ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 8
สามวันต่อมา วันเกิดของสวีฮูหยินก็เวียนมาถึง
ด้วยฐานะปัจจุบันของสกุลเว่ยในแดนเหนือ วันเกิดอายุครบหกสิบปีของสวีฮูหยินจึงไม่เพียงแต่มีคนใหญ่คนโตจำนวนมากในมณฑลโยวโจวที่รู้สึกเป็นเกียรติเมื่อได้รับเทียบเชิญมาร่วมอวยพรวันเกิดที่จวน หากแต่ผู้ที่อยู่นอกมณฑลโยวโจวก็เช่นกัน บรรดาเจ้าเมืองละแวกใกล้เคียง อาทิ เมืองป๋อไห่ เมืองเหรินชิว เมืองเล่าหลิง ต่างก็ไม่ย่อท้อต่อหนทางยาวไกล รุดเดินทางมาร่วมอวยพรวันเกิดถึงเมืองอวี๋หยางด้วยตนเอง สำหรับผู้ที่ไม่อาจมาได้ด้วยตนเองก็จะส่งคนนำของกำนัลมาแสดงความยินดีแทน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากเสียจนนับไม่ไหว
เนื่องจากสวีฮูหยินเดิมมาจากแคว้นจงซาน หลิวตวนผู้เป็นจงซานอ๋องคนปัจจุบันนับดูแล้วก็เป็นหลานห่างๆ ของนาง ดังนั้นถึงตัวเขาจะไม่มา แต่ก็ส่งทูตเป็นตัวแทนมาร่วมอวยพร วันนี้ยังมีราษฎรแห่กันมาอย่างล้นหลามถึงหน้าประตูจวนสกุลเว่ย คุกเข่ากราบคารวะสวีฮูหยินผ่านประตูเนื่องในวันเกิด สวีฮูหยินรู้ข่าวนี้ก็ตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง นางนำพาเว่ยเซ่ากับเว่ยเหยี่ยนออกมาคารวะตอบราษฎรถึงนอกประตูใหญ่ด้วยตนเอง บรรยากาศอีกมากมายของการเฉลิมฉลองอันใหญ่โตยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
คัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วบนผืนผ้าไหมที่เสี่ยวเฉียวคัดลอกเป็นของขวัญวันเกิดนั้นดูจะเป็นที่ชื่นชอบของสวีฮูหยินมากทีเดียว
ยุคนี้แม้จะมีกระดาษใช้กันแล้ว ทว่ากระดาษกลับมีเนื้อหยาบและไม่คงทน หนังสือที่เป็นทางการยังคงบันทึกลงบนไม้ไผ่กับผ้าไหมเป็นหลัก หนังสือไม้ไผ่นั้นหนักและเทอะทะเกินไป หากจะนำมาใช้เพื่อคัดลอกคัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วสักฉบับคงต้องใช้เกวียนลากถึงจะนำมาได้ หนังสือผ้าไหมนี้มีน้ำหนักเบา ทั้งขนย้ายสะดวก ราคาก็สูง ต่อให้ไม่เอ่ยถึงคุณภาพของวัสดุ ลำพังเพียงแค่ตอนคัดลอกก็ไม่อาจเลินเล่อแม้สักขีดพู่กันเดียวได้แล้ว หากผิดพลาดไปสักหนึ่งตัวอักษร ผ้าไหมทั้งผืนก็จำต้องทิ้งไปทันที นับว่าสิ้นเปลืองเวลาการคัดลอกอย่างยิ่ง
คัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วที่เสี่ยวเฉียวมอบให้กับสวีฮูหยินฉบับนี้เข้ากรอบลวดลายงามสง่า ตัวอักษรดูวิจิตรแปลกตา เนื้อความยิ่งเป็นพุทธคัมภีร์ตรงใจสวีฮูหยิน พอรู้ว่าหลานสะใภ้เป็นผู้คัดลอกเองกับมือ สวีฮูหยินจึงส่งให้ผู้คนรอบข้างได้ชื่นชมกันเป็นพิเศษ ในบรรดาแขกเหรื่อเหล่านั้นมีบุรุษจากเมืองป๋อไห่ผู้หนึ่งนามว่าเกาเหิง ซึ่งเป็นจิตรกรและลิปิกรเลื่องชื่อในยุคนี้ เขาติดตามเจ้าเมืองป๋อไห่มาร่วมอวยพรวันเกิดสวีฮูหยินถึงเมืองอวี๋หยาง เมื่อได้เห็นอักษรบนผ้าไหมก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยชมว่าตัวอักษรนี้เข้มแข็งเปี่ยมเสน่ห์ งามสง่าโดดเด่น ส่วนประกอบของเส้นขีดเป็นระเบียบรัดกุม มีกลิ่นอายของผู้เป็นเลิศในเชิงอักษร
เกาเหิงเป็นลิปิกรชั้นครู ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านอักษรและภาพวาด สันทัดการสลักอักษรบนหินและโลหะ อีกทั้งยังแตกฉานในการดนตรี กระทั่งได้รับคำยกย่องว่าเป็น ‘ยอดมงกุฎแห่งป๋อไห่’ แม้แต่เขายังเอ่ยชมถึงเพียงนี้ คนอื่นที่เหลือย่อมไม่ตระหนี่ในคำยกยอกันอีก สวีฮูหยินเบิกบานใจยิ่ง รับผืนผ้าไหมกลับมาส่งให้จงเอ่ากับมือ ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายนำไปเก็บไว้อย่างดี
ยามเที่ยง สกุลเว่ยจัดงานเลี้ยงที่โถงด้านหน้า แขกเหรื่อคับคั่งราวเมฆบนท้องฟ้า ในเครือญาติสกุลเว่ยมีบุรุษผู้หนึ่งที่มีศักดิ์เป็นอาของเว่ยเซ่า สิบปีก่อนเขาได้ติดตามเว่ยจิงไปบุกตีหลี่ซู่ เพื่อคุ้มกันเว่ยเซ่าฝ่าวงล้อมหนีออกมาให้ได้ ร่างของเขาจึงถูกฟันไปหลายดาบ เขากลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะสิ้นใจโดยไม่อาจยื้อต่อไปได้ ภรรยาม่ายกับบุตรชายกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจึงล้วนได้รับการดูแลจากสวีฮูหยินเป็นอย่างดี ยามนี้เด็กหนุ่มที่อายุเท่าเว่ยเซ่าคนนั้นเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งมีครอบครัวและงานที่มั่นคง ปีก่อนเขาเพิ่งได้บุตรชายมาหนึ่งคน จะว่าไปเรื่องนี้ช่างบังเอิญนัก บุตรชายของเขาก็เกิดวันเดียวกับสวีฮูหยิน วันนี้จึงมีอายุครบหนึ่งขวบพอดี
ด้วยใจที่เมตตาเอ็นดู สวีฮูหยินจึงอยากให้เจ้าหนูคนนี้ได้หน้าไปด้วย เมื่อสองวันก่อนนางจึงเรียกจางซื่อผู้เป็นย่าของเด็กมาหารือเรื่องจัดพิธีครบหนึ่งขวบ สุดท้ายจึงตกลงใจอุ้มเจ้าหนูมาฉลองพร้อมกันด้วยเสียเลย จะได้เพิ่มเรื่องครึกครื้นน่ายินดียิ่งขึ้น
แม้สวีฮูหยินจะบอกว่าทำเพื่อเพิ่มเรื่องน่ายินดี แต่ผู้เป็นย่าของเด็กก็นับเป็นคนรู้ความ รู้ดีว่านี่คือเกียรติอย่างสูงที่สวีฮูหยินมอบให้ มีเหตุผลใดที่ตนจะไม่ยินยอม จางซื่อจึงกลับบ้านไปเตรียมการจนครบถ้วน พอถึงยามเที่ยงของวันนี้ ท่ามกลางแขกเหรื่อเต็มโถง เจ้าหนูที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสันตระการตาก็ถูกมารดาบังเกิดเกล้าอุ้มออกมาวางนั่งบนตั่ง
รอจนเสร็จพิธีจวาโจวและยกเส้นหมี่อายุยืนมาขึ้นโต๊ะแล้ว งานเลี้ยงก็จะเริ่มต้นขึ้น
‘จวาโจว’ เป็นชื่อเรียกในยุคหลัง ยุคนี้ยังเรียกว่า ‘ซื่อเอ๋อร์’ แรกเริ่มเป็นที่นิยมแค่ในแดนเจียงหนาน ทว่าบัดนี้กลับเริ่มเป็นที่นิยมในแดนเหนือมากขึ้น แม้ชื่อเรียกจะต่างแต่โดยรวมยังคงคล้ายคลึงกัน ต่างแฝงไว้ซึ่งความคาดหวังที่ผู้อาวุโสมีต่อผู้เยาว์
เจ้าหนูหน้าตาน่าเอ็นดูรูปร่างแข็งแรงสวมอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งร่าง เขาถูกมารดาวางนั่งบนตั่งโดยมีแม่นมยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง บนตั่งบริเวณที่ใกล้กับเขามากที่สุดจัดวางหนังสือไม้ไผ่ ลูกศรคันธนู และตราประทับ ถัดออกไปคือเปลือกหอยมุก งาช้าง และนอแรด ไกลออกไปตรงบริเวณที่เขาเอื้อมไม่ถึงคือพวกอาหารกับของเล่น หลังจากวางเด็กลง แม่นมก็คอยหยอกเย้า ชักจูงให้เขาไปคว้าจับสิ่งของข้างกาย
วันนี้มีแขกเหรื่อจำนวนมาก หากมิใช่คหบดีร่ำรวยก็เป็นพวกขุนนางชั้นสูง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น ก่อนที่จะมาถึงงาน คนในครอบครัวก็ป้อนเจ้าหนูจนอิ่มแต่แรก อีกทั้งยังหัดให้เขาคว้าจับหนังสือไม้ไผ่กับลูกศรคันธนูซ้ำอยู่หลายหน ตอนซ้อมที่บ้านนั้นราบรื่นดียิ่ง ไม่คิดว่าพอจู่ๆ มาอยู่ในโถงอันหรูหรา รอบทิศมีแต่คนไม่รู้จักแล้ว เจ้าหนูจะนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้เพราะหวาดกลัวหรือกินอิ่มจนง่วงนอนกันแน่ ไม่ว่าแม่นมจะหยอกเย้าอย่างไร เจ้าหนูก็ไม่ไปคว้าจับสิ่งของตรงหน้าเสียที ผู้เป็นมารดาเห็นเช่นนี้จึงรีบเดินไปหยอกเย้าชักจูงเพิ่มอีกแรง ทว่าเจ้าหนูก็ยังไม่จับสิ่งใดอยู่นั่นเอง นั่งหน้าตาทึ่มทื่อไม่ยอมกระดุกกระดิก
เดิมสวีฮูหยินมีเจตนาดี คิดว่าเกิดวันเดียวกันถือเป็นวาสนาที่หาได้ยากยิ่ง นางจึงอยากให้เจ้าหนูได้รับเกียรตินี้ร่วมด้วย แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าหนูนี่จะตื่นคน ผิดจากที่คาดหมายในตอนแรกโดยสิ้นเชิง ทั้งแขกเหรื่อเต็มโถงก็กำลังรออยู่ ต้องให้เจ้าหนูจับสิ่งของเสร็จก่อน งานเลี้ยงถึงจะเริ่มต้นขึ้นได้
สถานการณ์เริ่มประดักประเดิด
สวีฮูหยินเห็นมารดาเด็กเผยสีหน้ากลัดกลุ้มรุ่มร้อนใจ แขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาร่วมงานก็ทยอยเงียบเสียงสนทนา พากันมองดูเจ้าหนูที่นั่งซึมอยู่บนตั่ง สวีฮูหยินเริ่มนึกเสียใจขึ้นมาไม่น้อย เมื่อแรกตนไม่น่าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเลย เพราะมีเจตนาดีแท้ๆ ตอนนี้กลับทำให้งานเลี้ยงหมดความครึกครื้นไป เห็นมารดาเด็กร้อนใจจนเสียงดุขึ้นทุกที กลายเป็นยิ่งทำให้เจ้าหนูตกใจนิ่งอึ้งมากขึ้นและเริ่มมีทีท่าว่าจะร้องไห้ สวีฮูหยินมองไปทางจงเอ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างของตน ขณะคิดจะบอกใบ้ให้อีกฝ่ายหาข้ออ้างอุ้มเจ้าหนูลงไปก็ได้ยินเสียงสตรีที่อยู่ด้านหลังตนเอ่ยขึ้นก่อน “ในสายตาไร้สรรพสิ่ง ในหัวใจมีร้อยนที ตั้งตรงเช่นแผ่นผา ไร้กิเลสย่อมเที่ยงธรรม เจ้าหนูคนนี้เมื่อเติบใหญ่ต้องเป็นคนมองการณ์ไกล มิใช่ชนชั้นสามัญแน่”
หัวใจของสวีฮูหยินพลันผ่อนคลายลง หันหน้าไปมองผู้ที่เอ่ยวาจาก็พบว่าเป็นเสี่ยวเฉียวที่ตามมารับใช้อยู่ด้านหลังของตน นึกไม่ถึงว่านางจะช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้ตนได้ทันท่วงที อีกทั้งสถานการณ์อันยุ่งยากนี้ยังแก้ไขได้เข้าทียิ่ง เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศอันประดักประเดิดก็คลี่คลายด้วยความสุขุมเยือกเย็นทันที
บรรดาแขกเหรื่อต่างตะลึงงันไปชั่วอึดใจก่อนมีท่าทีตอบสนอง พากันผงกศีรษะเอ่ยคล้อยตาม ในที่สุดมารดาเด็กก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ประดับยิ้มบนใบหน้า รีบอุ้มเจ้าหนูพามาใกล้สวีฮูหยินแล้วโขกศีรษะอวยพรวันเกิดนาง
สวีฮูหยินใบหน้าเปื้อนยิ้ม เรียกจงเอ่าให้อุ้มเจ้าหนูมานั่งบนตักของตน เด็กน้อยดูจ้ำม่ำขาวน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่น่าจะแค่ตกใจเท่านั้น สวีฮูหยินจึงสั่งให้โถงชั้นนอกเริ่มงานเลี้ยง จากนั้นก็กวาดดวงตาข้างเดียวไปทางเสี่ยวเฉียว ผงกศีรษะให้นางเล็กน้อย
แม้เป็นเพียงการผงกศีรษะครั้งเดียว ทว่าเสี่ยวเฉียวมองออกถึงแววชื่นชมในสายตาของสวีฮูหยิน สิ่งนี้ทำให้ใจนางรู้สึกมั่นคงขึ้นไม่น้อย
นับแต่แรกเห็นท่านย่าของเว่ยเซ่า เสี่ยวเฉียวก็รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งมีดวงตากระจ่างเหลือเพียงข้างเดียวผู้นี้ชวนให้เกิดความรู้สึกที่คาดเดาไม่ถูก หากท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อนางใกล้เคียงกับจูซื่อหรือเว่ยเซ่าก็ไม่มีอันใดต้องพูดอีก เรื่องแต่งนางเป็นสะใภ้ก็เพราะประโยชน์จากมณฑลเหยี่ยนโจว ทว่าสวีฮูหยินนั้นแปลกออกไป
เสี่ยวเฉียวย่อมเคยได้ยินเรื่องที่สวีฮูหยินปกครองสกุลเว่ยในอดีตมาเช่นกัน คนที่ปกครองคนทั้งตระกูลได้จะต้องเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย และเพราะเหตุนี้เองถึงทำให้สาวน้อยยิ่งรู้สึกกังขาที่อีกฝ่ายตัดสินใจให้เว่ยเซ่าแต่งกับนางซึ่งเป็นบุตรสาวในตระกูลของศัตรู
ทว่าตนจะขบไม่แตกก็ไม่เป็นไร ขอเพียงสวีฮูหยินดีต่อนางเป็นพอ
สวีฮูหยินปฏิบัติต่อนางย่อมนับว่าดี โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับพฤติกรรมของเว่ยเซ่าและมารดาของเขามาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เรียกได้ว่าไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์จุติลงมา มีรัศมีธรรมวงหนึ่งอยู่เหนือศีรษะ ย่อมทำให้เสี่ยวเฉียวประหม่าทันทีที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันนี้
ทว่าที่ผ่านมาความเมตตานั้นจะจำกัดอยู่เพียงท่าทีทั่วไปที่ผู้อาวุโสมีต่อผู้เยาว์เท่านั้น การรู้จักประมาณตนเพียงเท่านี้ เสี่ยวเฉียวนับว่ายังมีอยู่
จนกระทั่งเมื่อครู่นี้เอง ดูเหมือนเรื่องราวจะมีความเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นเล็กน้อย
เนื่องจากประกายความคิดที่ผุดวาบขึ้น เสี่ยวเฉียวจึงคลี่คลายสถานการณ์อันยุ่งยากใจเมื่อครู่นี้ลงได้ ในสายตาที่เจือแววชมเชยยามสวีฮูหยินหันหน้ากวาดมองตนนั้น เสี่ยวเฉียวมองออกว่าอีกฝ่ายน่าจะมีความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
ถามว่านางไม่ดีใจหรือ
ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
นางดีใจอย่างยิ่งทีเดียว
ความจริงแล้วกระทั่งยามนี้นางยังนึกไม่ออกเลยว่าอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าจะทำอย่างไร
หากทุกสิ่งดำเนินไปตามรอยของชาติก่อน ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เว่ยเซ่าผู้นี้จะลงมืออย่างอำมหิตกับนางและสกุลเฉียว
ก่อนหน้านี้ชุนเหนียงโน้มน้าวให้เสี่ยวเฉียวโอนอ่อนปรนนิบัติเว่ยเซ่า พูดให้ชัดเจนก็คือให้นางใช้รูปโฉมทำให้เขาลุ่มหลง อาศัยสิ่งนี้มาเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
ชุนเหนียงมีความเชื่อมั่นต่อนางอย่างมืดบอดพร้อมความคาดหวังที่เปี่ยมล้น แต่บอกตามตรงว่านางไม่ได้มีความมั่นใจในตนเองเลยแม้แต่น้อย
บางทีความงามของนางอาจสามารถเกี่ยวกระหวัดหัวใจของบุรุษส่วนใหญ่ในใต้หล้าได้ ทว่ากับเว่ยเซ่าผู้นี้ ดูเหมือนเขาจะจัดอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยที่มีภูมิต้านทาน
เขาแค้นนางอย่างแท้จริง หรือพูดอีกอย่างก็คือ…คนสกุลเฉียวทุกคน
เสี่ยวเฉียวไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากตนเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าเขาจนเปลือยเปล่า แล้วล่อใจเขาด้วยเรือนร่าง เขาจะสรรหาถ้อยคำอันเจ็บแสบเช่นไรมาหยามหมิ่นนางบ้าง งานที่มีความยากระดับสูงและมีความเป็นไปได้มากที่จะลงเอยด้วยการหาความอัปยศใส่ตนเช่นนี้ ถึงวันพรุ่งนี้ต้องศีรษะหลุดจากบ่า แต่ไม่ว่าจะทำอะไรนางก็จำเป็นต้องใคร่ครวญให้ถ้วนถี่เสียก่อน ในเมื่อทางนี้ยังหาทางออกไม่ได้ชั่วคราว นางก็มีแต่ต้องลงแรงมาทางสวีฮูหยินก่อน
ตอนนี้ดูท่าว่าดวงของนางจะไม่เลวทีเดียว กระทั่งสวรรค์ก็ยังช่วยเหลือนาง
เสี่ยวเฉียวอดไม่ได้ที่จะชมชอบเจ้าหนูจ้ำม่ำที่อยู่ในอ้อมกอดของสวีฮูหยินยามนี้
เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคตัวน้อยของน้าจริงๆ!
พอถูกอุ้มลงจากที่นั่งที่เขาต้องแสดงให้พวกผู้ใหญ่ดู เจ้าหนูจ้ำม่ำก็เหมือนถูกคลายจากคาถาสะกดร่าง มีชีวิตชีวาขึ้นทันตาเห็น เบิกสองตาที่กลมดิกมองซ้ายทีขวาที ท่าทางน่าเอ็นดูเป็นที่สุด เหล่าสตรีที่อยู่ในโถงจัดเลี้ยงต่างเข้ามารุมล้อมพากันแย่งชมเปาะและผลัดกันอุ้มเจ้าหนู
“เจ้าก็มาอุ้มสักหน่อยสิ” สวีฮูหยินพลันยิ้มพูดกับเสี่ยวเฉียว
ในยุคนี้มีธรรมเนียมผลัดกันอุ้มเด็กหลังพิธี ‘ซื่อเอ๋อร์’ โดยเฉพาะหญิงที่อยากได้ทายาทในเร็ววัน กล่าวกันว่าจะได้มีโชคและให้กำเนิดบุตรได้สมใจ
สตรีคนอื่นๆ ล้วนหัวเราะคิกคัก ต่างหันหน้าไปมองเว่ยเซ่าที่กำลังทักทายแขกเหรื่ออยู่หน้าประตูโถงจัดเลี้ยง
ดูเหมือนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านในแล้วเช่นกัน เขาออกอาการวอกแวกอยู่บ้าง สองตาเหลือบมองเสี่ยวเฉียวเป็นพักๆ
มารดาของเจ้าหนูจ้ำม่ำอุ้มบุตรชายส่งมาใกล้มือเสี่ยวเฉียวด้วยตนเอง
เสี่ยวเฉียวชำเลืองมองเว่ยเซ่าที่อยู่หน้าประตู เผอิญสบเข้ากับสายตาที่เขากำลังมองนางพอดี
ดวงหน้าของสาวน้อยเผยรอยยิ้มหยาดเยิ้มเอียงอายอย่างที่ภรรยาพึงมี นางรับเจ้าหนูจากมือผู้เป็นมารดาอย่างระมัดระวัง พออุ้มได้มั่นคงก็หยอกเย้าเจ้าหนูเล็กน้อย
เจ้าหนูจ้ำม่ำไว้หน้าเสี่ยวเฉียวอย่างยิ่ง ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนผู้คนรอบข้างพากันหัวเราะตาม
“ฮูหยินผู้เฒ่า เวลานี้ของปีหน้าท่านก็จะได้อุ้มเหลนแล้วนะเจ้าคะ!”
สตรีนางหนึ่งยิ้มละไม เอ่ยเสริมบรรยากาศอันน่ายินดีด้วยเสียงกังวาน
เสี่ยวเฉียวเขินอายไม่พูดจา เพียงส่งเจ้าหนูคืนแก่มารดาแล้วก็เหลือบมองเว่ยเซ่าอีกหน
สีหน้าเว่ยเซ่าดูแปลกพิกลนิดๆ ก่อนที่จะมีคนเรียกเขาจากเชิงบันไดหน้าประตูพอดี ชายหนุ่มชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่งก็หมุนกายเดินไปอย่างรวดเร็ว