ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 7
เว่ยเซ่ารู้สึกต้นขาผ่อนวูบ นางชักมือกลับไปแล้ว
บริเวณที่เคยถูกฝ่ามือของนางกดเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ร้อนผ่าวเช่นนั้นอีก ทั้งยังเย็นลงอย่างรวดเร็ว
เขายังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว หน้าผากตรงที่ชนถูกชั้นไม้เมื่อครู่ยังเจ็บแปลบมาจนถึงตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจเขียวช้ำก็เป็นได้
เมื่อครู่เขาก็ได้ยินนางหัวเราะชัดๆ
ย้อนไปก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเพิ่งกลับมากำลังจะก้าวเข้าประตู เนื่องจากดื่มสุราจนมึนเมาอยู่บ้างจริงๆ ฝีเท้าจึงไม่มั่นคง เขายืนตั้งสติอยู่หน้าประตูชั่วคราว ตอนนั้นเขาก็เห็นความห่วงใยเกลื่อนใบหน้าของนาง แม้ปากนางจะสั่งให้พวกบ่าวมาช่วยพยุงก็จริง แต่นางกลับยืนนิ่งเป็นสากอยู่เบื้องหน้าไม่เดินมา
คงนึกล่ะสิว่าเขามองไม่ออก ความห่วงใยบนใบหน้านางนั้นแสร้งทำออกมาชัดๆ
หากนางนึกห่วงใยเช่นนั้นจริงคงจะเดินมาช่วยพยุงสักหน่อยแล้ว กลัวว่ามือนางจะถูกเขาบิดหักหรืออย่างไร
บุรุษไม่แคล้วมักเป็นเช่นนี้ เมื่อแต่งภรรยาแล้วต่อให้ตนไม่ถูกใจเพียงใด จิตใต้สำนึกก็ยังคงเรียกร้องให้ภรรยายอมศิโรราบต่อตนทั้งใจอยู่ดี
เว่ยเซ่าก็คือบุรุษทั่วไปที่มีอยู่ดาษดื่นจำพวกนี้นี่เอง
หากเมื่อครู่เสี่ยวเฉียวเดินมาช่วยพยุงจริง ก็ไม่แน่ว่าเขาจะให้นางแตะต้อง ทว่ากลับเห็นนางไม่ขยับเขยื้อนเช่นนี้ ฉะนั้นนางต่างหากคือคนที่มีปัญหา
หากเขาเข้าใจไม่ผิด สกุลเฉียวต้องการทำดีกับเขา ถึงได้เป็นฝ่ายเสนอแต่งบุตรสาวมา
หรือว่าก่อนออกเรือนจะสั่งสอนให้นางมาปรนนิบัติกับเขาเช่นนี้
เว่ยเซ่าเพ่งมองเงาร่างอ้อนแอ้นที่อยู่ด้านในของเตียง
ยามนี้นางกระถดตัวไปอยู่ด้านในสุด นิ่งสนิทดุจแมวเชื่องตัวหนึ่ง จากศีรษะจรดปลายเท้าให้ความรู้สึกซื่อตรงสงบเสงี่ยม
ตอนนี้ในใจเว่ยเซ่าถึงค่อยรู้สึกโล่งสบายขึ้นเล็กน้อย เขายกมือลูบคลำหน้าผากของตนอีกครั้งก่อนหงายร่างลงบนเตียงดังเดิม
ยามที่ทิ้งตัวลง เขาพลันนึกถึงความรู้สึกในชั่วขณะที่นางถูกตนขัดขาถลาล้มลงมา
ด้านหน้าตรงนั้น…ดูเหมือนจะนุ่มไม่น้อยทีเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น…เว่ยเซ่าตื่นแล้ว
เมื่อคืนเขาดื่มหนักไปจริงๆ ถึงกับเมาค้างทั้งคืน จนบัดนี้แม้จะรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ยังคงปวดศีรษะอยู่เล็กน้อย
ทันทีที่ชายหนุ่มลืมตาก็มองเห็นใบหน้าดวงหนึ่ง สายตาของเขานิ่งชะงัก
งุนงงเพียงชั่วอึดใจสั้นๆ ก่อนที่สติเขาจะรับรู้อย่างรวดเร็ว
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พอนอนหลับตื่นมาถึงได้กลายเป็นนอนหันหน้าเข้าหาสตรีนางนี้ ซ้ำยังประชิดเข้าไปใกล้ยิ่ง ระยะห่างเหลือเพียงช่วงศอกเดียวเท่านั้น
แท้ที่จริงหากพูดให้ถูกมากขึ้นก็คือ…เขาเองเป็นฝ่ายพลิกตัวไปด้านใน ผลจึงกลายเป็นประชิดเข้าไปหานางเช่นนี้
สาวน้อยยังคงหลับลึกยิ่ง เรือนผมยาวยุ่งนิดๆ ปรกระลำคอข้างหนึ่ง มีผมอยู่สองสามเส้นยังแนบติดบนริมฝีปากจิ้มลิ้ม ดวงหน้ายามหลับใหลเป็นสีแดงปลั่ง แพขนตาม้วนงอนแลดูน่าเอ็นดูชวนมอง
สายตาของเว่ยเซ่ารั้งอยู่บนดวงหน้าของนางครู่หนึ่ง เรียกว่าเป็นสัญชาตญาณของบุรุษเกือบทุกคนก็ว่าได้ สายตาของเขาย่อมเคลื่อนลงสู่เบื้องล่าง ก่อนจะหยุดมองตรงสาบเสื้อของนางที่ยามนี้คลายออกเล็กน้อย
แม้เพิ่งอยู่ร่วมห้องกันไม่กี่คืน ทว่าเว่ยเซ่าก็สังเกตเห็นแต่แรกแล้ว ยามที่เข้านอนสาบเสื้อของนางจะทบมิดชิดเสมอ ทำราวกับตนจะทำอะไรนางเสียอย่างนั้น
เขารู้สึกขบขันอยู่บ้างกับการกระทำอันไร้เดียงสาเช่นนี้ของนาง
แต่ในเมื่อยามนี้สาบเสื้อของนางคลายออกเอง เขาหยุดแวะมองสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร
เพราะความคิดเช่นนี้เอง ในใจเว่ยเซ่าจึงผุดความรู้สึกสุขใจเล็กๆ ที่คล้ายการได้เอาคืนอย่างหนึ่งขึ้น
ขณะพิศมองบริเวณหลายชุ่นใต้กระดูกไหปลาร้าอันงามล้ำเลิศซึ่งเผยออกมาจากสาบเสื้อนั้น ช่วงล่างของเขาก็ค่อยๆ ขยายตัวจนเริ่มอึดอัดจนอยากหาทางผ่อนคลาย
ทันใดนั้นขนตางอนของเสี่ยวเฉียวก็ขยับนิดๆ
เว่ยเซ่ารีบถอนสายตากลับมา แล้วพลิกกายไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสี่ยวเฉียวลืมตาขึ้นจึงเห็นเว่ยเซ่าที่ยังคงนอนหันหลังให้ตนอยู่ นางขยี้ตา พอทอดตามองไปยังหน้าต่างนอกม่านมุ้ง ความคิดของนางก็ชัดเจนในทันที
ข้าตื่นสาย! นอนเลยเวลาไปมากแล้ว! ทั้งฟ้าก็สว่างเต็มที่แล้วด้วย!
ถึงป่านนี้ค่อยไปคารวะยามเช้าที่เรือนของสวีฮูหยิน รับรองว่าต้องสายโด่งแน่!
นางอยากสร้างความประทับใจที่ดีต่อหน้าท่านย่าของเว่ยเซ่าให้มากที่สุด ต่อให้เดิมทีจะไม่เคยมีความคิดนี้ แต่หลังจากได้พบสวีฮูหยินเมื่อวาน ความคิดนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ไกลเกินเอื้อมเช่นนั้นแล้ว
ทว่านางกลับอับโชคได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่สวีฮูหยินเพิ่งกลับมาเมื่อวาน เช้าวันรุ่งขึ้นตนก็ดันหลับเพลินจนเป็นหมูไปเสียได้!
นางนอนตื่นสายก็ช่างเถิด แต่เหตุใดชุนเหนียงจึงไม่มาเคาะประตูเตือนกันบ้าง ทุกคนในเรือนประจิมหลับเป็นตายกันหมดแล้วหรือ…
เสี่ยวเฉียวอยากร้องไห้ทว่ากลับไร้น้ำตา นางลุกพรวดจากเตียงขึ้นนั่งทันทีราวกับถูกขดลวดดีด
เว่ยเซ่าลืมตาหันหน้ามา เขาขมวดคิ้วมองนางก้าวข้ามขาของตนในคราวเดียวด้วยอาการมือเท้าปั่นป่วน “นี่เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ยังเช้าอยู่แท้ๆ ข้างหลังมีสุนัขป่าไล่กวดเจ้าอยู่หรือ”
“สายแล้ว! ตื่นสายแล้ว! ไปคารวะยามเช้าที่เรือนท่านย่าสายแน่แล้ว!”
เสี่ยวเฉียวไม่มัวพะวงกับเขาอีก ก้าวพรวดลงพื้นแล้วจึงหันมาพูดหน้าม่อย
ตอนนี้เว่ยเซ่าถึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า จัดสาบเสื้อของตนก่อนที่ริมฝีปากจะเผยยิ้มเยาะ “ต้องรีบถึงขั้นนี้เชียวหรือ ไปสายนิดหน่อยท่านย่าจะกินเจ้าหรืออย่างไร”
แน่สิ ก็ท่านไม่เป็นอะไรอยู่แล้วนี่!
เสี่ยวเฉียวพึมพำประโยคนี้ในใจ นึกโทษเขาอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเขากลับมาดึกเหลือเกิน ซ้ำก่อนนอนยังหาเรื่องเคี่ยวกรำนางอีกยก เช้านี้นางคงไม่ถึงขั้นนอนเลยเวลาเช่นนี้หรอก
เสี่ยวเฉียวไม่แยแสเว่ยเซ่าอีก นางทบสาบเสื้อก่อนไปเปิดประตูอย่างรีบร้อน
ชุนเหนียงกับพวกหญิงรับใช้อาวุโสที่มีหน้าที่ปรนนิบัติเจ้านายล้างหน้าล้วนยืนรวมตัวอยู่บนระเบียงทางเดินด้านนอกอย่างที่ควรจะเป็น ชุนเหนียงรีบเอ่ยเสียงเบาทันทีที่เห็นเสี่ยวเฉียว “นายหญิงไม่ต้องร้อนใจไปเจ้าค่ะ เมื่อครู่ทางฮูหยินผู้เฒ่าให้คนนำคำพูดมาแจ้งว่ารู้เรื่องที่เมื่อคืนนายท่านดื่มสุรากลับมาจนดึกแล้ว ให้ทั้งสองท่านไม่ต้องตื่นเช้าไปคารวะ บ่าวจึงไม่ได้เคาะประตูเรียกเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เสี่ยวเฉียวถึงเบาใจลงเล็กน้อย ให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าหวีผม
เว่ยเซ่าราวจงใจเป็นปรปักษ์กับนาง ท่าทางของเขาจึงชักช้าอย่างไร้เหตุผล นางเป็นสตรียังแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่เขากลับยังคงสวมเสื้อนอกอยู่ตรงนั้น แค่สายคาดเอวเส้นเดียวก็ต้องรัดอยู่นานสองนาน ทำเอาเสี่ยวเฉียวที่มองดูอยู่อีกด้านไฟลุกออกจากสองตา แค้นใจจนแทบอยากตรงไปตบหน้าเขาสักฉาดหนึ่ง กว่าจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็มิใช่ง่ายเลย นี่เขายังกินอาหารเช้าที่ยกเข้ามาอีกหลายคำถึงค่อยเหลือบมองเสี่ยวเฉียว แล้วเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ไปสิ”
เสี่ยวเฉียวเดินตามเขาออกไป