ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6
ตอนที่หก
จวนสกุลเว่ยแห่งนี้มีทั้งความโอ่โถงตามแบบฉบับของคฤหาสน์ตระกูลขุนนางใหญ่ทางแดนเหนือ ทั้งยังสืบทอดตามรูปแบบของจวนโหว ประตูใหญ่เป็นแบบสามห้องหนึ่งประตู เบื้องบนเป็นหลังคาจั่วทรงสามเหลี่ยม เบื้องล่างรองฐานด้วยศิลาขนาดใหญ่ เสาคานตกแต่งด้วยภาพเขียนสีลายมังกรเท้าเดียว หน้าประตูซ้ายขวาตั้งสิงโตกริ้วสำริดหนึ่งคู่ขนาดสูงเท่าครึ่งตัวคน โถงด้านหน้าใหญ่โตโอ่อ่า เรือนด้านหลังแต่ละเรือนก็กั้นด้วยกำแพงลานแยกกันเป็นสัดเป็นส่วน กึ่งกลางเชื่อมกันไว้ด้วยลานกว้าง การจัดวางผังเรือนโดยรวมกว้างขวางกระจ่างตา
ผู้ซึ่งมีฐานะสูงสุดในสกุลเว่ยย่อมเป็นสวีฮูหยินที่บัดนี้ยังพำนักอยู่ที่เมืองอู๋จง ที่พักของสวีฮูหยินที่อวี๋หยางนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางทางทิศเหนือ ยามนี้ยังคงว่างอยู่ จูซื่อมารดาของเว่ยเซ่าพำนักอยู่ทิศตะวันออก เสี่ยวเฉียวถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนประจิมซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับจูซื่อ
แม้ได้ชื่อว่า ‘เรือน’ แต่แท้จริงกลับเป็นคฤหาสน์ขนาดไม่เล็กที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระ ข้ามประตูสองบาน ตัดผ่านลานและห้องปีกซ้ายขวาแล้ว สุดท้ายจึงมาถึงห้องนอนที่มิดชิดเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด โดยที่มีช่องรับแสงบนหลังคาพร้อมห้องเล็กด้านข้างอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น
ในเรือนประจิมมีข้ารับใช้สิบกว่าคน ทั้งหมดมาคุกเข่าต้อนรับเสี่ยวเฉียวที่นอกประตู ขานเรียกนางว่านายหญิงโดยพร้อมเพรียง
แม้ครั้งนี้กลับมาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทว่าทั้งในและนอกเรือนไม่มีที่ใดไม่สะอาดสะอ้าน ในห้องนอนยิ่งปราศจากฝุ่นผง
ต่อจากนี้เสี่ยวเฉียวจะต้องพำนักอยู่ที่นี่เป็นการถาวรแล้ว
ตอนที่ชุนเหนียงกับสาวใช้จัดเก็บสัมภาระ เสี่ยวเฉียวสังเกตเห็นเสื้อผ้าบุรุษหลายชุดรวมไปถึงเครื่องใช้ทั่วไปจำนวนหนึ่งเก็บอยู่ในห้อง
เห็นทีว่าเมื่อก่อนตอนเว่ยเซ่าอยู่ที่จวน ปกติก็คงพำนักอยู่ที่ห้องนี้
ตอนอยู่ที่เมืองซิ่นตู กระทั่งอยู่ต่อหน้าจงเอ่า เว่ยเซ่าก็ยังแยกห้องนอนกับนางอย่างเปิดเผย ไม่มีความคิดจะปิดบังแม้แต่น้อย ไม่ว่าคนในครอบครัวจะมองความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของทั้งสองเป็นเช่นไร เห็นได้ชัดว่าเขามิได้แยแสเลยสักนิด ประกอบกับท่าทีเพิกเฉยที่เขาปฏิบัติต่อนางมาตลอดด้วยแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงคาดว่าต่อจากนี้เขาก็คงไม่ฝืนใจมาอยู่ร่วมห้องกับนางหรอก
สำหรับ ‘นายหญิง’ ที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลมาได้ไม่นานเช่นนาง นี่ย่อมเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง รอจนถึงพรุ่งนี้ ข้ารับใช้ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของสกุลเว่ยคงเอานางมาเป็นหัวข้อสนทนาพูดคุยลับหลังนางเป็นแน่
ต้นไม้มีเปลือกไม้ฉันใด คนเราก็มีหนังหน้าฉันนั้น ต้นไม้ปราศจากเปลือกห่อหุ้มไม่อาจอยู่รอดได้ คนเราไม่มีหนังหน้าแม้ไม่ถึงตาย ทว่าไม่แคล้วต้องขาดศักดิ์ศรี
เสี่ยวเฉียวก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เพิ่งมาถึงวันแรก ใครเล่าจะยินดีกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นในชั่วข้ามคืน หากนางสามารถเสแสร้งเพื่อให้ได้หนังหน้ามาไว้สักผืน ถึงจะลำบากหน่อยแต่นางก็เต็มใจ
ทว่าเรื่องอย่างนี้มิใช่นางคนเดียวที่จะคลี่คลายลงได้ คาดว่าเว่ยเซ่าคงแทบอยากกำจัดนางเช่นเดียวกับตีแมลงวันด้วยซ้ำถึงจะนับว่าสะอาดตา เช่นนั้นนางคงได้แต่พยายามปลงแล้ว
โชคดีที่นางใจคอกว้างพอ ไม่ดันทุรังเอาปัญหาที่ไร้ทางแก้มาใส่หัวของตน นอกจากรูปกายภายนอกแล้ว นี่คงเป็นข้อดีอันดับหนึ่งของเสี่ยวเฉียว ดังนั้นนางจึงกำชับชุนเหนียงเป็นพิเศษ ให้อีกฝ่ายนำข้าวของที่เว่ยเซ่าทิ้งไว้จัดเก็บไปวางไว้อีกด้านหนึ่ง รอให้เขาส่งคนมารับไป
หลังเว่ยเซ่าสั่งประโยคเดียวทิ้งนางไว้กับพ่อบ้านแล้ว ตลอดช่วงกลางวันก็ไม่พบเห็นตัวคนอีก
เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านสกุลเว่ยจะมีความรู้สึกดีอันใดต่อหญิงสกุลเฉียว ข้ารับใช้ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน ทว่าก็ไม่อาจนับรวมข้ารับใช้ได้ทุกคนหรอก
แม้เงินไม่อาจซื้อใจคน ทว่าซื้อคนให้เปิดปากพูดนั้นยังคงไม่ยากเท่าไรนัก
ตอนแรกที่อยู่เมืองซิ่นตู ข้ารับใช้ในจวนซิ่นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนท้องถิ่น ไม่รู้เรื่องของสกุลเว่ยแห่งอวี๋หยางแต่อย่างใด บ่าวไม่กี่คนที่ติดตามมาพร้อมจงเอ่าล้วนเกรงกลัวนาง จึงพูดจาอึกอักไม่ยอมแพร่งพรายอันใดมากนัก จวบจนมาถึงที่นี่และเข้าที่พักเรียบร้อย ไม่ช้าชุนเหนียงก็อาศัยฝีมือในการคุมบ่าวซึ่งฝึกฝนมาตั้งแต่ที่สกุลเฉียวสอบถามจนได้รายละเอียดมามากมายเกี่ยวกับสกุลเว่ยและจูซื่อจากหญิงรับใช้อาวุโสคนหนึ่งของเรือนประจิมนามว่าปิ่งหนี่ว์
ผู้คนในยุคนี้นิยมเชื่อมสัมพันธ์กันด้วยการเกี่ยวดอง การแต่งงานจะพิถีพิถันมากในเรื่องชาติตระกูลที่เหมาะสม โดยเฉพาะตระกูลของขุนนางใหญ่จะยิ่งให้ความสำคัญในประเด็นนี้ ดังนั้นเมื่อเปรียบกับสกุลเว่ยแล้ว วงศ์ตระกูลของจูซื่อจึงนับว่ามีฐานะต่ำต้อยไปสักหน่อย แรกเริ่มบิดาของนางเป็นเพียงหัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าหลักของเมืองจัว ต่อมาเข้ากองทัพทำความชอบจนได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าองครักษ์ ได้รับความสำคัญจากท่านปู่ของเว่ยเซ่า ในศึกหนึ่งเขาช่วยบังธนูอารักขาท่านปู่ของเว่ยเซ่าจากการถูกซุ่มยิง ลูกธนูถูกจุดสำคัญจึงสิ้นใจโดยไม่อาจเยียวยาได้ ท่านปู่ของเว่ยเซ่าทั้งรู้สึกผิดบาปและสำนึกตื้นตัน เห็นสกุลจูมีบุตรีนางหนึ่งซึ่งวัยและรูปโฉมเหมาะสมกับเว่ยจิงบุตรชายคนโตของตนจึงได้สู่ขอมาเป็นลูกสะใภ้
หลังแต่งเข้าสกุลเว่ย จูซื่อได้ให้กำเนิดบุตรชายสองคน คนโตนามเว่ยเป่า ชื่อรองป๋อกง คนรองนามเว่ยเซ่า ชื่อรองจ้งหลิน เมื่อสิบปีก่อนเคราะห์ร้ายสูญเสียสามีกับบุตรชายคนโตไปในคราวเดียว จูซื่อระทมทุกข์อยู่เนิ่นนาน ไม่อาจฟื้นตัวจากความสะเทือนใจในครั้งนั้นได้ ต่อมาไม่รู้อย่างไรจึงได้เริ่มใกล้ชิดกับคุณไสย อีกทั้งยังศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดมาท่าทีที่สวีฮูหยินมีต่อจูซื่อนั้นแม้จะไม่เย็นชาทว่าก็ไม่อบอุ่น จูซื่อเองก็ค่อนข้างหวาดกลัวแม่สามีซึ่งเป็นถึงธิดาของท่านหญิงแห่งแคว้นจงซานผู้นี้เช่นกัน แม่สามีกับลูกสะใภ้จึงไม่สนิทสนมกันแต่อย่างใด หลายปีมานี้เมื่อเว่ยเซ่าเป็นผู้คุมกองทัพแล้ว สวีฮูหยินก็วางมือไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับเรื่องงานอีก เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีล้วนพำนักอยู่ที่เมืองอู๋จง เหลือเพียงจูซื่อรั้งอยู่ที่คฤหาสน์อันใหญ่โตในเมืองอวี๋หยางนี้
ข้างกายจูซื่อยังอุปการะหญิงสาววัยสิบแปดที่ยังไม่ออกเรือนอยู่นางหนึ่ง นามว่าเจิ้งฉู่อวี้ เป็นหลานสาวของจูซื่อเอง บิดาของเจิ้งฉู่อวี้เคยเป็นถึงมุขมนตรีสำนักเกษตร ทว่าเคราะห์ร้ายด่วนจากไป เจิ้งฉู่อวี้ซึ่งกลายเป็นกำพร้าจึงมาพึ่งพิงพี่สาวของมารดา หลายปีก่อนผลเสี่ยงทายตามพิธีกรรมคุณไสยบอกว่าเจิ้งฉู่อวี้เป็นดาวอุปถัมภ์ของจูซื่อ หากมีนางอยู่ จูซื่อจะสามารถเลี่ยงเคราะห์ประสบโชคได้ ประจวบกับที่ตอนนั้นจูซื่อล้มป่วย ได้เจิ้งฉู่อวี้คอยดูแลทั้งวันทั้งคืนจนจูซื่อกลับมาแข็งแรงดังเดิม เมื่อจูซื่อหายดีแล้วจึงยิ่งเชื่อหมดใจ รักใคร่โปรดปรานนางยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากเจิ้งฉู่อวี้มีชาติกำเนิดไม่สูงพอ จูซื่อจึงสั่งให้บุตรชายรับนางเป็นอนุ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเว่ยเซ่าถึงชักช้าไม่รับตัวไปเสียที ตลอดสองปีมานี้จูซื่อเลี้ยงดูเจิ้งฉู่อวี้อยู่ข้างกาย การปฏิบัติและสิทธิ์ที่นางได้รับล้วนไม่ต่างจากการเป็นอนุของเว่ยเซ่าแล้ว ผู้คนในจวนจึงต่างเรียกขานนางว่า ‘เจิ้งซู’ ซึ่งแปลว่าหญิงงามสกุลเจิ้ง
“นายหญิง ท่านว่าเพราะเหตุใดหลังเว่ยโหวเข้าพิธีครอบเกี้ยว แล้วถึงยังรีรอไม่แต่งภรรยา หากตัดเจิ้งซูผู้นี้ออกไป ที่แท้เมื่อก่อนก็ยังมีอีกผู้หนึ่ง…”
ชุนเหนียงขยับมาถึงข้างหูของเสี่ยวเฉียวกำลังจะพูดต่อ หญิงรับใช้อาวุโสนามปิ่งหนี่ว์ผู้นั้นก็รีบร้อนเข้ามาแจ้งว่าจูซื่อเดินทางจากเขาอวี๋ซานกลับมาถึงจวนแล้ว นายท่านก็เช่นกัน จึงให้มาเชิญนายหญิงร่วมทางไปคารวะผู้ใหญ่
ชุนเหนียงชะงักกึก
เสี่ยวเฉียวแต่งกายเรียบร้อยแต่แรกแล้วจึงไม่ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก เพียงส่องคันฉ่องเล็กน้อย หยิบงานปักฝีมือเป็นเลิศที่ชุนเหนียงเตรียมไว้ให้นางล่วงหน้าออกมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป
เว่ยเซ่ายืนอยู่ตรงทางแยกของทางเดินหินซึ่งทอดสู่เรือนบูรพา น่าจะกำลังคอยนางอยู่
นอกจากชุดนักรบแล้ว ยามปกติดูเหมือนเขาจะสวมแต่ชุดลำลองสีดำ ตอนอยู่ที่เมืองซิ่นตู หลายครั้งที่เสี่ยวเฉียวพบเห็นเขาโดยบังเอิญ มักเห็นเขาสวมชุดยาวสีดำเสมอ โชคดีที่ใบหน้ายังชวนมองจึงไม่ทำให้ดูเกินวัยไป ยามนี้เขาก็ยังสวมชุดยาวสีดำเช่นเคย ทว่าเปรียบกับชุดบนร่างของเสี่ยวเฉียวแล้ว ชุดของเว่ยเซ่ากลับมีลักษณะที่หลวมโพรกอย่างยิ่ง
ช่วงเอวของเว่ยเซ่ารัดด้วยสายคาดแถบกว้างประดับหยกขาว ขับเน้นเอวสอบบ่าผายและเงาหลังที่ยืดตรงดุจพู่กันของเขา พอดีกับที่มีสายลมจู่โจมผ่านข้างกาย หอบเอาแขนเสื้อกับชายอาภรณ์ข้างหนึ่งให้โบกพลิ้ว ลดทอนความแข็งกร้าวดุดันในยามสวมชุดนักรบ ดูแล้วให้ความรู้สึกสง่างามไม่เคร่งครัดอยู่ในที
อันที่จริงตั้งแต่ได้ยินปิ่งหนี่ว์มาแจ้งจนกระทั่งเสี่ยวเฉียวเดินมาถึงที่นี่ อย่างมากก็ไม่เกินครึ่งเค่อ ระยะทางจากลานหน้าเรือนไม่นับว่าสั้น กว่าจะเดินมาถึงต้องเสียเวลาพอสมควร ทว่าเขากลับมีท่าทางเหมือนรอนานจนหมดความอดทนแล้ว เขาเอาสองมือไพล่หลังหันขวับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ พอเห็นนางมาถึงก็หมุนกายออกเดินสู่ทิศทางของเรือนบูรพาในทันที
ฝีเท้าของเขาก้าวเร็วตามช่วงขาที่ยาว ไม่ช้าก็ดึงระยะห่างจนทิ้งเสี่ยวเฉียวไปหนึ่งช่วง แรกเริ่มเสี่ยวเฉียวยังเร่งฝีเท้าเพื่อตามอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าไล่ตามไม่ทันแล้วจริงๆ นางจึงร้องเรียกใส่เงาหลังของเขา “ท่านพี่ ท่านเดินช้าหน่อยไม่ได้หรือ”
ดูเหมือนเว่ยเซ่าจะตะลึงไปชั่วอึดใจ เขาชะงักกึกหันหน้ามาเหลือบมองนาง
เสี่ยวเฉียวยกชุดกระโปรงขึ้นพลางเร่งสาวเท้าหลายก้าวจนตามมาถึงข้างกายเขาทัน นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “เพื่อคารวะผู้ใหญ่ ข้าจึงแต่งกายเป็นทางการ ชุดกระโปรงค่อนข้างสอบจึงเดินได้ไม่เร็วนัก ท่านพี่รูปร่างสูงและขายาวกว่าข้า หากยังเดินเร็วเช่นนี้ ข้าก็มีแต่ต้องวิ่งตามแล้ว”
ยามนี้นางยืนอยู่ข้างกายเขา ศีรษะสูงถึงแค่หัวไหล่ ผู้หนึ่งสูงใหญ่ผู้หนึ่งเล็กกะทัดรัดเช่นนี้ หากเป็นยุคที่นางจากมายังจะได้รับคำชมว่าเป็น ‘ความต่างส่วนสูงที่ชวนเอ็นดูเป็นที่สุด’ ทว่าอยู่ที่นี่หากใช้กับนางจริงคงไม่สวยงามเช่นนั้นแล้ว
เว่ยเซ่าเหลือบมองนางอีกปราดหนึ่ง
เสี่ยวเฉียวพูดจบก็เม้มปาก มุมปากทั้งสองข้างโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ สองตาวาวใสดุจกำลังโปรยยิ้มมองเขาอยู่
อันที่จริงเว่ยเซ่าก็ไม่ได้อยากจะไยดีนางนัก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงปฏิเสธนางไม่ออก สุดท้ายเขาก็ฝืนขานรับดังอืม สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชายิ่งกว่าเดิม ตวัดคางขึ้นเล็กน้อยเป็นความหมายให้นางตามเขามา จากนั้นก็หมุนกายเดินมุ่งไปเบื้องหน้าอีกครั้ง
คราวนี้ฝีเท้าของเขาผ่อนช้าลงจริงๆ เสี่ยวเฉียวจึงร่วมทางกับเขาเข้าสู่เรือนบูรพาได้อย่างสบาย