ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6
ชุนเหนียงรอคอยเสี่ยวเฉียวอยู่นอกลานของเรือนบูรพา พอเห็นนายของตนออกมาแล้วก็รีบตรงไปรับทันที เดินเป็นเพื่อนนางเงียบๆ ระยะหนึ่ง จวบจนกลับถึงห้องนอนในเรือนประจิมจึงสั่งให้ข้ารับใช้ถอยออกไป จากนั้นค่อยสอบถามถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
เสี่ยวเฉียวตั้งสติได้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใดกับชุนเหนียงจึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนพบกับจูซื่อเมื่อครู่อย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง
ชุนเหนียงนิ่งงันไปพักใหญ่กว่าจะเอ่ยตอบ “นายหญิง ฮูหยินชิงชังนายหญิงถึงเพียงนี้ คิดจะได้รับความโปรดปรานจากนาง เกรงว่าคงสิ้นหนทางแล้ว ยามนี้ก็ได้แต่รอดูท่าทีของสวีฮูหยิน หากสวีฮูหยินก็เป็นเช่นเดียวกัน นายหญิงก็คง…”
นางลังเลเล็กน้อยก่อนขยับมาถึงข้างหูของเสี่ยวเฉียว
“นายหญิงเคยคิดหรือไม่ มิสู้โอนอ่อนปรนนิบัติเว่ยโหวเพื่อรับความคุ้มครองจากเขา ก่อนหน้านี้ที่เมืองซิ่นตู บ่าวรู้สึกว่าแม้เว่ยโหวจะเย็นชาต่อนายหญิงเพราะความแค้นเก่าของสองสกุล แต่ดูแล้วก็มิใช่ผู้ที่จะทารุณผู้อื่นเพื่อความสำราญ และมิใช่พวกชั่วช้าสามานย์แต่อย่างใด วันนี้บ่าวฟังปิ่งหนี่ว์ผู้นั้นเล่าว่าตลอดปีหาช่วงเวลาที่เว่ยโหวจะรั้งอยู่ที่นี่ได้ยากนัก ฮูหยินชิงชังท่านปานนี้ หากสวีฮูหยินก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ถึงตอนนั้นพอเว่ยโหวจากไป ทิ้งนายหญิงอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ท่านจะผ่านวันเวลาไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เสี่ยวเฉียวมองดูชุนเหนียง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายเสนอความคิดนี้ให้ตน
ชุนเหนียงลูบเรือนผมยาวของนางอย่างรักถนอม ทอดถอนใจกล่าวว่า “ตอนยังอยู่ที่ซิ่นตู บ่าวก็ตั้งใจอยากโน้มน้าวนายหญิงแล้ว บ่าวรู้ว่านี่ไม่เป็นธรรมต่อนายหญิงเลย ทว่าชุนเหนียงผู้นี้เป็นเพียงคนโง่งม เปรียบกันแล้วนายหญิงยังปราดเปรื่องกว่าชุนเหนียงเป็นร้อยเท่า หากบ่าวพูดอันใดไม่ถูกต้อง นายหญิงก็ลงโทษบ่าวได้เลย”
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ “ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอพบสวีฮูหยินก่อนค่อยว่ากันเถิด”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
อันที่จริงวันนี้เสี่ยวเฉียวเหนื่อยล้ายิ่งนัก ทว่าภาพตอนได้พบจูซื่อเมื่อช่วงเย็นทำให้คืนนี้นางไม่อาจหลับตาลงได้เสียที
นางคิดถึงต้าเฉียวเหลือเกิน คิดถึงยิ่งกว่าช่วงเวลาใดที่ผ่านมา
สาวน้อยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงตามลำพัง นึกถึงเรื่องราวในชาติก่อน ต้าเฉียวคงถูกเว่ยเซ่าสั่งคนส่งตัวกลับอวี๋หยางในวันรุ่งขึ้นหลังพิธีแต่งงานเช่นเดียวกับตน เพียงแต่…ระหว่างทางไม่พบเจอเรื่องราวอันใด สุดท้ายต้าเฉียวจึงเดินทางมาที่นี่อย่างโดดเดี่ยว ยามที่นางเผชิญหน้ากับจูซื่อเพียงลำพัง พบเจอเหตุการณ์เช่นที่ตนประสบมา ที่แท้ตอนนั้นนางผ่านมันมาได้อย่างไร วันคืนนับไม่ถ้วนต่อจากนี้ต้าเฉียวตัวคนเดียวสู้ทนผ่านพ้นไปได้อย่างไรกัน จวบจนวาระสุดท้ายเมื่อสามีในนามขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็ไม่ได้แต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮา ทั้งต้องมองดูเขาโปรดปรานสตรีอีกนางหนึ่ง นางต้องอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สิ้นหวังและทุกข์ระทมเพียงใดถึงได้ยุติชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย
แม้รู้ว่าต้าเฉียวในชาตินี้จะไม่ประสบชะตากรรมอันน่าสังเวชใจเช่นนั้นอีก ทว่าเสี่ยวเฉียวยังคงอึดอัดใจยิ่ง เคราะห์ดีที่ในไม่กี่เดือนสุดท้ายของปีที่แล้วนางได้ตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องนั้น
ตอนนี้นางคิดถึงต้าเฉียวยิ่งนัก อยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ใด ต้าเฉียวกับปี่จื้อคนรักของพี่สาว…ใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง
นอกประตูพลันแว่วเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งซึ่งฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง
คล้ายกับ…เป็นเว่ยเซ่า?
ตอนนี้ดึกมากแล้ว เขาไม่ได้ส่งคนมาหยิบข้าวของส่วนตัวไป บางทีเขาอาจไม่ต้องใช้…
หรือว่า…เขาจะมาหยิบด้วยตนเอง
เสี่ยวเฉียวนึกฉงนอยู่บ้าง ขณะเงี่ยหูเพื่อฟังความเคลื่อนไหวเบื้องนอก ประตูคล้ายถูกคนผลัก แต่เพราะนางลงกลอนไว้จากด้านใน ประตูจึงไม่อาจผลักเปิดได้
“นายหญิง! ท่านโหวมาเจ้าค่ะ!”
เสียงชุนเหนียงดังเข้ามา
เสี่ยวเฉียวใจเต้นตึกตัก
เป็นเขาดังคาด!
“มาแล้ว!”
นางขานตอบก่อนลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง ดึงเสื้อตัวหนึ่งมาคลุมร่าง แล้วรีบทบสาบเสื้อให้มิดชิดก่อนจะรัดสายคาดเอวก้าวลงพื้นไปเปิดประตู เว่ยเซ่ายืนอยู่นอกประตูจริงๆ
“ท่านโหวจะพักที่นี่เจ้าค่ะ”
ชุนเหนียงรีบเข้ามาเอ่ยกับเสี่ยวเฉียวเสียงเบา แววยินดีปรีดาเจืออยู่บนใบหน้า
เรื่องนี้ผิดคาดโดยแท้ ขณะที่เสี่ยวเฉียวยังตกตะลึงอยู่นั้น เว่ยเซ่าซึ่งมีสีหน้าอ่อนเพลียก็ยกเท้าก้าวเข้ามา เขามุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำพลางกล่าว “หยิบเสื้อผ้าของข้าเข้ามา”
เขาเดินไปได้สองก้าว พลันเหลือบเห็นเสื้อผ้ากับเครื่องใช้ประจำวันที่ตนทิ้งไว้ถูกเก็บออกมาวางซ้อนกันบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เขาชะงักฝีเท้า หันหน้ามองไปทางเสี่ยวเฉียวช้าๆ
เสี่ยวเฉียวพลันเหงื่อตก รีบเดินไปบังด้านหน้า แล้วเอ่ยชี้แจงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ “หญิงรับใช้อาวุโสบอกว่าที่นี่ไม่มีคนพักอาศัยนานแล้ว ข้าเกรงว่าจะเกิดราเกิดมอดขึ้น ช่วงกลางวันจึงสั่งให้ไล่มอดไล่แมลงไปทุกซอกทุกมุม ตอนนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าเครื่องใช้ของท่านไปวางพักไว้ด้านข้างชั่วคราว เมื่อครู่ก็ลืมวางกลับเข้าที่…”
เว่ยเซ่าเพ่งมองนางไม่วางตา ลมหายใจของนางสั้นกระชั้นอย่างห้ามไม่อยู่ สุ้มเสียงก็แผ่วปลายลงทุกที พอชี้แจงจบก็เห็นเขากระตุกมุมปาก เผยสีหน้าที่นางค่อนข้างคุ้นเคยนั้นออกมาอีก
“วางกลับเข้าที่สิ ต่อไปข้าจะพักอยู่ที่นี่!”
พูดจบเขาก็หันหน้าเดินมุ่งสู่ห้องอาบน้ำ
บนร่างเว่ยเซ่าคลุมเสื้อสีขาวตัวเดียวไม่มีซับใน สาบเสื้อแหวกเปิดนิดๆ ตัวเสื้อด้านขวาหย่อนลงมาถึงข้างเอวโดยไม่รัดสายคาด เดินออกจากห้องอาบน้ำด้วยอิริยาบถเป็นธรรมชาติพลิ้วไหว หญิงรับใช้อาวุโสหลายคนของเรือนประจิมที่เมื่อก่อนดูแลเรื่องการอาบน้ำของเขาก็จัดเก็บสถานที่ด้วยมือไม้อันคล่องแคล่วก่อนค้อมกายถอยออกไป ชุนเหนียงมองเสี่ยวเฉียวแวบหนึ่งจึงค่อยติดตามหญิงรับใช้อาวุโสออกจากห้อง แล้วปิดประตูให้อย่างเบามือ
ภายในห้องเหลือเพียงหนุ่มสาวทั้งสอง
เมื่อครู่ข้าวของของเขาล้วนถูกจัดวางคืนตำแหน่งเดิมแล้ว ในจำนวนนี้มีกล่องไม้แดงเรียบแบนขนาดยาวหนึ่งเชียะใบหนึ่งซึ่งลงสลักลับเอาไว้ เดิมทีกล่องใบนี้วางอยู่ด้านบนสุดของชั้นวางของ ยามนี้วางคืนตามเดิมแล้วเช่นกัน
เว่ยเซ่าขึ้นไปบนเตียงแล้ว ทว่าพลันฉุกคิดอะไรได้จึงพลิกกายลงจากเตียง เขาเดินตรงไปเบื้องหน้าชั้นวางของที่อยู่ติดผนัง หยิบกล่องใบนั้นลงมาแล้วหันหลังให้เสี่ยวเฉียว ท่าทางคล้ายเลื่อนดูสลักลับ ก่อนจะหันหน้ามาถาม “เจ้าเคยเปิดกล่องใบนี้หรือไม่”
เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ไม่เคย ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นในห้องนี้ที่เป็นของท่าน ข้าไม่เคยแตะต้องแม้แต่น้อย ตอนแรกพวกบ่าวเก็บของก็เพียงทำตามที่ข้าสั่ง เอาสิ่งของมาวางพักรวมกันชั่วคราวเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าเปิดตามอำเภอใจ”
เว่ยเซ่าปิดฝากล่องวางคืนตำแหน่งเดิม แล้วค่อยหมุนตัวมากล่าวเสียงเยียบเย็น “ต่อไปสิ่งของของข้าอย่าได้แตะต้องส่งเดช”
เสี่ยวเฉียวผงกศีรษะรับ “ไม่ต้องให้ท่านพูดข้าก็รู้แล้ว วันนี้เป็นความเลินเล่อชั่ววูบของข้าจริงๆ ต่อไปจะไม่แตะต้องอีก”
เว่ยเซ่าไม่แสดงท่าทีอันใด เพียงเดินกลับมาที่ข้างเตียงแล้วเอนร่างลง
เสี่ยวเฉียวยังคงยืนอยู่หน้าเตียง เห็นเขาขึ้นไปบนเตียงแล้วหลับตาเหมือนเตรียมจะเข้านอนแล้ว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
พอเว่ยเซ่ากลับมาจวนสกุลเว่ย ไฉนจึงทำตัวผิดแปลกมานอนร่วมห้องกับนางเสียได้เล่า ชวนให้ประหลาดใจยิ่งนัก นางย่อมไม่คิดว่าเขาจะเกิดใจดีมีเมตตาขึ้นมา อุตส่าห์คำนึงถึงหน้าตาของนาง เรื่องมีใจอันใดให้นางหรือไม่นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ แม้สาเหตุจะชวนให้นางสงสัยอยู่บ้าง แต่นางคาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการพบจูซื่อมารดาของเขาเมื่อช่วงเย็นนี้แน่นอน
สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ครุ่นคิดในวันหน้าก็ได้ ทว่าปัญหาคือตอนนี้…
ตอนนี้…นางควรนอนที่ตรงไหน
นางคาดว่าบุรุษผู้นี้คงไม่ยินดีให้นางร่วมเตียงกับเขาหรอก
แม้กระทั่งตัวนางเอง การที่สองคนจะนอนร่วมเตียงกันนั้น ต่อให้ไม่ได้ทำอันใดทั้งสิ้น จะมากหรือน้อยก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี…
“ยังมัวยืนทำอะไรอยู่” เว่ยเซ่าพลันเอ่ยปาก
เสี่ยวเฉียวตะลึงงัน ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
สองตาของเขายังคงปิดอยู่
ความหมายในวาจานี้แจ่มแจ้งอย่างยิ่งแล้ว
เสี่ยวเฉียวปีนขึ้นเตียงอย่างเบามือเบาเท้า นางค่อยๆ เอนกายลง ระวังอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ให้ไปสัมผัสถูกตัวเขา
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ดวงตาหลับสนิทอยู่ตลอดราวกับเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
ร่างกายของเสี่ยวเฉียวซึ่งเดิมทีเกร็งเล็กน้อยก็เริ่มผ่อนคลายลงช้าๆ ตอนนี้เองที่เว่ยเซ่าพลันลืมตาขึ้นแล้วพลิกกายลงจากเตียง คว้ากระบี่ยาวของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ สาวเท้ามุ่งไปยังทิศทางของประตู
เสี่ยวเฉียวตระหนกวูบ ไม่รู้เขาคิดจะทำอะไร แขนข้างหนึ่งของนางยันหัวไหล่ขึ้นในอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอน ยังไม่ทันเรียกสติคืนมาก็เห็นเขากระชากประตูเปิด แล้วชักกระบี่ออกจากฝักพร้อมเสียงดังเช้ง เล็งปลายกระบี่ไปที่หญิงรับใช้อาวุโสซึ่งโก้งโค้งพยายามแอบฟังอยู่ข้างร่องประตูอย่างสุดกำลัง
หญิงรับใช้อาวุโสผู้นี้แซ่หวัง เหล่าสาวใช้เรียกนางว่าหวังเอ่า เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องน้ำอาบของเรือนประจิม
ขณะที่หวังเอ่าพยายามแนบใบหูข้างหนึ่งทาบไปบนประตู กำลังทุ่มเทในการฟังเสียงอยู่นั้น พลันรู้สึกได้ว่าสถานการณ์เหมือนไม่ถูกต้อง นางเพิ่งเตรียมจะเผ่นหนี ไม่คาดว่าประตูกลับถูกเปิดออกกะทันหัน แสงวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาพร้อมเสียงดังเช้ง ปลายกระบี่วาววับดุจหิมะชี้มาที่ปลายจมูกของนางแล้ว พอช้อนตาขึ้นก็เห็นเงาคนผู้หนึ่งปกคลุมลงมา เว่ยเซ่าปรากฏกายจากด้านในของประตู สาบเสื้อแหวกเปิดครึ่งหนึ่ง สายตาคู่นั้นจ้องเขม็งมาที่นางพร้อมแววอึมครึมอย่างที่สุด หวังเอ่าเนื้อตัวสั่นระริก สองขาอ่อนระทวยทรุดเข่าลงดังตุบ โขกศีรษะขอความเมตตาไม่หยุดยั้ง
“นายท่านโปรดไว้ชีวิต! นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ! บ่าวเองก็อับจนหนทาง…ฮูหยินสั่งการลงมา บ่าวมิกล้าไม่เชื่อฟัง”
เว่ยเซ่าหรี่ตา เบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง
“เบิกตาสุนัขของเจ้าให้กว้างๆ เห็นชัดเจนแล้วหรือไม่”
หวังเอ่าไหนเลยจะกล้ามอง ทำเพียงโขกศีรษะวิงวอนไม่ยอมหยุด
“สั่งให้เจ้าดู เจ้าก็จงดู!”
หวังเอ่าตัวสั่นงันงก ในที่สุดก็ฝืนเงยหน้าขึ้น เหลือบมองเข้าไปอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง
ในห้องแสงไฟสลัวฉายผ่านที่ครอบเทียนซึ่งฝังประดับลวดลายจากเปลือกหอยสีมรกต กางกั้นด้วยผ้าม่านที่ทิ้งตัวลงมาหลายชั้น มองเห็นได้รำไรว่ามีเงาร่างเลือนรางสายหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เรือนผมยาวของเสี่ยวเฉียวทิ้งตัวจรดเอว เงาร่างงามอรชรอยู่ในอิริยาบถอันอ่อนช้อยเย้ายวนใจ
หวังเอ่าหลับตาปี๋ไม่กล้ามองอีก
“เห็นชัดแล้วหรือไม่”
เสียงของเว่ยเซ่าดังขึ้นข้างหู
“เห็น…เห็นชัดแล้วเจ้าค่ะ…”
เว่ยเซ่าพลันตวัดกระบี่ ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินของหวังเอ่า กรอบประตูได้ถูกสะบั้นออกเป็นสองท่อนแล้ว
เดิมทีนึกว่ากระบี่ฟันมาทางตน หวังเอ่าจึงเข่าอ่อนนั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น สุดท้ายพบว่าตนไม่เป็นไรถึงได้ลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างสั่นระริกจนกลายเป็นกระชอนร่อนแป้ง
“ไสหัวไป!”
เว่ยเซ่าเก็บกระบี่ เปล่งสามคำหลุดออกจากปาก
หวังเอ่าคล้ายได้รับการอภัยโทษ ตะกายลุกขึ้นวิ่งโซซัดโซเซจากไป
เสียงดังปังเมื่อเว่ยเซ่าปิดประตูซึ่งบัดนี้ไม่อาจปิดได้สนิทก่อนเดินกลับมา
เสี่ยวเฉียวกลั้นหายใจมองดูเขา แลเห็นพยับเมฆหนาทึบเกลื่อนอยู่บนดวงหน้า เขาเดินมาถึงหน้าเตียงแล้วโยนกระบี่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเลิกม่านแล้วนอนลงดังเดิม
เขาหลับตาลงในไม่ช้า ชั่วครู่ให้หลังโทสะบนดวงหน้าดูเหมือนจะเลือนจางลงตามลำดับ สีหน้ากลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็น แสงเทียนที่ส่องผ่านผ้าม่านฉาบรัศมีอันนุ่มนวลให้กับโครงหน้าด้านข้างของเขา
จู่ๆ ชายหนุ่มพลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วประสานสายตากับเสี่ยวเฉียว
“เจ้ามองพอหรือยัง” เขาถาม สุ้มเสียงอันแสนราบเรียบนั้นเจือความเฉยเมย หว่างคิ้วฉายความอ่อนล้าซึ่งไม่อาจอำพรางได้
เสี่ยวเฉียวรีบหลับตาทันใด
ในที่สุดเปลวเทียนบนเชิงเทียนก็มอด แสงสว่างพลันหม่นลง
แสงจันทร์อาบเข้ามาทางหน้าต่าง ภายในม่านมุ้งแปรเปลี่ยนเป็นพร่ามัว
ลมหายใจของเว่ยเซ่าสม่ำเสมอ เขาหลับไปแล้ว
เสี่ยวเฉียวลืมตาขึ้นแล้วทอดสายตาผ่านเลยชายหนุ่มที่อยู่ข้างหมอน มองไปยังแสงจันทร์สีขาวริมหน้าต่างนอกม่านมุ้ง
ราตรีนี้แสงจันทร์กระจ่างตายิ่งนัก