ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 5
หลังมรสุมเมื่อคืนผ่านพ้น ทุกอย่างก็ไม่มีอันใดต่างไปจากเดิม จนสองวันให้หลังจงเอ่าจึงส่งทองคำกับแพรพรรณจำนวนหนึ่งมาให้เสี่ยวเฉียว นอกจากนี้ยังมีเชียงเถา ที่ยามปกติพบเห็นได้ไม่บ่อยนักกับผลทับทิมที่เป็นบรรณาการมาจากเมืองอันสือ โดยเฉพาะอีกสองถาด จงเอ่าบอกว่าท่านโหวเป็นผู้สั่งให้นำมา
เสี่ยวเฉียวรู้สึกประหลาดใจนิดๆ นางคาดเดาว่าน่าจะเป็นการชดเชยเล็กน้อยของเว่ยเซ่าสำหรับเรื่องในคืนนั้น นางปั้นยิ้มตามเรื่องราว บอกให้อีกฝ่ายช่วยแจ้งต่อท่านโหวว่านางซาบซึ้งใจยิ่ง
ฝ่ายชุนเหนียงยินดีเป็นล้นพ้น รีบสั่งให้สาวใช้รับของกำนัล ส่วนตนเองก็กล่าวขอบคุณซ้ำอีกหลายหน
“นายหญิง ฮูหยินผู้เฒ่าสูงวัยแล้ว ข้างกายต้องการบ่าวคนนี้คอยรับใช้ พรุ่งนี้บ่าวจึงขอเดินทางกลับก่อน ไม่อาจอยู่รับใช้นายหญิงต่อได้ ส่วนนายหญิงก็วางใจพำนักอยู่ที่นี่อีกสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับขึ้นเหนือพร้อมท่านโหวเถิด ถึงตอนนั้นก็จะได้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”
ก่อนจากจงเอ่าก็กล่าวทิ้งท้ายเช่นนี้ ท่าทียามพูดจาแทบไม่ต่างจากเมื่อก่อน ยังคงเฉยเมยไว้ตัวเช่นเดิม ทว่านี่เป็นวาจายาวที่สุดที่เสี่ยวเฉียวเคยได้ยินอีกฝ่ายพูดกับตนตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้งนางยังสังเกตได้ว่าในคำพูดของจงเอ่าไม่ได้เอ่ยถึงสตรีอีกคนในจวนสกุลเว่ยที่เมืองอวี๋หยาง…จูซื่อมารดาของเว่ยเซ่า
จงเอ่าค้อมกายให้นางเล็กน้อยก่อนหมุนกายจากไป
“นายหญิง เว่ยโหวใส่ใจท่านแล้ว ช่างดียิ่งนัก”
ชุนเหนียงมิใช่ขาดประสบการณ์ในชีวิต ทว่านางกลับชื่นมื่นไม่หายกับข้าวของกองพะเนินที่เว่ยเซ่าส่งมา ประเดี๋ยวลูบคลำชิ้นนี้ ประเดี๋ยวหยิบจับชิ้นนั้น ซ้ำยังฉวยผ้าแพรมาทาบตัวเสี่ยวเฉียวพลางพูดว่าอีกสองวันจะตัดชุดใหม่ให้นาง
“ข้ามีเสื้อผ้ามากพอแล้ว เดิมทีก็ใส่ไม่หวาดไม่ไหว ไม่ต้องทำเพิ่มหรอก”
เสี่ยวเฉียวออกอาการไม่ยินดียินร้าย กล่าวจบก็สุ่มหยิบเชียงเถาสองลูกมากลิ้งเล่นในฝ่ามือสองที
“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นรออีกสักพักแล้วกัน” ชุนเหนียงสั่งสาวใช้เก็บทองคำกับแพรพรรณ “บ่าวปอกเชียงเถากับทับทิมให้กินนะเจ้าคะ เว่ยโหวช่างมีน้ำใจนัก เมื่อก่อนฤดูหนาวที่เมืองตงยังยากจะได้เห็นเชียงเถากับทับทิมที่น่าชื่นใจเช่นนี้”
“ข้าไม่ชอบกินของพวกนี้!”
เสี่ยวเฉียวโยนลูกเชียงเถาในมือกลับลงถาด
เชียงเถาลูกหนึ่งกระดอนกลิ้งออกจากถาด หมุนติ้วอยู่บนโต๊ะ
“พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันกินเถิด”
นางปัดๆ ฝ่ามือ หันไปพูดกับชุนเหนียงและสาวใช้ที่กำลังมองนางอย่างตกตะลึง
แม้อาศัยอยู่ที่เดียวกัน ทว่าหลังจากคืนนั้นเสี่ยวเฉียวก็ไม่เคยเห็นเว่ยเซ่าเผยโฉมเบื้องหน้าตนอีกเลย
เว่ยเซ่าไม่ได้ห้ามนางออกไปข้างนอก แต่เสี่ยวเฉียวกลับไม่เคยออกไปสักครั้ง ชีวิตของนางยังคงเรียบเรื่อยยิ่ง สิ่งบันเทิงใจเพียงหนึ่งเดียวน่าจะเป็นการขึ้นไปบนหอถานไถเพื่อชมดูเมืองหรือทอดสายตามองออกไปแสนไกล
บางครั้งในยามอาทิตย์อัสดง ขณะที่เสี่ยวเฉียวยืนอยู่บนยอดหอถานไถจะบังเอิญเห็นเงาร่างของกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นเว่ยเซ่ากำลังเข้าออกเมือง
ดูเหมือนเขาจะมีงานล้นมือจริงๆ วิ่งวุ่นราวกับสุนัขตัวหนึ่งทีเดียว
เสี่ยวเฉียวคิดในใจ
อากาศเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นตามลำดับ กระทั่งเช้าค่ำยังไม่อาจถอดอาภรณ์ฤดูเหมันต์อันหนาหนักบนร่างออกไปได้ ทว่าสายลมที่โชยมากลับไม่คล้ายใบมีดที่คุกคามผู้คนอีก ธารน้ำแข็งเริ่มละลาย ลานนอกเรือนเซ่อหยางซึ่งเดิมทีหม่นหมองเหี่ยวเฉาก็เริ่มผุดสีเขียวอ่อนหลายจุด
ในวันที่กิ่งแห้งของต้นไห่ถังเบื้องนอกหน้าต่างห้องของเสี่ยวเฉียวเริ่มแตกยอดอ่อน เว่ยเซ่าก็สั่งคนมาส่งข่าวบอกให้นางเก็บสัมภาระ อีกสองสามวันเตรียมออกเดินทางขึ้นเหนือ วันเกิดอายุครบหกสิบปีของสวีฮูหยินจวนจะมาถึงแล้ว เขาต้องกลับไปฉลองวันเกิดผู้เป็นย่า
สามวันให้หลัง ล้อรถม้าที่เสี่ยวเฉียวนั่งก็บดผ่านผิวถนนซึ่งปูด้วยแผ่นหินสีเทาอมเขียว ส่ายโคลงเคลงออกจากเมืองซิ่นตูมุ่งขึ้นเหนือสู่เมืองอวี๋หยาง
การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นยิ่ง ไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นอีก
ครึ่งเดือนต่อมาคนทั้งคณะก็มาถึงเมืองอวี๋หยางในที่สุด
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกำแพงเมืองอวี๋หยางมีเขาลูกหนึ่งนามว่าอวี๋ซาน ตัวเมืองอยู่ทางใต้ของเขาจึงได้ชื่อว่าอวี๋หยาง สมัยก่อนยังเรียกอีกชื่อว่าอู๋จง เพราะมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นไปร้อยลี้จะมีเมืองเก่าแก่นามว่าอู๋จงอยู่แห่งหนึ่ง แม้เมืองมีขนาดเล็ก ทว่าสามด้านล้วนโอบล้อมด้วยขุนเขา ฤดูเหมันต์ไม่หนาวจัดเพราะไม่ต้องโกรกลมแห้งผากเหมือนกับพื้นที่อื่น อาศัยอยู่ภายในเมืองนี้จึงไม่ต่างจากการอยู่ที่แดนเจียงหนานเลย สกุลเว่ยสร้างเรือนพักอีกแห่งไว้ในเมืองอู๋จง ตั้งแต่ฤดูเหมันต์ปีที่แล้วสวีฮูหยินก็พำนักอยู่ที่นั่น จนบัดนี้ยังไม่กลับมาที่เมืองอวี๋หยาง
อวี๋หยางเป็นเมืองที่มีทหารประจำการมาเนิ่นนานแต่อดีต หลายร้อยปีก่อนกำแพงหมื่นลี้สำหรับส่วนที่สร้างโดยแคว้นเยียนเพื่อป้องกันชาวซยงหนูก็พาดผ่านด้านข้างของเมืองนี้ด้วย
ตั้งแต่รุ่นปู่ของเว่ยเซ่า สกุลเว่ยหมายสยบชาวซยงหนูและเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่การป้องกันชายแดนเหนือ จึงย้ายเมืองเอกของมณฑลโยวโจวจากฟั่นหยางขึ้นมาสู่อวี๋หยางซึ่งใกล้ชายแดนทางเหนือยิ่งขึ้น การป้องกันเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมาทุกชั่วอายุคน จนมาถึงรุ่นของเว่ยเซ่า กระทั่งฉานอวี๋ ของซยงหนูที่มีนามว่าอีเสียโม่ซึ่งขณะนี้มีขุมกำลังกล้าแข็งก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามปะทะกับกองทัพของเว่ยเซ่าซึ่งๆ หน้า แถบเมืองไป๋ถานและเมืองซั่งกู่ซึ่งอดีตเคยประสบกับการทำลายล้างของทหารม้าซยงหนูซ้ำแล้วซ้ำเล่า บัดนี้ล้วนปลอดศึกมาหลายปีแล้ว ราษฎรกลับมารวมกลุ่มตั้งถิ่นฐานดังเดิม จำนวนคนก็เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ
ในวันที่เสี่ยวเฉียวมาถึง ยามที่รถม้าเข้าใกล้ประตูเมือง นางชะโงกศีรษะออกนอกหน้าต่างรถมองดูด้วยความสนใจใคร่รู้ เห็นเบื้องหน้าที่ไกลตาปรากฏกำแพงเมืองสูงตระหง่านทะลุชั้นเมฆ ประหนึ่งมังกรดำขนาดมหึมาน่าเกรงขามสองตัวหมอบกับพื้นทอดร่างคดเคี้ยวไปทางตะวันออกและตะวันตก กระทั่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด รอจนใกล้เข้าไปทุกทีถึงเห็นได้ชัดถนัดตาว่าตัวกำแพงทั้งหมดล้วนก่อด้วยศิลายักษ์เต็มก้อนสีเทาดำขนาดสูงเกือบสามเชียะ ดูแข็งแกร่งดุจกำแพงหมื่นลี้ทีเดียว
หอสังเกตการณ์เหนือประตูเมืองก็มิใช่รูปแบบของหอประดับซุ้มหลังคาที่นางเห็นทั่วไปจนชินตา หากแต่เป็นหอทรงเจดีย์สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่เฉกเช่นป้อมปราการ ตามแนวกำแพงทุกหลายสิบจั้งจะมีหอทรงเจดีย์เช่นนี้หนึ่งหลัง มีขนาดย่อมกว่าหอเหนือประตูเมืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ธงบนมุมทั้งสี่ของหอทรงเจดีย์ปลิวไสว ทหารรักษาการณ์ที่สวมชุดเกราะต่างก็แข็งขัน ภายใต้แสงตะวันส่องสะท้อน ใบดาบบนทวนวงเดือนก็เปล่งประกายของโลหะวูบวาบแยงตา
เมื่อครู่ทหารสอดแนมได้นำข่าวการกลับอวี๋หยางของท่านโหวเข้ามารายงานในเมืองแล้ว ประตูเมืองจึงเปิดอ้ากว้าง ทหารสวมชุดเกราะกองใหญ่เรียงแถวกรูออกจากเมืองมายืนแยกสองข้างทาง หลี่เตี่ยนและจางเจี่ยนพร้อมด้วยแม่ทัพอีกสิบกว่าคนซึ่งรั้งอยู่ที่อวี๋หยางต่างควบม้าออกจากเมืองมาต้อนรับ เว่ยเซ่าพูดคุยด้วยเล็กน้อยกับแม่ทัพใต้บัญชาก่อนนำคนทั้งหมดเข้าเมือง ตลอดทางที่ผ่านไพร่พลล้วนทำความเคารพแบบทหารโดยพร้อมเพรียง โห่ร้องคำว่า ‘ท่านโหวกลับมาแล้ว’ ด้วยสุ้มเสียงดุจฟ้าคำรามสะท้านแก้วหู หลังเข้ามาในเมือง ราษฎรที่ได้ยินข่าวต่างก็พากันวิ่งออกจากประตูเรือนมาต้อนรับอยู่สองข้างทางด้วยความยินดี กระทั่งขบวนเคลื่อนมาตามถนนจนถึงจวนผู้ว่าการซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางของเมืองฝั่งทิศเหนือในที่สุด
เว่ยเซ่ากลับเมืองโดยไม่ได้แจ้งข่าวกับทางบ้านล่วงหน้า ดังนั้นจูซื่อมารดาของเขาจึงไม่รู้แต่อย่างใด บังเอิญวันนี้นางไม่อยู่ในจวนพอดี พ่อบ้านรายงานว่าเมื่อสองวันก่อนจูซื่อพาเจิ้งฉู่อวี้หลานสาวไปที่ศาลทรงเจ้าบนเขาอวี๋ซาน ยามนี้ยังอยู่ในศาลทรงเจ้านั้น เขาได้ส่งคนไปแจ้งแล้ว คาดว่าคงจะกลับมาในไม่ช้า
จูซื่อศรัทธาในเรื่องคุณไสย ไม่กี่ปีมานี้ยิ่งงมงายถึงขั้นหมกมุ่น ไปมาหาสู่กับแม่หมอในศาลทรงเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เมื่อก่อนมักเชิญอีกฝ่ายมาถึงจวน ให้การปรนนิบัติราวกับแม่หมอเป็นเซียนวิเศษ หลังถูกเว่ยเซ่าพบเข้าสองหน เห็นบุตรชายไม่ชอบใจจึงได้เชิญมาที่จวนน้อยลง เปลี่ยนไปเยือนที่ศาลทรงเจ้าด้วยตนเองแทน แม้เว่ยเซ่าจะเอือมระอาเพียงใด ทว่าเตือนเท่าใดก็ไม่เห็นมารดาฟังสักครั้ง อีกทั้งตนก็วุ่นอยู่กับงานในกองทัพ ตลอดปีไม่ค่อยอยู่ในจวน ไกลเกินกว่าจะควบคุมอีกฝ่าย จึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่งปล่อยนางไปด้วยความจนใจเช่นนี้ ตอนนี้เพิ่งย่างเท้าเข้าประตูจวนก็ได้ยินว่ามารดาไปศาลทรงเจ้านั่นอีกแล้ว เว่ยเซ่าจึงมุ่นคิ้วนิดๆ ก่อนสั่งให้พ่อบ้านพานายหญิงไปพักที่เรือนด้านหลัง