ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6

ข้ารับใช้ในเรือนบูรพามีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่สองข้างของระเบียงทางเดิน พวกนางเห็นเว่ยเซ่าพาเสี่ยวเฉียวมาแต่ไกลจึงพากันออกมาคุกเข่าต้อนรับ เสี่ยวเฉียวอยู่ด้านหลังติดตามเว่ยเซ่าเข้าสู่ห้องใหญ่ที่จูซื่อพำนักอยู่ ท่ามกลางสายตาที่บ้างตะลึงในความงาม บ้างสนใจใคร่รู้ บ้างดูถูกเหยียดหยาม

ในห้องตกแต่งวิจิตรหรูหรา กลิ่นหอมเข้มข้นของชะมดเชียง ลอยกระจายอยู่ในอากาศ หลังจากจูซื่อมารดาของเว่ยเซ่ากลับมาน่าจะได้ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว นางอยู่เบื้องหน้านั่งสง่าบนตั่งสี่เหลี่ยมซึ่งล้อมด้านหนึ่งด้วยฉากเตี้ยที่ทำจากไม้ประดู่ นางอายุราวสี่สิบต้นๆ ร่างท้วมเล็กน้อย สวมอาภรณ์หรูหรา ประดับหยกไข่มุกเต็มศีรษะ วัยสาวน่าจะเป็นโฉมสะคราญผู้หนึ่ง กระทั่งยามนี้เครื่องหน้าก็ยังคงงดงามได้รูปอยู่ ทว่าอาจเพราะปั้นหน้าบึ้งตึงมานานปีจนคุ้นชิน มุมปากจึงลู่ลงนิดๆ สองข้างมีริ้วลึกพาดยาวขึ้นไปถึงปีกจมูก ซึ่งทำให้ไม่เพียงดูสูงวัย ยังทำให้ดวงหน้าฉายแววเย่อหยิ่งด้วย

ตำแหน่งถัดลงมาทางขวามือของจูซื่อมีหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงอ่อนนั่งคุกเข่าอยู่ผู้หนึ่ง ท่าทางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี สีสันของอาภรณ์ช่วยขับสีผิวขาวสะอาดตาของนางและหนุนให้รูปโฉมยิ่งดูงามพริ้มเพรา เมื่อหญิงสาวเห็นเว่ยเซ่าเข้ามา ดวงหน้าก็ระบายสีแดงระเรื่อ นางรีบลุกขึ้นจากตั่งคารวะเขาพร้อมเอ่ยเรียกว่าพี่ชาย กิริยาสุภาพชดช้อยให้อารมณ์ละมุนละไม

เว่ยเซ่าขานรับเรียบๆ เมื่อครู่หญิงสาวตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวเสียยกใหญ่ ทว่าเห็นชายหนุ่มไม่ได้แลตนสักเท่าใดนัก แววตาจึงเผยความรู้สึกผิดหวังเลือนราง ครั้นมองไปทางเสี่ยวเฉียว สายตาก็ชะงักไปเล็กน้อย

เสี่ยวเฉียวรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะเป็นเจิ้งซูญาติผู้น้องของเว่ยเซ่านั่นเอง นางเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนเดินตามเว่ยเซ่าไปถึงหน้าตั่งของจูซื่อ มือแนบลำตัวยืนอยู่ด้านข้าง

ตั้งแต่เสี่ยวเฉียวเดินเข้ามา จูซื่อก็คล้ายมองไม่เห็นนาง คลี่ยิ้มเบิกบานเป็นกันเองให้แต่บุตรชาย กวักมือเรียกเขามานั่งเคียงข้างตน พินิจมองเขาไม่วางตา ลูบแขนเขาพลางจุปากอุทานด้วยความปวดใจที่ครึ่งปีมานี้บุตรชายคล้ำและผ่ายผอมลงอีกแล้ว นางไถ่ถามเรื่องการอยู่การกินของเขา สุดท้ายจึงค่อยถามถึงสถานการณ์ทางการศึก เว่ยเซ่าตอบเพียงคร่าวๆ ไม่กี่ประโยค นางจึงทอดถอนใจกล่าว

“แม่เป็นสตรี แม้ไม่เข้าใจเรื่องรบทัพจับศึกก็จริง ถึงเจ้าบอกว่าราบรื่นดี แต่แม่รู้ว่าอันตรายยิ่งนัก จ้งหลิน เจ้าต้องถนอมตัวให้ดี อย่าให้เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นกับเจ้าเป็นอันขาด”

เว่ยเซ่าปลอบโยนมารดาสองสามประโยคด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล

จูซื่อผงกศีรษะกล่าว “บ้านเมืองสมัยนี้แม้อันตราย แต่ลูกแม่เป็นคนดี สวรรค์ต้องเกื้อหนุน มีเทพเจ้าปกปักรักษาแน่นอน เดิมทีก็ไม่มีอันใดให้น่ากังวลนักหรอก แต่ก็มีสิ่งที่แม่กลัวที่สุด…คืออันตรายจากใจคนต่างหาก”

นางกวาดสายตามาทางเสี่ยวเฉียวเป็นครั้งแรกนับแต่เข้ามาในห้อง สายตานั้นอัดแน่นไปด้วยความชิงชังรังเกียจ

“จ้งหลิน ตอนนั้นหากพ่อเจ้าไม่เชื่อใจผู้อื่นโดยง่าย คงไม่มีทางลงเอยอย่างอนาถเช่นนั้นแน่ จนทุกวันนี้เพียงแม่นึกถึงการตายของพ่อกับพี่ชายเจ้าก็ยังจุกแน่นที่กลางอกอยู่เสมอ กลางคืนไม่อาจหลับใหล แค้นใจจนแทบอยากกินเนื้อศัตรูทั้งเป็น เจ้าต้องจำบทเรียนเก่านี้ไว้ให้มั่น อย่าได้เชื่อใจผู้อื่นง่ายๆ อีกเป็นอันขาด!”

คำว่า ‘กินเนื้อศัตรูทั้งเป็น’ นั้น อีกฝ่ายแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเค้นออกมาทีละคำ สายตาจิกตรึงอยู่บนดวงหน้าของเสี่ยวเฉียว นี่มิใช่แค่ชิงชังรังเกียจธรรมดา หากแต่ยังแฝงแววอำมหิตด้วย ราวกับต้องการจะกัดกระชากเนื้อบนร่างนางออกมาทีละคำจริงๆ ก็ไม่ปาน

เดิมทีเสี่ยวเฉียวเตรียมใจที่จะถูกจูซื่อชิงชังรังเกียจอยู่แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าความชิงชังรังเกียจของอีกฝ่ายจะโจ่งแจ้งและเหี้ยมเกรียมถึงเพียงนี้ สาวน้อยเพิ่งประสบกับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต การเตรียมใจก่อนหน้านี้ยังทำได้ไม่เข้าขั้น ยามนี้จึงสั่นสะท้านจิตใจของนางอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้านางเริ่มซีดขาว ปลายนิ้วเย็นเฉียบโดยไม่รู้ตัว

เว่ยเซ่าเหลือบมองเสี่ยวเฉียวก่อนเอ่ยกับจูซื่อ “ในใจลูกรู้ขอบเขตนี้ดี ท่านแม่อย่าได้วิตกนักเลย” เขากล่าวต่อ “วันนี้ท่านแม่รุดกลับมาจากบนเขา ระหว่างทางคงเหน็ดเหนื่อยแล้ว ลูกพาสะใภ้มาคารวะท่าน เสร็จแล้วท่านแม่จะได้พักผ่อนเร็วหน่อย” จบคำเขาก็ลุกขึ้นมายืนหน้าเบาะรองเข่าซึ่งวางเตรียมไว้หน้าตั่งของจูซื่อ

เสี่ยวเฉียวตั้งสติรีบเดินมาหน้าเบาะอีกใบ คุกเข่าลงพร้อมชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย โขกศีรษะคำนับจูซื่อที่อยู่บนตั่ง

จูซื่อหน้าขรึม หลุบตาลงหันหน้าไปทางบุตรชาย ไม่ชายตาแลเสี่ยวเฉียวอีกแม้เพียงนิด

เมื่อโขกศีรษะคำนับตามเว่ยเซ่าเสร็จ ตามธรรมเนียมแล้วเสี่ยวเฉียวยังไม่อาจลุกขึ้นได้ สองมือของนางประคองงานปักที่เตรียมมาชิ้นนั้นชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อรอให้คนมารับไป

นางก้มหน้าชูสองมืออยู่เนิ่นนานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จวบจนยามที่สองแขนเริ่มล้าจนชักจะชูต่อไปไม่ไหว ทว่านางก็ยังกัดฟันยืนหยัดอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง หยิบงานปักชิ้นนั้นไปวางตรงหน้าตั่งของจูซื่อ

“ท่านแม่ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราสองคนก็ขอตัวก่อน” เสียงของเว่ยเซ่าดังขึ้น

เสี่ยวเฉียวจึงลดแขนลง ค่อยๆ ยืนขึ้นจากเบาะ

“ให้นางไปแล้วกัน ส่วนเจ้าก็อยู่ต่อ แม่ยังมีเรื่องจะพูดด้วย” จูซื่อเอ่ยเสียงเย็น

เสี่ยวเฉียวค้อมกายคำนับคนบนตั่ง แล้วหมุนกายเดินออกไปเงียบๆ

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็ออกไปก่อน ป้าจะคุยกับพี่ชายเจ้าสองสามประโยค”

จูซื่อมองไปทางเจิ้งฉู่อวี้ซึ่งเมื่อครู่ยืนอยู่ด้านข้างมาตลอด นางเอ่ยพร้อมใบหน้าซึ่งเผยรอยยิ้มอันเมตตาอ่อนโยนดังเดิม

เจิ้งฉู่อวี้ชำเลืองมองเว่ยเซ่าก่อนขานรับเสียงนุ่มนวล ค้อมกายคำนับคนทั้งสองแล้วถอยออกไปอีกคน

“จ้งหลิน! พรุ่งนี้ลูกคงไม่พานางไปเซ่นไหว้ที่ศาลบรรพชนจริงๆ หรอกนะ”

จูซื่อเอ่ยถามทันทีเมื่อในห้องเหลือเพียงพวกตนสองแม่ลูก

ใบหน้าของเว่ยเซ่าไม่แสดงความรู้สึก ปากตอบเพียงสั้นๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร!”

จูซื่อดูโล่งใจ แค่นเสียงดังฮึก่อนกล่าว “เช่นนี้ก็ดี แม่ยังนึกว่าเจ้าถูกรูปโฉมของหญิงสกุลเฉียวล่อลวงจนลืมความแค้นในอดีตของพ่อกับพี่ชายไปแล้วเสียอีก เมื่อครู่แม่เพียงอยากให้นางขายหน้าอีกสักหน่อย เจ้ากลับทำดียิ่ง อุตส่าห์รับของนั่นแทนแม่ ผู้ใดต้องการกันเล่า! แค่เห็นก็ขัดลูกนัยน์ตาแล้ว!”

เว่ยเซ่ามุ่นคิ้วนิดๆ “เท่านั้นก็พอแล้ว ประเดี๋ยวลูกยังมีงานต่อ ย่อมไม่อาจเสียเวลากับเรื่องของนางไปเรื่อยๆ หากท่านแม่ไม่ชอบใจจะโยนทิ้งหรือตัดทิ้งก็สุดแล้วแต่ท่านแม่เถิด”

เห็นบุตรชายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจแล้ว จูซื่อจึงเลิกรา เอ่ยเปลี่ยนเรื่องอื่น “เจ้าไปคราวนี้ตั้งครึ่งปี อวี้เอ๋อร์คิดถึงเจ้ายิ่งนัก คืนนี้…”

“คืนนี้ลูกจะค้างคืนที่ห้องของหญิงสกุลเฉียว” เว่ยเซ่าเอ่ยตัดบทจูซื่อ “ท่านแม่ ลูกขอพูดกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย ลูกไม่ได้คิดอะไรกับน้องสาวแม้แต่น้อย ท่านแม่รีบหาตระกูลที่เหมาะสมแต่งน้องสาวออกไปโดยเร็วจะดีกว่า วัยสาวจะได้ไม่ล่วงเลยไปอย่างไร้ค่า วันหน้ามาสำนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว!”

จูซื่อมองบุตรชายอย่างขุ่นเคือง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยด้วยความโมโห “ประเสริฐแท้! แม่สู้ทนลำบากเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ เจ้ากลับทดแทนแม่เยี่ยงนี้น่ะหรือ ใช่ว่าแม่บีบบังคับเจ้าให้ทำเรื่องอื่นเสียเมื่อไร เพียงให้เจ้ารับอวี้เอ๋อร์เข้าห้องเท่านั้น สายเลือดของพ่อเจ้า บัดนี้มีเจ้าสืบเชื้อสายอยู่เพียงคนเดียว ปีนี้เจ้าก็อายุยี่สิบสอง ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีทายาท ในที่สุดเจ้าก็แต่งภรรยาได้เสียที แต่กลับแต่งหญิงสกุลเฉียวมาเสียได้ แม่ไม่อาจขัดท่านย่าของเจ้า นางเป็นคนออกหน้าจัดการให้ แม่ก็ได้แต่ยอมรับ ทว่าบุตรสาวจากครอบครัวเยี่ยงนั้นจะมาแตกกิ่งก้านสาขาให้สกุลเว่ยของพวกเราได้อย่างไร ช้าเร็วก็ต้องหย่าทิ้ง ที่แท้อวี้เอ๋อร์ไม่ถูกใจเจ้าที่ใดกันแน่ เจ้าถึงได้ยั่วโมโหแม่เช่นนี้!”

ดูเหมือนจูซื่อจะพลันนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาเบิกโตในทันที

“หรือว่า…จวบจนบัดนี้เจ้าก็ยังอาวรณ์ไม่ลืมหญิงสกุลซูในอดีตนั่น ชักช้าไม่แต่งภรรยายังไม่พอ กระทั่งให้เจ้ารับอนุสักคนก็ยังบ่ายเบี่ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”

เงาทะมึนสายหนึ่งวาบผ่านก้นบึ้งของดวงตาเว่ยเซ่า ทว่าสีหน้าของเขากลับทวีความเฉยชายิ่งขึ้น เพียงเอ่ยตอบเรียบๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว! ลูกอยู่ข้างนอกตลอดปี วันทั้งวันก็ยุ่งอยู่กับงานในกองทัพ ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหล่านี้ได้ ส่วนเรื่องของฉู่อวี้ ต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงอีก ลูกยังมีงานอื่นต้องขอตัวก่อน ท่านแม่พักผ่อนเร็วหน่อยจะเหมาะกว่า”

เว่ยเซ่าค้อมกายเล็กน้อยให้จูซื่อแล้วหมุนตัวจากไป

จูซื่อถลึงตามองเงาหลังที่จากไปของบุตรชาย ใบหน้าฉายโทสะ สายตาพลันเหลือบไปเห็นงานปักที่เสี่ยวเฉียวนำมาคารวะซึ่งยังวางอยู่บนตั่ง นางฉวยขึ้นมาในคราวเดียว ขบกรามแน่นพลางคว้ากรรไกรมาตัดฉับจนเป็นสองท่อน สุดท้ายก็ขว้างทิ้งลงพื้นไปพร้อมกับกรรไกร

Comments

comments

Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com