ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 8
ตกค่ำ จวนสกุลเว่ยจุดโคมสว่างไสวไปทั่ว
หลังจากคึกคักมาตลอดช่วงกลางวัน พอถึงยามนี้สวีฮูหยินซึ่งอายุมากแล้วย่อมต้องอ่อนเพลีย หลังออกหน้าพอเหมาะแก่โอกาส ตอนนี้สวีฮูหยินจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่เรือนอุดรก่อน แขกสตรีก็ทยอยแยกย้ายตามไป เหลือแต่การสังสรรค์ของเหล่าบุรุษ
เว่ยเซ่าคอยรับส่งแขก ดูแลงานมาตั้งแต่เช้า จนบัดนี้ใกล้ถึงปลายยามซวี ก็ยังไม่มีเวลากระทั่งจะกินอาหารค่ำ เขาเดินไปส่งแขกจากแดนไกลหลายคนออกจากจวน ขณะเร่งฝีเท้าย้อนกลับมาถึงเชิงบันไดประตูชั้นใน พลันได้ยินเสียงคนเรียกดังขึ้นที่เบื้องหลัง
“เว่ยโหวโปรดรั้งฝีเท้า”
ชายหนุ่มเหลียวไปมอง ก่อนชะงักฝีเท้าเมื่อจำได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นขุนนางที่มาพร้อมกับทูตของจงซานอ๋อง
ขุนนางผู้นั้นเดินมาถึงเบื้องหน้าเว่ยเซ่าแล้วคำนับอย่างนอบน้อม เว่ยเซ่าคารวะตอบตามมารยาท อีกฝ่ายเอ่ยประจบสองสามประโยค เห็นเว่ยเซ่าเหมือนไม่มีแก่ใจจะฟังสักเท่าใดจึงยิ้มกล่าว “คาดว่าเว่ยโหวคงจำข้าน้อยไม่ได้แล้ว หลายปีก่อนข้าน้อยเคยทำงานให้สกุลซูแห่งจงซาน ตอนที่อวี้โหลวฮูหยินยังไม่ออกเรือน ข้าน้อยมีวาสนาเคยได้พบเว่ยโหวหลายครั้ง ไม่ทราบเว่ยโหวยังพอจำได้หรือไม่”
เว่ยเซ่าชะงักไปเล็กน้อย เพ่งมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง นิ่งอยู่ชั่วอึดใจจึงเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดหรือ”
เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่าปลอดคน ขุนนางผู้นั้นจึงเดินมาประชิดอีกก้าว หยิบถุงหอมซึ่งผูกปากถุงด้วยริ้วผ้าต่วนใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ ยื่นส่งด้วยสองมือพร้อมเอ่ยเสียงเบา “เว่ยโหวคงยังไม่ทราบ ข้าน้อยติดตามท่านทูตมาเยือนเมืองอวี๋หยางครานี้ ทั้งมาร่วมอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งได้รับการไหว้วานให้มาส่งสาร พออวี้โหลวฮูหยินได้ยินข่าวดีเรื่องงานมงคลของเว่ยโหวก็รู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก เดิมทีครานี้ต้องการมาที่อวี๋หยางด้วยตนเอง ทั้งมาเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและมาแสดงความยินดีกับเว่ยโหวที่เพิ่งผ่านพิธีมงคล ทว่าจนใจที่ตัวอยู่เมืองลั่วหยาง งานประจำวันรัดตัวจนไม่อาจปลีกเวลามาได้ เมื่อรู้ว่าข้าน้อยจะมาอวี๋หยางจึงให้ข้าน้อยนำสารนี้มาแสดงความยินดีแทน”
เว่ยเซ่าไม่พูดจาและไม่เคลื่อนไหว ทำเพียงมองถุงหอมผ้าต่วนสีม่วงซึ่งปักลายวิจิตรประณีตในมือของอีกฝ่าย
เห็นชายหนุ่มไม่รับของ ขุนนางผู้นั้นจึงแอบช้อนตาขึ้นเหลือบมองแวบหนึ่ง
หน้าประตูแขวนโคมสองดวง พอดีกับที่มีสายลมราตรีไล้ผ่านตัวโคม ก่อกวนให้แสงสีแดงส่ายไหว ดวงหน้าของเว่ยเซ่าจึงฉาบสะท้อนด้วยแสงสีแดงชั้นบางๆ ที่ไม่อยู่นิ่งนั้น ดูเหมือนเขาเหม่อลอยเล็กน้อย แววตาหม่นแสงหลอมกลืนกับสีของรัตติกาลอันเวิ้งว้างที่อยู่รายล้อม มองเห็นไม่ชัดเจนนัก
ขุนนางผู้นั้นบรรจงวางถุงหอมไว้บนบันได ค้อมกายให้เว่ยเซ่าก่อนถอยหลังหลายก้าว ขณะรีบหมุนตัวเพื่อเตรียมจากไปก็พลันได้ยินเสียงเว่ยเซ่าดังขึ้น “นำคำพูดของข้าไปแจ้งว่าเว่ยเซ่าขอบคุณในเจตนาดีของอวี้โหลวฮูหยิน แต่สิ่งอื่นมิจำเป็น”
สุ้มเสียงของเขาค่อนข้างทุ้มหนัก พูดจบก็ก้าวยาวๆ ผ่านถุงหอมที่อยู่บนบันไดจากไป
เว่ยเซ่าส่งแขกคนสุดท้ายเสร็จก็บังเอิญพบเว่ยเหยี่ยนที่เพิ่งส่งแขกกลับมาเช่นกัน หลังมอบหมายงานส่วนที่เหลือแก่พ่อบ้านแล้ว ทั้งสองสนทนากันสองสามประโยคก็กล่าวลาแยกย้ายไป
เว่ยเหยี่ยนออกจากประตูใหญ่จวนสกุลเว่ย รับแส้ม้าจากมือจางหลันผู้ติดตามคนสนิทที่อยู่กับเขามาหลายปี ก่อนจะพลิกกายขึ้นม้า เมื่อกลับถึงเรือนพักก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
วุ่นวายมาตลอดกลางวันจึงยังไม่ได้กินสิ่งใดเพื่อเติมท้องให้อิ่ม เว่ยเหยี่ยนเข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเป็นสวมชุดที่หลวมสบายเดินออกมา รินสุราดื่มคนเดียวอยู่ใต้หน้าต่าง พอดื่มสุราลงไปครึ่งป้าน เบื้องหน้าสายตาก็ผุดภาพของหญิงสกุลเฉียวขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว
ในโถงจัดเลี้ยงตอนกลางวัน นางงดงามเฉิดฉายไร้ผู้ใดเปรียบ นึกไม่ถึงว่านอกจากเลอโฉมแล้วนางยังมีสติปัญญาเหนือใคร ชวนให้เขาประหลาดใจไม่น้อย ตกค่ำตอนไปส่งสวีฮูหยินกลับเรือนอุดร นางก็คอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายสวีฮูหยิน ยามนั้นแสงไฟบนระเบียงทางเดินไม่สว่างนัก ซ้ำนางยังยืนอยู่ไกลท่ามกลางสตรีกลุ่มหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังเห็นนางได้ในปราดเดียว อาศัยสีรัตติกาลสลัวลอบมอง จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจเบนสายตาจากไปได้ เพียงแต่หญิงสกุลเฉียวซึ่งราวเทพธิดาที่ไม่อาจลบหลู่ผู้นั้น ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ได้ชายตาแลมาทางเขาเลยสักนิด
ท้องไส้ของเว่ยเหยี่ยนร้อนผ่าวขึ้นทีละน้อย ในกายคล้ายมีไฟซึ่งไม่รู้ที่มาจุดปะทุขึ้น สุราแม้อยู่เบื้องหน้า ทว่าปากคอกลับแห้งผาก ครั้นเบือนหน้าไปเห็นนางบำเรอคนโปรดที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างมองตนด้วยสายตาทอดไมตรีหยาดเยิ้ม เว่ยเหยี่ยนก็ยกยิ้มพลางผลักจอกสุราออก ยื่นมือฉุดร่างนางมานั่งบนตักของตน พริ้มตาก้มหน้าลงสูดหายใจลึกล้ำ ดอมดมกลิ่นกล้วยไม้อ่อนจางที่แผ่กำจายจากในปกเสื้อตรงหลังคอของนางบำเรอ ในห้วงความคิดผุดภาพนั้นอีกครา ภาพของลำคอขาวพิสุทธิ์ดุจหยกที่เผยออกมายามโฉมสะคราญหันแผ่นหลังให้ตนเมื่อแรกพบที่ร้านเข้ากรอบ ผิวกายของนางแสนอ่อนเยาว์ ถึงขั้นมองเห็นขนอ่อนดุจขนเด็กแรกเกิดแต่ละเส้นบนใบหู ทั่วกายของชายหนุ่มพลันร้อนแผดเผายากทานทน เขาสะกดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นมือจากด้านหลังมากระชากเปิดสาบเสื้อของนางบำเรอคนโปรดในคราวเดียว เคล้นคลึงความอวบอิ่มที่อยู่ภายในอย่างหนักหน่วง
นางบำเรอไม่รู้ว่าเหตุใดราตรีนี้เพิ่งเริ่มต้นเว่ยเหยี่ยนก็ดุดันถึงเพียงนี้ นางถูกเขาบีบเคล้นจนรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่กล้าต่อต้าน ทำได้เพียงแสร้งเปล่งเสียงชวนเสียวซ่านวิญญาณเพื่อเอาอกเอาใจเขา
สีหน้าของเว่ยเหยี่ยนดุดัน เขาวางนางบำเรอที่ถูกเปลื้องอาภรณ์กับขอบโต๊ะ ทันทีที่เลิกชายเสื้อของตนขึ้น เขาก็หยุดชะงัก ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นช้าๆ
ริมหน้าต่างมีเงาดำรูปกายสูงใหญ่เพิ่มมาหนึ่งสาย เว่ยเหยี่ยนมองปราดเดียวก็จดจำโครงร่างของผู้มาเยือนได้
แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึม แรงปรารถนาเมื่อครู่พลันเหือดหายในพริบตา คล้ายมีจิตสังหารท่วมทะลักมาแทนที่
เดิมทีนางบำเรอคนโปรดกำลังหลับตารอคอยเขามอบความรัก ทว่าจู่ๆ เว่ยเหยี่ยนกลับนิ่งไปเสียเฉยๆ นางนึกฉงนอยู่บ้างจึงลืมตาขึ้นมา เห็นเขากำลังเพ่งมองไปนอกหน้าต่าง นางเหลียวมองตามไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่คาดว่าจะได้เห็นเงาดำสายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางตระหนกสุดขีดกรีดร้องเสียงแหลมออกมา
“ออกไป” เว่ยเหยี่ยนค่อยๆ ยืดกายยืนตรงแล้วเอ่ยเรียบๆ
นางบำเรอรู้ว่าเขากำลังพูดกับนาง มือไม้ที่ปั่นป่วนรีบดึงอาภรณ์กลับมาทบปิดสาบเสื้อ จากนั้นก็ก้มหน้างุดวิ่งซอยเท้าออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน
เงาดำที่ด้านนอกจึงข้ามหน้าต่างเข้ามา ชุดที่สวมใส่เป็นอาภรณ์ชาวฮั่น เมื่อถอดหมวกออกก็เผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนที่ไว้หนวดเคราหยิกงอจรดถึงจอนผม เขาคำนับเว่ยเหยี่ยนอย่างนอบน้อมก่อนเอ่ยปาก “นายกองฮูเหยี่ยนเลี่ยมาเรียนถามความเป็นอยู่ของนายน้อยขอรับ ไม่ทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่”
เว่ยเหยี่ยนพูดเสียงเย็นชา “เจ้ามาทำอะไร ที่นี่คืออวี๋หยาง ทำเหมือนในเมืองไร้ผู้คนไปได้ หรือแน่ใจว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า?”
ฮูเหยี่ยนเลี่ยกล่าว “รื่อจู๋อ๋องคิดถึงนายน้อย บ่าวรับคำสั่งเสี่ยงตายมาเชิญนายน้อยกลับไป โชคดีที่หลบพ้นทหารรักษาการณ์มาได้ หากนายน้อยจะสังหารบ่าว บ่าวก็เต็มใจรับความตายขอรับ”
เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเน้นทีละคำ “นี่เจ้าเป็นคนรนหาที่ตายเองนะ”
ไม่ทันขาดคำ เสียงเช้งก็ดังขึ้นพร้อมกับประกายสีขาวที่วาบผ่าน เว่ยเหยี่ยนชักกระบี่ออก ปลายกระบี่แทงตรงเข้าสู่หน้าอกซ้ายของฮูเหยี่ยนเลี่ย
กระบี่จมเข้าสู่เนื้อหนังไปทีละชุ่น ไม่ช้าโลหิตสีแดงเข้มก็ทะลักออกจากเสื้อตรงหน้าอกของฮูเหยี่ยนเลี่ย ค่อยๆ ซึมกระจายอย่างช้าๆ จนกระทั่งหยดกระเซ็นลงพื้น
สีหน้าของฮูเหยี่ยนเลี่ยเผือดขาวขึ้นเรื่อยๆ เขาทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ทว่าดวงตาทั้งคู่ยังคงมองตรงไปที่เว่ยเหยี่ยน สองบ่าไม่สั่นไหวแม้สักครั้ง
“หากข้าแทงลึกลงไปอีกเพียงชุ่นเดียว เจ้าคิดว่าตัวเองยังจะมีชีวิตรอดอีกหรือไม่” แววตาของเว่ยเหยี่ยนเฉียบขาด
“คนเราช้าเร็วก็ต้องตาย ได้ตายใต้คมกระบี่ของนายน้อย ฮูเหยี่ยนเลี่ยไม่นึกเสียดาย” ฮูเหยี่ยนเลี่ยเอ่ยเสียงหนักแน่น
แซ่ฮูเหยี่ยนคือหนึ่งในวงศ์ตระกูลที่เรืองอำนาจของชาวซยงหนู ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความห้าวหาญดุดัน อีกทั้งคนในตระกูลนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนครองตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนัก
เว่ยเหยี่ยนหรี่ตาลงนิดๆ ชั่วครู่ให้หลังจึงดึงกระบี่ออกอย่างช้าๆ แล้วหยิบผ้าผืนหนึ่งมาเช็ดคราบเลือดบนปลายกระบี่ เขาเอ่ยเสียงเย็นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ฉวยจังหวะตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก”
บุรุษซยงหนูฉีกตัวเสื้อแถบหนึ่งมาพันแผลลวกๆ ปิดปากแผลที่ยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด สุดท้ายจึงใช้ฝ่ามือกดบาดแผลเอาไว้ ยืนขึ้นจากพื้นช้าๆ พลางเอ่ยขณะมองเว่ยเหยี่ยน “ขอบพระคุณนายน้อยที่ไว้ชีวิต วันนี้ที่บ่าวเสี่ยงตายมาก็ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเคลือบแฝง ท่านอ๋องรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดมารดาของชายาผู้ล่วงลับ จึงบัญชาให้บ่าวมาอวยพรวันเกิดแทนท่านอ๋องโดยเฉพาะ หากนายน้อยยินยอมนำเจตนาดีของท่านอ๋องไปถ่ายทอด หัวเข็มขัดทองคำยี่สิบอัน ผ้าแพรเนื้อหนาสีชาดกับผ้าไหมสีเขียวอย่างละยี่สิบพับ และอาชาพ่วงพียี่สิบตัว ล้วนเตรียมไว้พร้อมแล้ว รออยู่ที่นอกกำแพงเมืองไต้นี่เอง”
เว่ยเหยี่ยนหัวเราะหยัน
“เจตนาของเขาคืออยากให้คนสกุลเว่ยได้รู้ชาติกำเนิดของข้ากระมัง นับแต่นี้จะได้มีใจระแวงจนไม่อาจยอมรับข้าได้สินะ”
“ท่านอ๋องมิได้มีเจตนาเช่นนั้นเลยขอรับ” บุรุษนามฮูเหยี่ยนเลี่ยค้อมกายให้เขา “หากนายน้อยไม่ยินยอมถ่ายทอดให้ ท่านอ๋องก็ได้แต่เลิกล้มไป บ่าวได้นำจดหมายที่ท่านอ๋องเขียนด้วยตัวเองมาหนึ่งฉบับ ขอนายน้อยโปรดอ่านด้วย”
ฮูเหยี่ยนเลี่ยหยิบหนังแพะม้วนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เขาวางลงบนมุมโต๊ะแล้วถอยหลังไปหลายก้าว
“บ่าวมิกล้ารบกวนความสงบของนายน้อยอีก บ่าวขอตัวก่อนขอรับ”
ฮูเหยี่ยนเลี่ยคุกเข่าคำนับเว่ยเหยี่ยนอีกครั้ง
“ในกายของนายน้อยมีสายเลือดอันอุ่นระอุของพวกเราชนเผ่ายิงธนูไหลเวียนอยู่ ท่านอ๋องคิดคำนึงถึงนายน้อยทุกคืนวัน บัดนี้ฉานอวี๋สูงวัย เสียนอ๋องซ้ายระแวงระวังท่านอ๋องอยู่ทุกทาง ท่านอ๋องกำลังรอคอยให้นายน้อยกลับไปช่วยเหลือโดยด่วน อีกอย่างด้วยความสามารถอันล้ำเลิศของนายน้อย สมควรจะเป็นอินทรีผงาดฟ้ามากกว่า ท่านยินยอมพร้อมใจที่จะลดตัวรับใช้ผู้อื่น ไม่อาจสำแดงปณิธานเช่นนี้ไปชั่วชีวิตจริงหรือขอรับ”
ฮูเหยี่ยนเลี่ยพลันเอ่ยทิ้งท้าย เขาลุกขึ้นพลิกกายออกไปทางหน้าต่างเช่นเดิม ก่อนที่เงาร่างของเขาจะหายลับไปกับความมืดตรงส่วนลึกของลานอย่างรวดเร็ว
ปลายกระบี่ในมือเว่ยเหยี่ยนจรดสัมผัสพื้น ดวงตาเพ่งมองแผ่นหนังแพะที่วางอยู่บนมุมโต๊ะม้วนนั้น แล้วยืนเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน