ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6
แสงจันทร์เช่นเดียวกันนี้ก็กำลังฉายส่องบริเวณที่อยู่ไกลออกไปนับพันลี้ ณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งในอำเภอหลิงปี้แดนไหวหนาน
ยามนี้รัตติกาลลึกล้ำ หมู่บ้านเชิงเขาซึ่งมีผู้ยึดอาชีพล่าสัตว์ตัดฟืนอยู่อาศัยกระจัดกระจายเพียงสิบกว่าครัวเรือนแห่งนี้เงียบสงัดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ผู้คนในหมู่บ้านหลับใหลอยู่ในห้วงฝันนานแล้ว เสียงร้องของนกเค้าแมวดังมาแต่ไกลเป็นครั้งคราว ยิ่งเพิ่มพูนความสงบเงียบให้กับราตรีในฤดูวสันต์นี้
ท้ายหมู่บ้านมีพื้นที่โล่งข้างธารน้ำสายหนึ่งซึ่งไหลรินมาตามช่องว่างของเขา บ้านใหม่ที่นี่ของต้าเฉียวกับปี่จื้อใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
พวกเขามาถึงที่นี่เมื่อครึ่งเดือนก่อน จะว่าไปก็เป็นวาสนา เดิมทีวันนั้นคิดจะมุ่งลงใต้ต่อ บังเอิญระหว่างทางพบโจรหลายคนกำลังปล้นชิงเสบียงและเกลือที่ผู้เฒ่าหวังกับหลานชายใช้ขนสัตว์แลกมาจากตลาดนัดในตัวอำเภอ ปี่จื้อจึงซัดโจรหลายคนฟุบคว่ำกับพื้น พวกโจรถึงกับหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง ผู้เฒ่าหวังได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หลานชายเพิ่งจะอายุสิบกว่าปี หลายปีก่อนบุตรชายถูกเซวียไท่ผู้ว่าการมณฑลสวีโจวบังคับไปเป็นทหาร ไม่กี่เดือนต่อมาก็เสียชีวิต บัดนี้ในบ้านไม่เหลือใครอื่น มีเพียงสองปู่หลานอาศัยพึ่งพากัน ปี่จื้อกับต้าเฉียวจึงส่งคนทั้งสองกลับบ้าน ผู้เฒ่าหวังซาบซึ้งใจยิ่ง ระหว่างสนทนาได้ยินว่าหนุ่มสาวทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยา ที่บ้านเกิดมีภัยสงครามจนไม่อาจดำเนินชีวิตต่อไปได้ ด้วยความจนใจจึงคิดหนีไปอาศัยอยู่ทางใต้ ผู้เฒ่าหวังรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของภัยสงครามดี จึงเชื้อเชิญหนุ่มสาวทั้งสองให้ลงหลักปักฐานเสียที่ข้างบ้านของตน
หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้แฝงเร้นอยู่ภายในเขาลึก โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่งามตา ปกติมีคนนอกผ่านเข้ามาน้อยครั้ง นับเป็นสถานที่เหมาะสำหรับเร้นกายยิ่ง ต้าเฉียวหัวใจหวั่นไหว ปี่จื้อย่อมตามใจนาง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงลงหลักปักฐาน เลือกพื้นที่บริเวณนี้เริ่มปลูกกระท่อม ปี่จื้อตัดต้นไม้ ต้าเฉียวหัดฟั่นเชือกปอ สองคนร่วมแรงร่วมใจกัน ครึ่งเดือนต่อมาก็สร้างกระท่อมที่สามารถบังลมต้านฝนให้แก่ทั้งสองได้ในที่สุด
ปี่จื้อเริ่มทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจวบจนป่านนี้ เขามุงหลังคาเสร็จแล้ว ขาดเพียงขอบหลังคาด้านสุดท้ายเท่านั้น
ต้าเฉียวนั่งบนหินก้อนหนึ่งในลานบ้านขนาดย่อมที่ล้อมด้วยรั้วไม้รวกอย่างเรียบง่าย มองดูชายหนุ่มที่ยังวุ่นทำงานอยู่บนหลังคาใต้แสงจันทร์ แม้ตนเองจะปวดเอวเมื่อยหลังอยู่บ้าง ทว่าในใจแสนแช่มชื่นเปรมปรีดิ์
บ้านของพวกเขาจวนเสร็จสมบูรณ์แล้ว แม้เป็นเพียงกระท่อมหลังหนึ่ง แต่ก็สามารถบังลมต้านฝนแก่พวกเขาได้ เท่านี้นางก็พึงพอใจแล้ว
เมื่อมีบ้าน พวกเขาก็สามารถปักหลักไม่ต้องร่อนเร่ไปทั่วอีก รอให้ชีวิตมั่นคงก่อน นางยังอยากให้ปี่จื้อสร้างเล้าไก่อีกเล้า เลี้ยงลูกเจี๊ยบสักหลายตัว และปลูกผักไว้กินกันเอง…
“ท่านเหนื่อยแล้วกระมัง ส่วนที่เหลือค่อยทำพรุ่งนี้เถิด!”
ต้าเฉียวตะโกนเรียกเขาด้วยความรักสงสาร
ปี่จื้อให้นางไปนอนก่อน บอกว่าตนใกล้จะเสร็จแล้ว
ต้าเฉียวไม่ยอม ยังคงรอเขาต่อไป
ปี่จื้อจึงยิ่งเร่งมือ จนมุงหลังคาส่วนสุดท้ายเสร็จในที่สุด เมื่อแน่ใจว่าแน่นหนาไม่รั่วซึมแน่แล้วจึงกระโดดลงจากหลังคาด้วยท่วงท่าอันแคล่วคล่องแข็งแรง
ทั้งร่างชโลมด้วยเหงื่อจากการทำงานมาทั้งวัน เขาวางมีดพร้าในมือ แล้วเดินลุยน้ำลงสู่ลำธารหน้าประตูบ้าน
ผิวน้ำท่วมมิดเอวของชายหนุ่ม ภายใต้แสงจันทร์ส่องสะท้อน แผ่นหลังเปียกชุ่มซึ่งมีมัดกล้ามกำยำนั้นทอแสงเรื่อเรือง ยิ่งขับเน้นเอวสอบและรูปร่างอันปราดเปรียวชวนมอง เงาหลังของเขาดูแข็งแกร่งประหนึ่งยอดผา เปี่ยมล้นด้วยพลังอันหนักแน่น
ปี่จื้อเก่งกาจอย่างยิ่งจริงๆ เขาทำเป็นหมดทุกอย่าง ทั้งต่อยตี เบิกทาง ตัดไม้ สร้างบ้าน หรือแม้กระทั่งทำอาหารและซักเสื้อผ้า
อาหารที่เขาทำอร่อยกว่าที่นางทำลิบลับ
เรื่องนี้ทำให้ต้าเฉียวรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าตนจะต้องรีบฝึกทำเรื่องเหล่านี้ให้เข้าขั้นโดยเร็วที่สุด เหตุการณ์เช่นวันนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง เขาที่ทำงานมาทั้งวันจะได้ไม่ต้องกินข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบที่ไม่ได้สีเปลือกอีก
โชคดีที่เขายังอุตส่าห์กินอย่างตะกรุมตะกราม ซ้ำยังชมเปาะว่านางทำได้อร่อยยิ่งนัก
มองดูเงาหลังของเขาที่อยู่ในลำธารโดยมีรั้วไม้รวกกางกั้น ใบหน้าของต้าเฉียวพลันร้อนวูบวาบ
ปี่จื้อชำระร่างกายเสร็จกลับมาก็เป็นเวลากว่าครึ่งคืนหลังแล้ว ทั้งสองเข้าไปนอนพักผ่อนกันในบ้าน
จนกระทั่งบัดนี้พวกเขาก็ยังคงนอนแยกกัน ต้าเฉียวนอนที่ห้องชั้นในบนเตียงซึ่งปี่จื้อทำให้เมื่อหลายวันก่อน ตัวเขาเองก็นอนบนฟูกหญ้าที่ห้องชั้นนอก
ต้าเฉียวออกอาการนอนไม่หลับ
กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนจางของหญ้าคาลอยละล่องอยู่ในอากาศ แสงจันทร์ราตรีนี้ดูชอบกลเสียจริง
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่เขาเปลือยร่างยืนอยู่ในลำธารเมื่อครู่
นางรู้สึกว่าใบหน้าของตนยังคงร้อนผ่าว ไม่เพียงแต่ใบหน้าเท่านั้น ดูเหมือนร่างกายก็ร้อนเล็กน้อยด้วย
นางกลั้นลมหายใจ ฟังเสียงที่ห้องชั้นนอกอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ดูเหมือนเขายังไม่หลับเช่นกัน ได้ยินเสียงสวบสาบแผ่วเบายามที่เขาพลิกกายบนฟูกหญ้า
ในที่สุดนางก็ลงจากเตียง ค่อยๆ เดินคลำทางมาถึงช่องประตูซึ่งยังไม่มีบานไม้แล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้สึกหนาวอยู่บ้าง”
…
ปี่จื้อยังไม่หลับใหล
อันที่จริงเป็นเวลาหลายคืนแล้วที่เขาไม่อาจข่มตาให้หลับสนิทได้
เขาพานางจากมา นางเป็นถึงธิดาสกุลเฉียวผู้ซึ่งเดิมทีเปราะบางสูงส่งประดุจเทพธิดา แรกเริ่มเพื่อหลบหนีการตามจับของสกุลเฉียว พวกเขาจึงเร่งเดินทางตลอดโดยไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง หากคืนใดโชคไม่ดี กระทั่งศาลเจ้าร้างสักแห่งก็ไม่มีให้พักพิง ได้แต่ค้างอ้างแรมกลางป่าดง ทั้งสัตว์ป่า โจรผู้ร้าย และศึกสงคราม…รอบด้านนั้นมีอันตรายมากมายเหลือเกิน เขาพานางจากมา ต่อให้ยามนี้ไม่อาจมอบชีวิตที่มั่นคงแก่นางได้ ทว่าอย่างน้อยเขาก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของนาง วันคืนที่ผ่านมาเขาจึงทำตัวเป็นผู้ล่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าใคร ถึงกับเคยสังหารผู้มีจิตคิดไม่ซื่อต่อต้าเฉียวที่บังเอิญพบเจอระหว่างทางโดยไม่แม้แต่กะพริบตา เขายังเป็นผู้พิทักษ์ที่ตื่นตัวอย่างที่สุดด้วย ทุกวันพอตกค่ำเขาไม่กล้าผ่อนคลายความระวังแม้สักชั่วขณะ รอบด้านมีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะลืมตาขึ้นทันที จวบจนแลเห็นสตรีของเขายังขดร่างหลับใหลอยู่ข้างกาย เขาถึงจะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
บัดนี้ในที่สุดพวกเขาก็มีรังเล็กๆ ที่สามารถบังลมต้านฝนเป็นของตนเองเสียที
แววตาเทิดทูนยามที่ต้าเฉียวมองมาทำให้เขารู้สึกสุขใจยิ่งนัก ทว่าก็รู้สึกละอายแก่ใจด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ประสบมาตลอดช่วงเวลาที่หนีเอาชีวิตรอดทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า…ในยุคแห่งสงครามอันโกลาหลนี้ ไม่มีคุณธรรม ไม่มีหลักเหตุผล มีแต่ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอ มีเพียงทำให้ตนเองเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขาถึงจะสามารถปกป้องสตรีของตนได้ดียิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ปัจจุบันมีอยู่เหล่านี้ยังห่างไกลจากสิ่งที่เขาอยากมอบให้กับต้าเฉียวลิบลับ
นางคู่ควรจะได้ครอบครองมากกว่านี้ ได้ครอบครองทุกสิ่งที่ดียิ่งกว่า
ปี่จื้อหลับตาท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด ขณะที่ความในใจเฉพาะของเขาซึ่งไม่เคยบอกต้าเฉียวมาก่อนพลิกตลบอยู่ในห้วงความคิด เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าของนางสัมผัสพื้นแผ่วเบา จากนั้นเสียงพูดของนางก็ดังตามมา
เขาตะลึงงัน รีบลุกขึ้นนั่งบนฟูกหญ้า
นางบอกว่าหนาว
แม้เป็นช่วงกลางฤดูวสันต์แล้ว ทว่ายามราตรีในป่าเขา หากร่างกายอันเปราะบางของนางรู้สึกหนาวก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ข้างมือของเขาไม่มีผ้าห่มนวมที่เข้าท่าแม้สักผืน มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับหนังกวางที่เก่าจนขนเริ่มหลุดร่วงอีกแค่ผืนเดียว
ชายหนุ่มกดข่มความละอายในใจ ลุกขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันในความมืดก่อนกล่าว “ข้าจะหยิบเสื้อมาห่มเพิ่มให้ เจ้ากลับไปนอนก่อนเถิด”
ทว่าต้าเฉียวกลับไม่ขยับเขยื้อน ทำเพียงมองดูเขา
ปี่จื้อรู้สึกว่านางต่างจากปกติอยู่บ้าง ถึงตะเกียงน้ำมันจะสลัวมัวเพียงใด แต่เขากลับมองเห็นว่าแก้มของนางคล้ายระบายด้วยสีแดงเรื่อ ดวงตาคู่งามก็วาวระยับ
ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว หัวใจที่อยู่ในช่องอกพลันเต้นรัวเร็ว โลหิตทั่วร่างร้อนระอุในทันที
“ข้าอยากให้ท่านกอดข้าหน่อย เช่นนี้คงจะอุ่นขึ้นบ้าง…” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาจนจบ คงเพราะเขินอาย นางจึงโน้มกายมาเป่าดังฟู่ ดับตะเกียงน้ำมันในมือของเขา
ในห้องพลันมืดลงอีกครั้ง มืดมิดจนไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป ต่างจากเสียงลมหายใจของทั้งสองที่ดังชัดเจนขึ้นทุกที
ปี่จื้อพลันละทิ้งตะเกียงน้ำมัน คว้ากุมมือนุ่มเอาไว้ จูงนางออกมานอกประตู พามายืนเคียงคู่ใต้จันทร์แจ่มซึ่งแขวนสูงอยู่เหนือยอดเขาดวงนั้น
“ข้าทำได้จริงๆ หรือ” สุ้มเสียงของเขาสั่นพร่านิดๆ
ต้าเฉียวรู้สึกได้ถึงความร้อนลวกจากฝ่ามือของเขา ได้ยินกระทั่งเสียงเต้นอันรุนแรงของหัวใจ
นางเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความเอียงอาย “พวกผู้เฒ่าหวังก็รู้กันหมดมิใช่หรือว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากัน”
ปี่จื้อไม่ลังเลอีก ดึงนางคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน โขกศีรษะคำนับไปทางจันทร์สกาว เขายืนขึ้นแล้วอุ้มนาง สาวเท้าพากลับเข้ามาในกระท่อม วางร่างอันบอบบางกลับคืนบนเตียงอย่างเบามือ
เสียงครางแผ่วที่ถูกกดข่มไว้ทั้งระบายความเจ็บปวดและคล้ายเจือด้วยความสุข เสียงซึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นแว่วออกมาจากกระท่อม หลอมรวมไปกับเสียงไหลรินของน้ำในลำธารนอกรั้วไม้รวก ปี่จื้อคล้ายมีเรี่ยวแรงที่ไม่มีวันใช้หมดสิ้น หยาดเหงื่ออันร้อนผ่าวร่วงหยดจากร่างกายอันหนุ่มแน่นกำยำลงมาแผดเผาเรือนร่างอรชรนิ่มนุ่มของต้าเฉียว…สุดท้ายยามที่ทุกสิ่งสงบลง หญิงสาวยังคงถูกชายหนุ่มรัดรึงแนบแน่นในอ้อมกอด รักถนอมดุจดังสิ่งล้ำค่า
นางแนบดวงหน้าบนแผงอกแกร่ง หลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง
นี่คือหยาดน้ำตาแห่งความสุขและแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกผิด
“ข้าคิดถึงท่านแม่อยู่บ้าง ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไร…ข้ายังคิดถึงหมานหมานน้องสาวของข้าด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ข้าถึงพอจะเข้าใจกระจ่างขึ้น ตอนแรกที่นางบอกข้าว่าอยากแต่งกับเว่ยโหว นางต้องหลอกข้าอยู่เป็นแน่ ไม่รู้ตอนนี้ความเป็นอยู่ของนางเป็นอย่างไรบ้าง…”
ปี่จื้อเงียบงัน โอบกระชับภรรยาในอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้น