ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 8
ตอนที่แปด
ตอนนี้เลยเวลาคารวะยามเช้าตามปกติไปเกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ ดวงตะวันลอยขึ้นจนถึงสันหลังคาของเรือนอุดรแล้ว ทั้งสองมาถึงเรือนอุดรภายใต้สายตาจับจ้องของข้ารับใช้ตลอดรายทาง สวีฮูหยินไม่ได้อยู่ที่โถงใหญ่ห้องเดียวกับเมื่อวาน หากแต่อยู่ในห้องนั่งเล่นที่นางใช้ทำกิจวัตรยามปกติ ด้านในยังมีคนอยู่อีกไม่น้อย นอกจากจูซื่อและเจิ้งซูแล้ว กระทั่งเว่ยเหยี่ยนก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาดูคึกคักกระปรี้กระเปร่าขณะสนทนาสรวลเสเป็นเพื่อนอยู่ข้างกายสวีฮูหยิน พอได้ยินบ่าวรายงานว่าเว่ยเซ่ากับเสี่ยวเฉียวมาถึงจึงหยุดคุยแล้วหันหน้ามา
ไม่เพียงแต่เขาคนเดียว สายตาของคนในห้องที่เหลือล้วนพร้อมใจกันกวาดมองมาด้วยสีหน้าที่ต่างกันไป
เว่ยเซ่าเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าอันปลอดโปร่ง เสี่ยวเฉียวหลุบตาคอยเดินตามมา ก่อนจะหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสวีฮูหยิน
นางสัมผัสได้ถึงสายตาของจูซื่อที่จับจ้องตนเขม็งมาจากด้านข้าง ช่างชวนให้คนอึดอัดคับข้องเสียจริง
“ท่านย่าที่เคารพ โปรดรับการคารวะจากหลานสะใภ้” เสี่ยวเฉียวคำนับ “หลานสะใภ้เสียมารยาทจริงๆ วันรุ่งขึ้นหลังท่านย่ากลับจวนก็เกียจคร้านบกพร่องถึงเพียงนี้แล้ว ขอท่านย่าได้โปรดลงโทษ ครั้งหน้าหลานสะใภ้ไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” สวีฮูหยินเป็นกันเองอย่างเห็นได้ชัด “ย่าเป็นคนสั่งพวกบ่าวว่าไม่ต้องกวนพวกเจ้าเอง แล้วนี่กินอาหารกันมาหรือยัง หากยังไม่ได้กิน ที่นี่มีน้ำแกงข้นรอบเช้าที่ยังร้อนอยู่ พวกเจ้าสองคนไปกินได้เลย”
“กินก่อนมาแล้วขอรับ หลานขอบคุณที่ท่านย่ารักเอ็นดู เข้าใจและให้อภัยที่เมื่อคืนหลานกลับดึก คราวหน้าหลานไม่กล้าอีกแล้ว” เว่ยเซ่าเอ่ยปนยิ้ม
เว่ยเหยี่ยนหัวเราะร่วน “ต้องโทษหลานคนเดียว เมื่อคืนบังคับให้จ้งหลินอยู่ดื่มสุราด้วยกันตั้งนานกว่าจะปล่อยเขาไป เกรงว่าขากลับเขาคงจำทางไม่ได้ด้วยซ้ำ เช้านี้ยังตื่นมาได้ เห็นชัดว่าได้น้องสะใภ้ดูแลเป็นอย่างดี หากท่านยายจะตำหนิก็ตำหนิหลานเถอะ”
แม้เสี่ยวเฉียวจะไม่ได้ช้อนตาขึ้น แต่ก็สัมผัสได้ว่าขณะที่เว่ยเหยี่ยนกล่าววาจา เขากวาดสายตามองมาที่นางปราดหนึ่ง
สวีฮูหยินคลี่ยิ้มกล่าว “พวกเจ้าพี่น้องไม่ได้พบกันเสียนาน นั่งดื่มสุราด้วยกันก็นับว่าสมควรอยู่แล้ว เพียงแต่คราวหน้าห้ามดื่มมากอีก จะได้ไม่เสียสุขภาพ”
เว่ยเหยี่ยนกับเว่ยเซ่าขานรับโดยพร้อมเพรียง สองพี่น้องอยู่เป็นเพื่อนสวีฮูหยิน สนทนากันเล็กน้อยเรื่องงานฉลองวันเกิดซึ่งจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน สวีฮูหยินบอกหลานทั้งสองว่าไม่ต้องฟุ่มเฟือย จัดแค่เป็นพิธีก็พอ จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกล่าวขอตัว เว่ยเหยี่ยนกับเว่ยเซ่าจากไปพร้อมพ่อบ้าน ส่วนเสี่ยวเฉียวกลับเรือนประจิม
สวีฮูหยินรั้งจูซื่อไว้ ทั้งสั่งให้เจิ้งซูถอยออกไปก่อน ในห้องเหลือแค่เพียงแม่สามีกับลูกสะใภ้สองคน
จูซื่อนั่งคุกเข่าเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง เห็นผ่านไปเนิ่นนานแม่สามีก็ไม่เอ่ยปากเสียที เนื่องจากกลัวเกรงอีกฝ่ายมาครึ่งค่อนชีวิต ยามนี้ในใจจูซื่อจึงไม่สงบนัก หลังลังเลเล็กน้อยในที่สุดก็ยิ้มแล้วพูดหยั่งเชิง “อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดท่านแม่แล้ว หลายวันมานี้คนทั้งจวนล้วนยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน ที่เรือนของข้าก็ไม่ได้อยู่ว่าง ตัวคนแม้เร่งรีบ ทว่าหัวใจกลับเบิกบานยิ่งนัก”
สวีฮูหยินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “แค่เรื่องเล็กเรื่องเดียว หากทำตามเจตนาเดิมของข้าก็ไม่ต้องเตรียมงานกันเช่นนี้ ทว่าพวกเจ้ากลับไม่ฟัง ข้าจึงต้องปล่อยไปตามใจ ลับหลังจะได้ไม่ถูกตัดพ้อว่าไม่ยอมส่งเสริมใจกตัญญูของพวกเจ้า”
จูซื่อยิ้มประจบ “เอาที่ใดมาพูดเจ้าคะ นี่เป็นใจกตัญญูอันจริงแท้ของเหล่าผู้เยาว์ เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าผงกศีรษะ กวาดตามาทางจูซื่อแล้วเอ่ยเปลี่ยนประเด็น “ข้าจำได้ว่าบุตรสาวสกุลเจิ้งตอนนี้อายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้วกระมัง หญิงสาวถึงวัยนี้หากยังไม่ออกเรือนอีก นานวันเข้าย่อมไม่ดี เจ้าก็พิจารณาดู หากมีครอบครัวที่เหมาะสมก็ตบแต่งนางไปเถิด”
จูซื่อตะลึงงัน
การแต่งงานในยุคนี้ วัยสมรสครั้งแรกของบุรุษส่วนใหญ่นั้นคือช่วงสิบสี่สิบห้าปีจนถึงสิบแปดสิบเก้าปี ส่วนสตรีคือช่วงสิบสามสิบสี่ปีถึงสิบหกสิบเจ็ดปี หญิงวัยสิบแปดสิบเก้าที่ยังไม่ออกเรือนเช่นเจิ้งฉู่อวี้ หากมิใช่มีสาเหตุอื่นเช่นเจ็บป่วย รูปโฉมอัปลักษณ์ หรือครอบครัวยากจนกระทั่งจัดหาสินเจ้าสาวไม่ไหวแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็พบเห็นได้น้อยเหลือเกิน
จูซื่อสูญเสียสามีกับบุตรชายคนโตไปตั้งแต่สิบปีก่อน ทายาทจึงเหลือเว่ยเซ่าเพียงคนเดียว นางย่อมทุ่มเทพลังใจทั้งหมดไปที่ตัวบุตรชายโทนคนนี้ เดิมทีหมายมั่นให้บุตรชายแต่งหลานสาวเป็นภรรยา ทว่าจนใจที่เจิ้งฉู่อวี้มีชาติกำเนิดไม่สูงพอ ด้วยรู้ดีว่าสวีฮูหยินไม่มีทางอนุญาตเด็ดขาด จูซื่อจึงถอยมาเรียกร้องลำดับรองลงไปแทน หวังที่จะให้บุตรชายรับเจิ้งฉู่อวี้เป็นอนุ เช่นนี้ไม่เพียงเกี่ยวดองได้ถึงสองชั้น ตนยังสามารถเก็บหลานสาวไว้ข้างกายตลอดไปได้อีกด้วย
ทว่าขณะที่เจิ้งฉู่อวี้อายุมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้กลับไม่มีความคืบหน้าเสียที ปีสองปีมานี้จูซื่อจึงยิ่งร้อนรนกระวนกระวาย อดไม่ได้ที่จะเร่งรัดเว่ยเซ่าหนักขึ้น กลับนึกไม่ถึงว่าบุตรชายจะไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย กลับมาคืนแรกก็ทำเรื่องเช่นนั้นออกมา ทำให้นางเสียหน้าอย่างมากต่อหน้าข้ารับใช้
จูซื่อไม่ตำหนิที่บุตรชายหักหน้าตน ทว่ากลับเลือกโยนความโกรธแค้นทั้งหมดไปที่หญิงสกุลเฉียว เดิมทีหลายวันที่ผ่านมาก็ยังหงุดหงิดไม่หาย เช้านี้ยังเห็นบุตรชายกับลูกสะใภ้ตัวดีชักช้าไม่มาเสียที ใจจึงคิดว่าบุตรชายถูกหญิงสกุลเฉียวนั่นล่อลวงด้วยรูปโฉมไปแล้ว ถึงได้ละโมบหาความสำราญจนตื่นสาย ความอึดอัดขัดใจยิ่งทบทวี กระทั่งชั่วครู่ก่อนนางก็ยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่ ยามนี้จู่ๆ ได้ยินว่าที่สวีฮูหยินรั้งตนไว้ก็เพื่อจะพูดเรื่องหลานสาว หัวใจจึงพลันเต้นตึกตัก ใบหน้าเผยแววลำบากใจ
“เหตุใดจึงไม่พูดจาเล่า เจ้าหาครอบครัวที่เหมาะสมไม่ได้ หรือว่าไม่อาจจัดเตรียมสินเจ้าสาว หากเจ้าไม่สะดวกในเรื่องนี้ ข้าจะหาเจ้าบ่าวให้เอง สินเจ้าสาวข้าก็จะเป็นคนออกให้”
ขณะที่จูซื่อพูดไม่ออกก็ได้ยินสวีฮูหยินเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้อย่างไม่ช้าไม่เร็ว นางช้อนตาขึ้นและสบเข้ากับแววตาของอีกฝ่ายพอดี พอเห็นดวงตาข้างเดียวของแม่สามีเพ่งมองตนอยู่ก็ใจฝ่อจนรู้สึกร้อนตัว นางจึงรีบฝืนยิ้มกล่าว “จะเป็นเพราะสาเหตุนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ท่านแม่ก็น่าจะรู้ว่าสองปีมานี้กระทั่งบ่าวในจวนยังมองฉู่อวี้เป็นคนของจ้งหลินมาตลอด หากตอนนี้แต่งนางให้ผู้อื่น เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะกระมัง…”
สวีฮูหยินกล่าว “พวกบ่าวไม่รู้ความ เจ้าในฐานะนายหญิงใหญ่ของสกุลเว่ยไม่อบรมก็ช่างเถิด ไยจึงถูกพวกบ่าวจูงจมูกได้อีก ฐานะครอบครัวเช่นพวกเราต่อให้บุรุษจะรับอนุก็ยังต้องเข้าพิธี แต่นี่อย่างแรกไร้ซึ่งพิธีการ อย่างที่สองไร้ซึ่งศักดิ์ฐานะ แล้วบุตรสาวสกุลเจิ้งจะกลายมาเป็นคนของจ้งหลินได้อย่างไรกัน”
จูซื่อเพียงเอ่ยแก้ตัวโดยไม่กล้าสบตาสวีฮูหยินตรงๆ “ท่านแม่คงยังไม่ทราบ เรื่องนี้ข้าเคยพูดกับจ้งหลินแล้ว จ้งหลินเองก็ไม่ได้บอกปัด เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ข้างนอกมาตลอด ยามนี้เพิ่งกลับจวนและเพิ่งตบแต่งภรรยา หากเอ่ยเรื่องนี้ในทันทีย่อมไม่เหมาะ เดิมทีข้าคิดว่ารออีกสักพักก็จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
สวีฮูหยินแค่นเสียงดังฮึ “แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าคืนแรกที่จ้งหลินกลับมา มีบ่าวรุ่นป้าคนหนึ่งไปแอบฟังอยู่นอกห้องนอนเรือนประจิม ทำเอาจ้งหลินเดือดดาลกระทั่งฟันกรอบประตูจนเสียหาย บ่าวรุ่นป้าคนใดจะกล้าล่วงเกินนายถึงขั้นนี้กัน ข้าอายุมากแล้ว พอแก่ตัวก็เกียจคร้านเหนื่อยหน่าย ถึงได้มอบหมายทุกเรื่องในจวนทางนี้ให้แก่เจ้า แต่เจ้ากลับอบรมบ่าวเช่นนี้น่ะหรือ”
ใบหน้าของจูซื่อเกลื่อนด้วยความอับอาย นึกไม่ถึงว่าสวีฮูหยินจะรู้เรื่องนี้ด้วย นางก้มหน้างุดไม่กล้าส่งเสียงอีก
“ข้ารู้ หลายปีที่ผ่านมาไม่ง่ายเลยสำหรับเจ้า ข้าเองก็ล้วนเห็นอยู่ในสายตา” น้ำเสียงของสวีฮูหยินอ่อนลง “เหตุที่เจ้ารั้งบุตรสาวสกุลเจิ้งไว้ในจวนก็เกิดจากความรักหวงแหน ทว่ารักก็ส่วนรัก ขืนเจ้ายังเลอะเลือนเช่นนี้ต่อไปอีก มีแต่จะส่งผลร้ายต่อเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของลูกผู้หญิง ที่เช้านี้ให้เจ้าอยู่สนทนาด้วยก็ไม่มีเจตนาอื่น เพียงอยากเตือนสติเจ้าสักประโยคเท่านั้น”
จูซื่อโขกศีรษะคำนับ ก่อนเอ่ยทั้งน้ำตาคลอ “ลูกสะใภ้รู้ว่าท่านแม่หวังดี กลับไปแล้วจะทำตามที่ท่านแม่สั่ง ข้าจะหาครอบครัวที่เหมาะสมแก่ฉู่อวี้ ไม่กล้าประวิงเวลาอีกแล้ว”
ใบหน้าของสวีฮูหยินเผยรอยยิ้มบางๆ ผงกศีรษะกล่าว “เจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าก็วางใจเสียที ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าไปเถิด”
จูซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก่อนกล่าวขอตัวอย่างพินอบพิเทา