถ่สักครึ่งประโยค ยิ่งไม่เคยส่งคนไปสืบข้อมูลว่าหญิงสกุลเฉียวงามหรืออัปลักษณ์ งานเรือนเป็นเช่นไร เขาไม่แยแสเลยสักนิด ขอเพียงคนที่แต่งมาคือหญิงสกุลเฉียวเป็นพอ ดังนั้นจึงไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเมื่อก่อนเสี่ยวเฉียวกับหลิวเหยี่ยนยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้ การได้รับรู้อย่างกะทันหันนี้ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่นึกว่ายังมีเหตุการณ์ที่หลิวเหยี่ยนแห่งหลางหยาลักพาตัวคนไปก่อนที่จะตกสู่เงื้อมมือของเฉินรุ่ยแทรกเข้ามาอีก
ภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีถูกชายอื่นลักพาตัวเข้าเมืองสืออี้ไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ต่อให้เขาเว่ยเซ่าไม่ไยดีในความเป็นความตายของภรรยาเพียงใด แต่ขอเพียงยังมีลมหายใจก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้สึกรู้สา สถานการณ์บังคับให้เขาจำต้องยกทัพบุกตีเมืองสืออี้อย่างฉุกละหุกโดยที่ไม่ได้เตรียมการอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายแม้ช่วงชิงคนกลับคืนมาได้พร้อมยึดเมืองมาครองสำเร็จ ทว่าฝ่ายตนก็สูญเสียเกินกว่าที่ประมาณการไว้มิใช่น้อย ยิ่งนึกได้ว่าเสี่ยวเฉียวยังมีเยื่อใยตัดหลิวเหยี่ยนไม่ขาด สกุลเฉียวลบหลู่ตนได้ถึงเพียงนี้ เขาผู้มีนิสัยหยิ่งทะนงไหนเลยจะข่มกลั้นโทสะนี้ลงได้ อารมณ์เดือดดาลพุ่งขึ้นมาในฉับพลัน เขาโยนงานอื่นทิ้งแล้วบุกตรงมาเอาความทันที
เสี่ยวเฉียวแก้ต่าง นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของเขา ทว่าสิ่งที่นึกไม่ถึงคือ…ตนกลับรับฟังคำแก้ต่างของนางเสียได้ ไฟโทสะซึ่งพวยพุ่งอยู่ในใจขุมนั้นค่อยๆ มอดลงตามวาจาของนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สายตาก็จับนิ่งอยู่บนร่างของนางอย่างไม่รู้สึกตน
เมื่อครู่เสี่ยวเฉียวรีบร้อนออกมาจากห้องอาบน้ำ บนร่างจึงสวมเพียงเสื้อตัวในสีฟ้านวลชิ้นเดียว เรือนผมยาวยังไม่ทันได้หวีสาง ทิ้งตัวปรกบ่า ปลายผมยังมีน้ำหยดไม่ขาดตอน คราบน้ำแผ่ขยายตามลำดับ เปียกซึมเนื้อผ้าบริเวณหัวไหล่และหน้าอกจนแนบติดเรือนร่าง เผยเค้าโครงของสองไหล่ลาดกับลายเส้นโค้งเว้าขึ้นลงออกมาให้เห็นรำไร
สายตาของเว่ยเซ่าหยุดนิ่ง เบื้องหน้าดวงตาพลันผุดภาพที่ตนเหลือบเห็นตอนโน้มกายลงไปซักถามนางในห้องอาบน้ำเมื่อครู่ก่อน ตอนนั้นแม้นางรีบหดกายลงใต้น้ำเร็วเพียงใด แต่เขาก็เหลือบเห็นแล้ว ความรู้สึกอันไม่บังควรผุดขึ้นในใจรางๆ เขารีบขับไล่ภาพนั้นออกจากห้วงความคิด ครั้นช้อนสายตาขึ้นมากลับเห็นพวงแก้มที่เปื้อนน้ำตาของนางอีก ท่าทางดุจดอกสาลี่แต้มฝนนั้น กอปรกับฟังออกถึงอารมณ์ขุ่นเคืองที่เจืออยู่ในวาจาประโยคสุดท้ายของนางไม่มากก็น้อย ทำให้เขานึกได้ว่าชั่วครู่ที่ตนไม่อาจระงับอารมณ์บุกรุกเข้ามาคงทำให้นางตกใจมากจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยจึงมุ่นคิ้วกล่าว “เอาความคิดฟุ้งซ่านมากปานนี้มาจากที่ใดกัน ข้าเคยพูดหรือว่าจะหย่าเจ้าส่งคืนไป!”
เสี่ยวเฉียวเบือนหน้า รีบยกมือปาดน้ำตาบนดวงหน้าโดยไม่พูดจา
ภายในห้องเงียบงัน
เว่ยเซ่าเห็นนางไม่หันหน้ามาทางตนอีก นางเอาแต่เพ่งมองเชิงเทียนบนโต๊ะที่อยู่เยื้องออกไป ราวกับนั่นคือบุปผาที่ชวนมองดอกหนึ่ง เขาก็รู้สึกหมดความสนใจ ลังเลชั่วครู่ก่อนเอ่ย “เจ้าเช็ดผมแล้วเข้านอนเร็วหน่อยแล้วกัน” จบคำเขาก็หมุนกายสาวเท้าจากไป
พอเขาคล้อยหลังไปแล้ว หัวไหล่ของเสี่ยวเฉียวซึ่งเครียดเกร็งมาตลอดก็ผ่อนคลายลงช้าๆ นางระบายลมหายใจยาวแล้วพิงขอบโต๊ะที่อยู่ด้านข้างอย่างอ่อนแรง