ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 7
ตอนที่เจ็ด
สองสามวันต่อมา เสี่ยวเฉียวออกจากจวนไปที่ร้านเข้ากรอบแห่งหนึ่งในตัวเมือง
ด้วยฐานะของสกุลเว่ย อันที่จริงสามารถเรียกคนทางร้านมาที่จวนได้เลย ทว่านี่คือของกำนัลที่จะมอบแด่สวีฮูหยิน แม้ได้เตรียมใจไว้แล้วที่จะถูกสวีฮูหยินชังน้ำหน้าเช่นกัน แต่เสี่ยวเฉียวก็ยังมุ่งหวังที่จะเข้ากรอบชิ้นงานของตนให้งามที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากนางไปที่ร้านด้วยตนเอง ไม่ว่าลวดลายหรือสีสันย่อมจะมีตัวเลือกมากกว่า ดังนั้นช่วงบ่ายวันนี้นางจึงส่งคนไปแจ้งทางเรือนบูรพา จากนั้นสั่งเตรียมรถม้าแล้วเดินทางออกจากจวน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกมาข้างนอก
เมืองอวี๋หยางมีขนาดใหญ่ไม่น้อยทีเดียว ด้วยการปกครองดูแลมาตลอดหลายสิบปีของสกุลเว่ยสามรุ่น เฉพาะครัวเรือนในตัวเมืองนี้ก็มีถึงหมื่นเศษ จำนวนราษฎรยิ่งมีมากถึงหลายแสน บ้านเรือนสองข้างทางแน่นขนัด รถม้าและผู้คนคลาคล่ำไม่ขาดสาย สินค้าจากแดนเหนือและใต้ล้วนมีครบครัน
ร้านเข้ากรอบฝีมือดีที่สุดในเมืองตั้งอยู่บนถนนสายหนึ่งของตัวเมืองทิศตะวันออก เนื่องจากผิวถนนคับแคบ คนสัญจรคับคั่ง เสี่ยวเฉียวจึงให้รถม้าจอดอยู่ปากทางที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าว ก่อนที่ตนเองจะเดินเข้าร้านโดยมีชุนเหนียงกับสาวใช้อีกคนมาเป็นเพื่อน
รูปโฉมของสาวน้อยโดดเด่นยิ่งนัก ระยะทางเพียงไม่กี่สิบก้าวก็ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากเอาไว้ได้ คนเดินถนนต่างพากันมองมาที่นาง คนที่เดินผ่านไปแล้วก็ยังเหลียวหลังมามองซ้ำ
เมื่อเสี่ยวเฉียวเข้ามาในร้าน แม้ไม่ได้แสดงฐานะใด แต่เถ้าแก่ย่อมมีสายตาที่รู้จักมองคน เห็นนางอายุไม่มาก ท่าทางราวสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ทว่ากลับแต่งกายเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้ว อาภรณ์และเครื่องประดับล้วนงามวิจิตร รูปโฉมสะคราญตาจนไม่กล้าเพ่งพิศตรงๆ ย่อมต้องเป็นสะใภ้สกุลใหญ่สักสกุลในเมืองนี้แน่ เถ้าแก่จึงมีท่าทีนบนอบอย่างยิ่ง รอจนเสี่ยวเฉียวหยิบม้วนผ้าไหมที่คัดลอกเสร็จออกมาคลี่กาง เถ้าแก่เห็นตัวอักษรแล้วดวงตาก็สว่างวาบ เอ่ยปากชมเปาะ “ชั่วชีวิตของข้าเข้ากรอบผ้าไหมมานับไม่ถ้วนก็จริง กลับเพิ่งเคยได้เห็นตัวอักษรที่งามสง่าล้ำเลิศเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเป็นผลงานจากมือของผู้ใด”
อักษรแบบจ้าวย่อมไม่อาจพบเห็นได้ในยุคนี้ เสี่ยวเฉียวเพียงแต่ลอกเลียนมาจึงตอบเฉไฉสองสามประโยคอย่างคลุมเครือก่อนชี้แจงจุดประสงค์ พอได้ยินว่าจะมอบเป็นของขวัญวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ย เถ้าแก่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบคลี่กางตัวอย่างสีและลวดลายจำนวนมากออกมา
เสี่ยวเฉียวคัดเลือกช้าๆ สุดท้ายก็ถูกใจลวดลายที่มีชื่อว่าไหมชาดตัดทอง แต่เถ้าแก่กลับส่ายหน้ากล่าว “บังเอิญยิ่งนัก ไหมชาดตัดทองนี้มีลูกค้าจองไว้แล้ว อีกทั้งเหลือเพียงชุดเดียว หากนายหญิงรีบใช้ เลือกลายอื่นได้หรือไม่ขอรับ”
“ในเมื่อนางถูกใจก็ยกให้นางไปแล้วกัน ข้าเปลี่ยนลายใหม่ใช่ว่าจะไม่ได้!”
สุ้มเสียงอันกังวานพลันดังมาจากหน้าประตู
เสี่ยวเฉียวเงยหน้าขึ้น มองเห็นบุรุษอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีผู้หนึ่งพลิกกายลงจากหลังอาชาพ่วงพี โยนเชือกบังเหียนให้ผู้ติดตามก่อนก้าวยาวๆ เข้ามาในร้าน
บุรุษผู้นี้กำยำล่ำสันอย่างยิ่ง รูปโฉมก็มีราศีองอาจไม่น้อย บนร่างแม้สวมชุดลำลอง ทว่าสีหน้าท่าทางกลับจองหองเหิมเกริมราวกับรอบข้างไร้ผู้คน เห็นชัดว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ สองตาอันเจิดจ้าที่พินิจมองเสี่ยวเฉียวก็เผยแววตกตะลึงในความงามออกมารางๆ
เดิมทีเสี่ยวเฉียวคุ้นชินแล้วกับสายตาเพ่งพิศของพวกบุรุษ ทว่าแววตาที่ชายผู้นี้มองนางกลับโจ่งแจ้งและคุกคามถึงขีดสุด ราวกับจะกลืนกินนางในคำเดียวเสียเดี๋ยวนี้ นางรู้สึกขุ่นเคืองตามสัญชาตญาณ จึงหมุนกายหันหลังไป
เถ้าแก่รู้จักบุรุษผู้นี้ ใบหน้าคลี่ยิ้มประจบขณะรีบเดินขึ้นหน้าไปค้อมกายกล่าว “เจ้าเมืองเว่ย ภาพอักษรอายุยืนที่ท่านสั่งไว้ วันพรุ่งก็เสร็จแล้วขอรับ ถึงตอนนั้นย่อมส่งไปให้ท่านถึงจวน ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านมาด้วยตนเอง”
บุรุษแซ่เว่ยกล่าว “วันนี้ข้าเพิ่งกลับจากเมืองไต้ นึกขึ้นได้จึงแวะมากำชับเท่านั้น” ขณะที่ปากกล่าววาจา ดวงตากลับชำเลืองมองเงาหลังของเสี่ยวเฉียวเป็นระยะ
เถ้าแก่ยิ้มตอบ “สิ่งที่ใช้อวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าจะกล้าชักช้าได้อย่างไรกัน เจ้าเมืองเว่ยวางใจเถิดขอรับ!”
บุรุษแซ่เว่ยคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก แสดงท่าทีให้เขาไปรับรองเสี่ยวเฉียว
เถ้าแก่ชะงักไปอึดใจเดียวก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง รีบยิ้มเอ่ยกับเสี่ยวเฉียว “เมื่อครู่ลายที่นายหญิงถูกใจก็คือลายที่เจ้าเมืองเว่ยท่านนี้จองไว้ ในเมื่อท่านเจ้าเมืองออกปากแล้ว หากนายหญิงชื่นชอบก็สามารถยกให้แก่นายหญิงได้”
บุรุษผู้นี้แซ่เว่ยพอดี ซ้ำยังเอ่ยถึงสิ่งที่ใช้อวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหนึ่ง
เสี่ยวเฉียวจึงหันหน้าไปมองเขาตามจิตใต้สำนึก และปะทะเข้ากับสายตาที่จับจ้องตนอยู่ดังเดิม สาวน้อยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ต้องหรอก ข้าเปลี่ยนลายใหม่แล้วกัน”
นางเอ่ยเรียบๆ พลางชี้มือเลือกตัวอย่างอีกลายหนึ่ง นัดวันรับของเสร็จก็ทิ้งเงินมัดจำไว้ หมุนกายเดินจากไปโดยไม่ชายตาแลบุรุษผู้นั้นซ้ำสอง
บุรุษแซ่เว่ยมองส่งเงาหลังของเสี่ยวเฉียว ขณะเหม่อมองไปไกลจนเห็นนางก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ปากทางคันนั้นแล้ว เถ้าแก่ก็ตามมาเอ่ยที่ด้านข้าง “จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก ผ้าไหมที่นายหญิงผู้นั้นต้องการเข้ากรอบก็เป็นของขวัญวันเกิดที่จะมอบแด่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนท่านเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ยินนางเอ่ยว่าตนเองมาจากสกุลใด”
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเผยแววประหลาดใจ ลังเลเล็กน้อยก่อนรับเชือกบังเหียนจากมือผู้ติดตาม พลิกกายขึ้นบนหลังม้า
พอเสี่ยวเฉียวกลับถึงจวนสกุลเว่ย เหตุการณ์แทรกเล็กๆ ของวันนี้ก็ถูกสลัดออกจากใจในไม่ช้า พอพลบค่ำนางก็ได้ข่าวว่าเว่ยเซ่ารับฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาถึงจวนแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงรีบรุดไปรอคารวะสวีฮูหยินที่ห้องเล็กข้างโถงใหญ่ของเรือนอุดร
สวีฮูหยินเพิ่งกลับมาถึง หากชิงชังรังเกียจคงไม่ให้นางเข้าพบเร็วปานนี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องแสดงท่าทีให้เห็น ขณะรออยู่ในห้องเล็กด้านข้าง นางมองผ่านหน้าต่างเห็นระเบียงทางเดินที่ทอดสู่โถงใหญ่มีคนทยอยเข้าๆ ออกๆ เสียงฝีเท้าดังตึกๆ ไม่ขาดหู นอกจากพวกบ่าวแล้วก็ยังมีหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ในจวนสกุลเว่ย รวมไปถึงคนที่แต่งกายเหมือนขุนนางบุ๋นบู๊ของเมืองนี้
นางรอคอยอยู่พักหนึ่ง ท้องฟ้าจวนมืดแล้ว เสียงฝีเท้าบนระเบียงทางเดินจึงเบาบางลงตามลำดับ ในที่สุดหญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องเล็ก ค้อมกายเชิญเสี่ยวเฉียวเข้าไป เสี่ยวเฉียวพลันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ตั้งสติตามหญิงรับใช้อาวุโสมุ่งไปยังโถงใหญ่
ในชาติก่อนตอนที่สองเฉียวพี่น้องได้พบหน้ากันครั้งสุดท้าย เสี่ยวเฉียวได้ฟังจากคำบอกเล่าของผู้เป็นพี่สาว คนเดียวในสกุลเว่ยที่ไม่เคยกลั่นแกล้ง ทั้งสี่ฤดูไม่เคยลืมสั่งบ่าวไพร่ให้นำสิ่งของจำนวนหนึ่งส่งมาที่ห้องของนาง คนผู้นั้นก็คือท่านย่าของเว่ยเซ่าเท่านั้น น่าเสียดายที่สวีฮูหยินกลับจากไปเร็ว ต้าเฉียวแต่งเข้าสกุลเว่ยได้ไม่ถึงหนึ่งปี สวีฮูหยินก็สิ้นบุญจากไปด้วยเหตุไม่คาดฝัน นับแต่นั้นสถานการณ์ของต้าเฉียวก็ยิ่งยากลำบาก
เพราะเหตุนี้เสี่ยวเฉียวถึงให้ความสำคัญกับการเข้าพบสวีฮูหยินเป็นพิเศษ นางไม่ได้คาดหวังว่าตนจะได้รับความโปรดปรานจากอีกฝ่าย แต่ขอเพียงสวีฮูหยินต่างจากมารดาของเว่ยเซ่า อย่างน้อยในหนึ่งปีนับจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับนางแล้ว
รูปแบบของเรือนอุดรใกล้เคียงกับเรือนประจิมที่เสี่ยวเฉียวพักอาศัย หน้ากว้างของห้องกว้างขวางยิ่งกว่า ทว่าการตกแต่งกลับแสนเรียบง่ายจนเกือบเข้าขั้นสมถะ เมื่อเปรียบกับเรือนบูรพาที่จูซื่อพำนักจึงกลายเป็นความต่างที่เด่นชัด สิ่งเดียวในโถงใหญ่แห่งนี้ที่สามารถขับเน้นฐานะของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ยได้ก็คือตั่งสูงซึ่งมองเห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อเดินเข้ามา นั่นคือตั่งไม้ประดู่ทรงสูงตัวหนึ่งซึ่งต้องใช้บันไดสามขั้นในการก้าวขึ้นไป สองข้างของตั่งสูงมีโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างละหนึ่งตัว ด้านบนจัดวางเครื่องใช้ เบื้องหลังตั่งสูงล้อมด้วยฉากยาวเคลือบรักที่วาดตกแต่งด้วยลวดลายเมฆหมอก ยามนี้สวีฮูหยินท่านย่าของเว่ยเซ่านั่งอยู่ตรงกลางของตั่งสูงตัวนี้นี่เอง
ยามที่เสี่ยวเฉียวเข้ามา ด้านในก็เหลือคนไม่มากแล้ว มีเพียงบ่าวอาวุโสไม่กี่คนยืนรับใช้ประปราย จงเอ่าอยู่ด้านข้าง ไม่เห็นจูซื่อกับเจิ้งซู เว่ยเซ่าก็อยู่ที่นี่ด้วย เขานั่งเป็นเพื่อนอยู่ทางขวามือของฮูหยินผู้เฒ่า
สวีฮูหยินรูปร่างผอมแห้ง สวมชุดดำ เรือนผมสีดอกเลา หน้าผากกว้างคางมน สองแก้มตอบนิดๆ รูปโฉมไม่มีจุดใดพิเศษ ดูเหมือนหญิงสูงวัยธรรมดาผู้หนึ่ง สิ่งเดียวที่ชวนให้เสี่ยวเฉียวประหลาดใจเล็กน้อยก็คืออีกฝ่ายเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว ตาซ้ายเป็นต้อกระจกไปแล้ว กลายเป็นสีขาวหิมะทั้งหมด ทว่าประกายตาข้างขวาที่เหลืออยู่กลับเจิดจ้าเป็นพิเศษ มีพลังอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อนั่งบนตั่งสูงกวาดดวงตาข้างเดียวมองลงมาแล้วก็ทำให้ผู้อื่นไม่ค่อยกล้าสบตาตอบ
หลังจากเดินเข้ามาเสี่ยวเฉียวก็เห็นดวงตาข้างเดียวของสวีฮูหยินจับนิ่งบนร่างตน สีหน้ายากจำแนกได้ว่าเป็นอารมณ์ใด สาวน้อยรีบหลุบตา เดินไปถึงตั่งสูงซึ่งพื้นเบื้องหน้าจัดวางตั่งสำหรับนั่งคุกเข่าไว้หลายตัวแล้วนางก็คุกเข่าทั้งสองข้าง โขกศีรษะคารวะสวีฮูหยินที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายจึงมอบรองเท้าปักลายบุพื้นนุ่มด้วยนุ่นใยไหมหนึ่งคู่
ในห้องเงียบกริบ ไม่ได้ยินสรรพเสียงแม้เพียงน้อยนิด
จงเอ่าเดินตรงมารับรองเท้าไป จากนั้นสาวใช้คนหนึ่งก็ยกถาดเคลือบรักแดงออกมา ด้านบนวางหยกมันแพะ ทรงกลมแบนแกะลวดลายสี่สัตว์เทพ หนึ่งแผ่นกับประคำหยกเลี่ยมทองลายเส้นขดหนึ่งพวง
แผ่นหยกลายสี่สัตว์เทพสื่อนัยถึงสิริมงคล ส่วนประคำหยกคือของขวัญแรกพบที่ผู้อาวุโสกำนัลแก่ผู้เยาว์
“น้ำใจของฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงรับไว้แล้วลุกขึ้นเถิด” จงเอ่ากล่าว
เสี่ยวเฉียวคำนับขอบคุณก่อนลุกขึ้น ก้มหน้าไปยืนสำรวมอยู่ด้านหลังของเว่ยเซ่า
ชั่วครู่ต่อมาสาวน้อยรู้สึกเหมือนสวีฮูหยินที่อยู่บนตั่งสูงยังคงมองตนอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะช้อนตาขึ้นเล็กน้อยสบตากับอีกฝ่าย
พักก่อนที่จงเอ่ากลับมาจากเมืองซิ่นตู สวีฮูหยินได้ไถ่ถามถึงบุตรีสกุลเฉียวด้วย จงเอ่าจึงเล่าเรื่องตั้งแต่นางถูกเฉินรุ่ยแห่งปิงโจวลักพาตัวระหว่างทางจนกระทั่งท่านโหวบุกยึดเมืองสืออี้ให้ผู้เป็นนายฟังรอบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่าบุตรีสกุลเฉียวเลอโฉมหายากยิ่งในแผ่นดิน กิริยาท่าทางนับว่าพอเหมาะเข้าที อุปนิสัยใจคอก็ดีงาม
‘ช่างน่าเสียดายนัก’
สุดท้ายนางก็เอ่ยเสริมเช่นนี้อีกหนึ่งประโยค
จงเอ่ารับใช้อยู่ข้างกายสวีฮูหยินมาครึ่งค่อนชีวิต ทั้งเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่กล่าวพร่ำเพรื่อโดยง่าย การแสดงความเห็นของตนต่อหน้าสวีฮูหยินอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ยิ่งพบเห็นได้น้อยครั้ง
สวีฮูหยินจึงซักถามว่า ‘ช่างน่าเสียดายนัก? หมายความเช่นไร’
จงเอ่าตอบเพียงว่าเมื่อสวีฮูหยินได้พบก็จะทราบเอง
ตอนนั้นสวีฮูหยินรู้สึกไม่เห็นพ้องอยู่บ้าง ทว่ายามนี้ได้เห็นบุตรีสกุลเฉียวเองกับตา ดูเหมือนจะตระหนักได้แล้ว นึกไม่ถึงว่าสกุลเฉียวจะเลี้ยงดูโฉมสะคราญที่ยากพบพานได้เช่นนี้ ช่างมีสง่าราศีจับร่างโดยแท้ ยามที่อีกฝ่ายเพิ่งเข้ามา กระทั่งสวีฮูหยินผู้เห็นโลกมามากก็ยังรู้สึกว่าเบื้องหน้าสายตาพลันสว่างไสว
รูปโฉมยังนับเป็นเรื่องรอง บุคลิกท่าทางของบุตรีสกุลเฉียวต่างหากที่เข้าตาสวีฮูหยินยิ่งนัก
ในชีวิตของคนเรานี้ หากครึ่งชีวิตแรกยิ่งครอบครองมามาก สิ่งที่ประสบพบเจอก็จะยิ่งซับซ้อน รอจนอายุเพิ่มพูน ความคิดหลายอย่างจะค่อยๆ แปรเปลี่ยน และยิ่งนิยมสิ่งที่สงบเรียบง่าย กับวัตถุเป็นเช่นนี้ กับคนก็เฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุที่คนเรายิ่งแก่ตัวมักจะยิ่งชอบเด็กเล็ก
ยามที่สวีฮูหยินพิศมองบุตรีสกุลเฉียวก็สังเกตเห็นนางช้อนตาขึ้นสบมองตนอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง
ดวงตาข้างเดียวของสวีฮูหยินจับแววตาของนางได้ในทันที นั่นมิใช่ความขลาดกลัว หากแต่เป็นความไม่แน่ใจเล็กน้อย นอกเหนือจากนี้ก็คือความสว่างสดใสและปลอดโปร่งเยือกเย็น
สวีฮูหยินมองคนปราดแรกมักมองที่แววตาของอีกฝ่ายเสมอ การตัดสินคนจากรูปโฉมภายนอกมิใช่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เพราะประกายในดวงตาทั้งคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของรูปโฉมเช่นกัน นางมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าของแววตาเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ
ตรงข้ามกับบางคน อาทิ จูซื่อลูกสะใภ้ของนาง เหตุที่ที่ผ่านมาสวีฮูหยินไม่อาจมีความรู้สึกที่ดีต่ออีกฝ่ายได้นั้นก็เริ่มต้นมาจากแววตาที่ได้เห็นในปราดแรกนี่เอง ยามนั้นผู้เป็นสามีหมายสู่ขอจูซื่อให้แก่บุตรชาย สวีฮูหยินกังวลเรื่องชาติกำเนิดของว่าที่ลูกสะใภ้จึงไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจเท่าไรนัก ทว่าจนใจที่ผู้เป็นสามียืนกรานหนักแน่น อีกทั้งบิดาของจูซื่อก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเขา สุดท้ายสวีฮูหยินถึงฝืนใจยอมรับในที่สุด
ปราดแรกที่เห็นจูซื่อ แม้อีกฝ่ายจะแต่งกายเข้าทีและทุกอิริยาบถล้วนได้รับการอบรมเช่นคนตระกูลใหญ่ ทว่าสวีฮูหยินกลับไม่พึงพอใจในลูกสะใภ้คนนี้ ขณะที่จูซื่อมองนาง สิ่งที่เผยชัดอยู่ในดวงตาคือแววตาที่ขาดความมั่นใจ หมายเร่งเอาอกเอาใจนาง
ต่อให้เครื่องแต่งกายเข้าทีเพียงใดหรือกิริยาสอดคล้องกับหลักเกณฑ์สักเพียงไหน เมื่อเข้าคู่กับแววตาเยี่ยงนี้ก็ไม่แคล้วถูกลดทอนระดับชั้นลงไป
ดังนั้นความไม่ถูกตาต้องใจนี้จึงสืบเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน
สิ่งเดียวที่ทำให้สวีฮูหยินมองจูซื่อสูงขึ้นก็คือท้องของอีกฝ่ายยังนับว่าได้ความ สามารถให้กำเนิดหลานชายที่ยอดเยี่ยมแก่สกุลเว่ยคนหนึ่ง มารดาได้ดีเพราะบุตร ดูท่านี่ก็คือสาเหตุที่สวีฮูหยินอดกลั้นต่อจูซื่อ หลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจมาตลอด
ตอนแรกที่สวีฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจให้เว่ยเซ่าหลานชายแต่งกับบุตรีสกุลเฉียว นางย่อมมีสิ่งที่คำนึงถึงเช่นกัน
คนนอกที่รู้เรื่องการแต่งงาน รวมไปถึงเว่ยเซ่าหลานชายของนางเองล้วนนึกว่านางทำเพื่อพื้นที่มณฑลเหยี่ยนโจว
ทว่าแท้ที่จริง…นางเองก็มีสิ่งอื่นที่คำนึงถึง เพียงแต่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้เท่านั้น
สวีฮูหยินพินิจมองเสี่ยวเฉียวซ้ำสอง ก่อนจะเห็นสาวน้อยหลุบตาลงอีกครั้ง ยามที่อีกฝ่ายยืนอยู่เบื้องหลังเว่ยเซ่าหลานชาย ทั้งสองช่างเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก
นางเอ่ยปากพูดประโยคแรกนับแต่เสี่ยวเฉียวเดินเข้ามา “จ้งหลิน ย่าได้พบหน้าหลานสะใภ้แล้ว ถูกใจยิ่งนัก ย่าเดินทางมาทั้งวัน รู้สึกเพลียอยากพักผ่อน เจ้าพานางกลับไปเถิด”
เว่ยเซ่าลุกขึ้นจากตั่ง เอ่ยอย่างนอบน้อม “หลานขออำลา ท่านย่าพักผ่อนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เช้าหลานจะมาเยี่ยมเยียนใหม่”
สวีฮูหยินอมยิ้มผงกศีรษะ
เว่ยเซ่าลงจากตั่งเดินมุ่งสู่เบื้องนอก เสี่ยวเฉียวค้อมกายกล่าวอำลาสวีฮูหยิน พอหมุนตัวกำลังจะตามเว่ยเซ่าจากไป เบื้องนอกพลันมีเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังมาจากระเบียงทางเดิน ตามด้วยสุ้มเสียงของคนผู้หนึ่ง “ท่านยายกลับมาแล้ว แต่หลานไม่ได้ออกจากเมืองไปต้อนรับเลย ไหนจะยังมาช้าอีก ไม่สมควรเลยจริงๆ ท่านยายอย่าได้ตำหนิว่าหลานอกตัญญูเป็นอันขาดเชียว!”
สิ้นเสียงพูดซึ่งเสี่ยวเฉียวคล้ายเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน บุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา
เสี่ยวเฉียวตะลึงเล็กน้อยเมื่อช้อนตามองไป
ช่างบังเอิญได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับเป็นบุรุษแซ่เว่ยที่พบในร้านเข้ากรอบเมื่อช่วงบ่าย เพียงแต่ยามนี้เขาคล้ายกับมองไม่เห็นนาง สองตาดูสว่างวาบเมื่อจรดบนร่างของเว่ยเซ่าที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้าของเขาเผยยิ้มก่อนจะสาวเท้าตรงมาหาเว่ยเซ่าทันที
ใบหน้าของเว่ยเซ่าประดับยิ้มเช่นกันขณะก้าวยาวตรงไปต้อนรับบุรุษผู้นั้น ดูท่าทั้งสองจะรู้จักมักคุ้นกันดียิ่ง
เสี่ยวเฉียวหยุดยืนอยู่กับที่ มองดูชายหนุ่มสองคนโอภาปราศรัยกันอยู่ตรงนั้น เสียงหัวเราะดังมาไม่ขาดหู ท่าทางคล้ายพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อ
“เหยี่ยนเอ๋อร์ ในที่สุดก็เห็นเจ้ากลับมาจนได้ ยายยังคิดว่าเจ้าจะตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไต้ไม่กลับมาแล้วเสียอีก” สวีฮูหยินที่อยู่บนตั่งยิ้มกล่าวเมื่อเห็นบุรุษผู้นี้มาถึง ท่าทางดีอกดีใจมากเช่นกัน
บุรุษผู้นี้มีนามว่าเว่ยเหยี่ยน พอได้ยินสวีฮูหยินเอ่ยปากก็ผละจากเว่ยเซ่าเดินมาเอ่ยปนยิ้มที่เบื้องหน้าตั่ง “งานฉลองอายุครบหกสิบปีของท่านยายทั้งที ต่อให้เหยี่ยนเอ๋อร์ขาหักทั้งสองข้างก็ต้องคลานกลับมาให้จงได้”
สวีฮูหยินหัวเราะเบิกบาน เว่ยเหยี่ยนคุกเข่าลงบนตั่งตัวเดียวกับที่เสี่ยวเฉียวคุกเข่าเมื่อครู่ก่อน หลังคำนับสวีฮูหยินแล้วก็ลุกขึ้นยืน เขาค่อยทอดสายตามาปราดหนึ่งราวกับเพิ่งเห็นเสี่ยวเฉียวเดี๋ยวนี้เอง จากนั้นจึงหันไปยิ้มกล่าวกับเว่ยเซ่าทันที “น้องรอง ตอนที่อยู่เมืองไต้ข้าก็ได้ยินข่าวงานมงคลของเจ้าแล้ว หรือว่าผู้นี้ก็คือ…”
เขาชะงักคำพูดพลางพิศมองเสี่ยวเฉียว
เว่ยเซ่าเดินกลับมาข้างกายเสี่ยวเฉียวก่อนยิ้มตอบ “ถูกแล้ว” พูดจบค่อยแนะนำเว่ยเหยี่ยนต่อนาง “เขาคือญาติผู้พี่ของข้า ก่อนหน้านี้คุมทัพอยู่ที่เมืองไต้มาตลอด โตกว่าข้าไม่กี่ปี แต่ไรมาข้าเห็นเขาเป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ เจ้าเรียกเขาว่าพี่ชายเป็นใช้ได้”
เสี่ยวเฉียวชำเลืองมองเว่ยเหยี่ยน เห็นเขายืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สายตาทั้งคู่ที่มองใบหน้าของนางมองไม่ออกถึงความผิดปกติใดๆ แต่เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนพบกันโดยบังเอิญที่ข้างนอกเมื่อช่วงบ่ายแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจกลับยังคงอึดอัดนิดๆ อยู่ ทว่านางย่อมไม่แสดงออกบนใบหน้าแม้แต่น้อย เพียงอมยิ้มทำตามคำของเว่ยเซ่า คารวะอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยเรียกว่า “พี่ชาย”
เว่ยเหยี่ยนคารวะตอบ จากนั้นจึงสนทนากับเว่ยเซ่าดังเดิม ทั้งสองพูดคุยอีกหลายประโยคก่อนกล่าวอำลาสวีฮูหยินพร้อมกัน หลังเดินออกมาได้สักระยะ ไม่รู้ว่าพี่น้องที่สนิทสนมคู่นั้นเดินเคียงไหล่กันอยู่เบื้องหน้าพูดอะไรกันบ้าง เพราะมีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระลอก เสี่ยวเฉียวเดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จวบจนถึงทางแยกมุ่งสู่เรือนประจิม พวกเขาถึงชะงักฝีเท้า
เว่ยเหยี่ยนกล่าว “น้องรอง ข้ากับเจ้าไม่ได้พบกันนานแล้ว วันนี้ได้เจอกันเสียที ไหนเลยจะขาดสุราได้ มาดื่มด้วยกันสักจอกเป็นอย่างไร”
เว่ยเซ่าลังเลเล็กน้อยก่อนตอบปนยิ้ม “ตรงใจข้าพอดี”
เว่ยเหยี่ยนหัวเราะร่วน “น่ากลัวว่าเจ้าคงหักใจละทิ้งน้องสะใภ้ที่เพิ่งเข้าพิธีซ้ำยังงามดุจบุปผาหยกผู้นี้ไม่ลงกระมัง วันนี้ข้าอารมณ์ดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ไม่สนอะไรมากแล้ว เจ้าจงไปดื่มกับข้าให้หนำใจก่อน!” เขาพูดจบก็มองไปทางเสี่ยวเฉียว “น้องสะใภ้ ข้าไม่ได้พบจ้งหลินนานแล้ว ขอดึงตัวจ้งหลินไปดื่มสักหลายจอก แต่เจ้าวางใจได้ รับรองว่าไม่ถึงขั้นไม่กลับบ้านแน่นอน ดึกหน่อยก็จะส่งเขาคืนให้แก่เจ้า”
ในใจเสี่ยวเฉียวรู้สึกขัดเขินอยู่นิดๆ ชำเลืองดูเว่ยเซ่าปราดหนึ่ง เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาไม่ได้มองมาที่นาง สีหน้าดูแข็งทื่อเล็กน้อยเช่นกัน
“พี่ชายกล่าวล้อเล่นแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถิด” เสี่ยวเฉียวขานตอบ
“น้องสะใภ้ไม่ตำหนิก็ดี จ้งหลิน ไปกัน!”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มก่อนจะเดินตามเว่ยเหยี่ยนมุ่งสู่ทิศทางของเรือนด้านหน้า แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันเหลียวมามองเสี่ยวเฉียวปราดหนึ่ง
พบว่านางหมุนกายเดินมุ่งสู่เรือนประจิมไปแล้ว