ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 9
เว่ยเซ่าผลักประตูห้องก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ชุนเหนียงเดินตามมาสอบถามว่าเขาหิวหรือไม่ พูดตอบไปเพียงไม่กี่ประโยคฝีเท้าของเขาก็เดินหน้าต่อ เมื่อเว่ยเซ่าเบือนหน้าไปมองก็เห็นผ้าม่านขยับไหว เห็นเสี่ยวเฉียวแหวกผ้าม่านเดินออกมาแล้ว อาภรณ์บนร่างนางแม้จะยังเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าดวงตาฉ่ำน้ำเจือแววง่วงงุน เห็นทีว่าเพิ่งจะดิ้นรนตื่นจากการงีบหลับ
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ” เสี่ยวเฉียวยืนเบื้องหน้าเขา ใบหน้าประดับยิ้ม
เว่ยเซ่าไม่ได้ยกเปลือกตาขึ้นสักนิด เขาหันกลับไปส่งเสื้อให้ชุนเหนียง สั่งให้นางเอาไปซักและแช่น้ำแป้ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้ากินมื้อดึกที่เรือนบูรพามาแล้ว ไม่หิว เตรียมน้ำอาบมาที”
หญิงรับใช้อาวุโสรีบไปตระเตรียม ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย แล้วเว่ยเซ่าก็เข้าไปในห้องอาบน้ำ
ชุนเหนียงเห็นดวงตาของเสี่ยวเฉียวมองเสื้อในมือตน นางจึงบุ้ยปากเอ่ยด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “เห็นบอกว่าฮูหยินเป็นคนเย็บให้เจ้าค่ะ”
เสียงน้ำในห้องอาบน้ำดังซ่าๆ เสี่ยวเฉียวจึงหันหน้าไปมองปราดหนึ่ง
“ไม่รู้ฮูหยินพูดอันใดบ้าง…” ชุนเหนียงมองด้วยความวิตกเล็กน้อย
เสี่ยวเฉียวไม่ได้พูดอันใด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนแล้วขยี้ตารอคอย
ผ่านไปสักครู่เว่ยเซ่าก็ออกมาจากด้านใน เหล่าหญิงรับใช้อาวุโสเก็บกวาดเสร็จก็ออกจากห้องแล้วปิดประตู เช่นเดียวกับคืนก่อนๆ เสี่ยวเฉียวรอจนเขาขึ้นไปนอนบนเตียง ตนเองจึงค่อยดับตะเกียงแล้วคลานขึ้นไปนอนอย่างระมัดระวัง
ยามกลางวันไม่ได้ทำงานใช้แรงอันใด เรื่องออกหน้าออกตารับส่งแขกสตรีของสกุลเว่ยในตอนนี้ยังคงเวียนมาไม่ถึงนาง สาวน้อยเพียงอยู่รับใช้ข้างกายสวีฮูหยินมาตลอด ทว่าเพียงเท่านี้ก็ยังเหนื่อยเพลียเอาการ เมื่อครู่รอไปรอมานางจึงทนไม่ไหวผล็อยหลับไป ในที่สุดยามนี้ก็ได้นอนเสียที
เสี่ยวเฉียวหลับตาลง ขณะที่สติรับรู้ค่อยๆ รางเลือนอีกครั้ง นางก็ได้ยินเสียงเว่ยเซ่าดังขึ้นที่ข้างหู “ข้าได้ยินมาว่ากระทั่งน้ำแกงข้นชามเดียวเจ้าก็ไม่ยอมทำให้ท่านแม่ของข้า คำชี้แจงเรื่องคัดลอกคัมภีร์พวกนั้นเป็นแค่ข้ออ้างกระมัง”
เสี่ยวเฉียวสะดุ้งเฮือก สติรับรู้แจ่มชัด นางลืมตาขึ้นในทันที
ท่ามกลางความมืดสลัว เว่ยเซ่าพลิกกายลงจากเตียงไปจุดตะเกียงใหม่
ในห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวเฉียวเห็นเขากลับขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งเอนพิงกับหัวเตียงแล้วหันหน้ามามองตน
เมื่อครู่แม้ตนจวนจะหลับไปแล้ว แต่สาวน้อยก็ฟังออกว่าในประโยคนั้นเจือน้ำเสียงหมายเอาผิดไว้อยู่
ทว่ายามนี้แววตาของเขากลับดูสงบยิ่ง ไม่อาจจำแนกอารมณ์ได้
ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดเขาถึงไม่นอน ซ้ำยังกระปรี้กระเปร่าออกปานนี้!
เสี่ยวเฉียวลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองดวงตาของเขา
“ใช่ เรื่องคัดลอกคัมภีร์เป็นข้ออ้างจริงๆ แต่ที่ไม่ทำน้ำแกงข้นหาใช่ความตั้งใจเดิมของข้าแต่อย่างใด” นางตอบเสียงเบา
เว่ยเซ่าจับจ้องนาง “หมายความว่าอย่างไร”
“ลูกสะใภ้ย่อมต้องปรนนิบัติแม่สามี ในเมื่อท่านแม่เอ่ยปากแล้ว ต่อให้เกียจคร้านเพียงใด แค่น้ำแกงข้นชามเดียวเท่านั้นเหตุใดจะทำให้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะตอนนั้นข้าหวาดกลัวอยู่บ้างจริงๆ…”
“กลัวอันใด” หัวคิ้วของเว่ยเซ่าขมวดนิดๆ
เสี่ยวเฉียวหลุบตาลง “ท่านแม่ชังข้าลึกล้ำนัก ครั้งแรกที่ไปคารวะ ท่านเองก็เห็นแล้ว หากมิใช่มีท่านคอยอยู่เคียงข้างและปกป้องข้าในตอนท้าย ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่เช้าวันนั้นท่านจากไปตั้งแต่รุ่งสาง ข้าจึงได้แต่ไปหาท่านแม่ตามลำพัง เห็นท่านแม่มีสีหน้าดุดัน ในใจข้าก็ยิ่งหวาดหวั่น จู่ๆ เจียงเอ่าก็เรียกให้ข้าลงครัวไปทำน้ำแกงข้น เรื่องทั้งหมดนี้ถือเป็นความผิดของข้าเอง ตอนแรกที่ยังไม่ออกเรือน เป็นเพราะข้าเกียจคร้านไม่เคยลงครัวเลยสักครั้ง กระทั่งข้าวฟ่างกับข้าวเจ้าก็ยังแยกไม่ออก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรเริ่มลงมือจากตรงไหน ด้านข้างก็ไม่มีใครช่วยชี้แนะ หากไปทำจริง เกรงว่าสิ่งที่ทำออกมานั้น…”
สาวน้อยขบริมฝีปากพลางลอบช้อนตาขึ้นมอง
“ตอนนั้นข้าช่างเลอะเลือนนัก อันที่จริงหากพูดออกมาว่าข้าทำไม่เป็น ไม่แน่ว่าท่านแม่จะทำอันใดข้า แต่ข้าก็กลัวว่าท่านแม่จะยิ่งรังเกียจข้าเพราะเรื่องนี้ ดัง…ดังนั้นจึงได้คิดข้ออ้างเช่นนั้นออกมา…”
นางพูดจบก็หยุดมองเว่ยเซ่าด้วยท่าทางน่าสงสาร
ยามที่นางเล่าความ หัวคิ้วของเว่ยเซ่าก็ขมวดมุ่น รอจนนางเอ่ยจบ หัวคิ้วก็ยิ่งย่นเข้าหากันแน่นจนใกล้จะหนีบยุงให้ตายได้แล้ว ชายหนุ่มมองนางอยู่พักใหญ่ สุดท้ายจึงยกมือบีบหว่างคิ้วของตน
“เอาเถิด ข้ารู้แล้ว ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก ได้ยินหรือไม่” น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชายิ่ง
“ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ นับจากวันพรุ่งนี้ไปข้าจะขยันฝึกการทำครัว ต่อไปจะปรนนิบัติท่านแม่เป็นอย่างดีแน่นอน” เสี่ยวเฉียวออกแรงผงกศีรษะ
เว่ยเซ่ายังคงขมวดคิ้วมองมา ชั่วครู่ต่อมานางจึงได้ยินเสียงเขาระบายลมหายใจยาว
“นอนเถิด” เขาเปล่งเพียงสองคำออกจากปาก
เสี่ยวเฉียวเสมือนได้รับการอภัยโทษ ค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก นางรีบลงจากเตียง เอาส้นเหยียบขอบรองเท้าเดินไปหน้าแท่นวางตะเกียง ขณะจะเป่าไฟให้ดับพลันได้ยินเสียงของเว่ยเซ่าที่อยู่เบื้องหลังดังขึ้นอีก
“ท่านแม่อยากให้ข้ารับฉู่อวี้เป็นอนุ เจ้าคงรู้กระมัง เมื่อครู่ข้ารับปากไปแล้ว”
เสี่ยวเฉียวชะงักกึก เหลียวหลังไปช้าๆ เห็นเขากึ่งนั่งพิงกึ่งเอนนอนอยู่ตรงนั้นด้วยอิริยาบถอันผ่อนคลาย ดวงตาทั้งคู่ทอดมองมาที่นาง
เขาจะรับเจิ้งซูเป็นอนุอย่างเป็นทางการแล้วหรือ
แม้เสี่ยวเฉียวมาอยู่ที่จวนสกุลเว่ยได้ไม่นานนัก แต่ก็รู้ตั้งแต่วันที่สองแล้วว่าข้ารับใช้ในเรือนบูรพาล้วนปฏิบัติต่อเจิ้งซูเช่นอนุของเว่ยเซ่า ซึ่งนั่นหมายความว่าแม้เจิ้งซูยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนประจิมอย่างเป็นทางการ แต่นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
เว่ยเซ่ารับเจิ้งซูเป็นอนุ สำหรับเสี่ยวเฉียวย่อมไม่นับเป็นเรื่องดีที่สามารถนำผลประโยชน์อันใดมาให้ แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่อาจนับเป็นความเสียหายมากสักเท่าไร เว้นแต่สะใภ้ที่เพิ่งเข้าสกุลมายังไม่ครบสามเดือนผู้นี้อาจเสียหน้าไปบ้างเท่านั้น
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดีกว่าที่เสี่ยวเฉียวคาดไว้ในตอนแรกมากแล้ว การรู้จักพอคือลาภอันประเสริฐ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ต่อให้นางพูดไปก็ไม่มีน้ำหนักอยู่ดี นางมีความจำเป็นอันใดต้องสาดน้ำเย็นก่อกวนอารมณ์บุรุษที่กำลังตื่นเต้นกับการรับอนุด้วยเล่า นี่เท่ากับเป็นศัตรูกับเขาชัดๆ
“เช่นนั้นหรือ วิเศษแท้” เสี่ยวเฉียวคลี่ยิ้ม “อันที่จริงข้ามายังไม่ถึงสองวันก็รู้เรื่องของท่านกับเจิ้งซูแล้ว ตอนนั้นเห็นนางพำนักอยู่ที่เรือนบูรพามาตลอด ในใจยังนึกสงสัยอยู่หลายวัน ตอนนี้กำหนดแน่ชัดแล้วกระมัง เลือกวันเสร็จแล้วหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปจัดห้องหับเสียเลย จริงสิ ห้องปีกตะวันออกตรงลานข้างเรือนใหญ่ข้ารู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว พื้นที่กว้างขวาง รับแสงเพียงพอ ห้องอาบน้ำกับห้องเล็กด้านข้างก็ล้วนมีพร้อมสรรพ พรุ่งนี้ท่านไปดูสักหน่อยก็ได้ หากว่าดีข้าจะได้จัดห้องให้ สรุปคือไม่ว่าที่นี่มีสิ่งใด ทางนั้นก็จะไม่ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”
ห้องปีกตะวันออกตรงลานข้างเรือนใหญ่เป็นห้องว่างที่ไม่เลวทีเดียว จุดที่ดีงามที่สุดคือ…อยู่ห่างจากห้องที่นางพำนักเป็นระยะทางพอสมควร ตรงกลางก็ต้องผ่านประตูชั้นในอีกหนึ่งบาน
เสี่ยวเฉียวพูดจบก็มองเว่ยเซ่าพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม เห็นเขามองนางอยู่เช่นเดิม ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ และไม่มีอาการใดๆ ปรากฏเลยสักนิด รอยยิ้มของนางจึงจืดเจื่อนลงตามลำดับ สุดท้ายลังเลเล็กน้อยก่อนถามหยั่งเชิง “เป็นอะไรไป ท่านรู้สึกว่ายังมีจุดใดที่จัดการได้ไม่เป็นที่น่าพอใจหรือ”
เว่ยเซ่าจับจ้องเสี่ยวเฉียว เห็นท่าทางดีอกดีใจของนางก็รู้สึกหมดสนุก
เขาไม่มีความสนใจที่จะหลับนอนกับเจิ้งฉู่อวี้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่อยากให้เรื่องสำคัญชั่วชีวิตของญาติผู้น้องคนนี้ต้องชักช้าเสียการเพราะเขา ก่อนหน้านี้เพราะจูซื่อบังคับตนเสียงแข็ง เขาจึงตัดสินใจไม่เก็บมาใส่ใจเสียเลย ทั้งไม่รู้สึกผิดอันใดด้วย ไม่นึกว่าคืนนี้ท่าทีของจูซื่อจะเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เว่ยเซ่าเริ่มลำบากใจอยู่บ้าง
เว่ยเซ่ารู้จักมารดาของเขาดี รู้ว่านางมีมุมมองอันจำกัด มองเรื่องราวใดมักดันทุรังแม้เรื่องนั้นจะไร้ประโยชน์ บนร่างไม่มีบุคลิกของคนตระกูลใหญ่เลยจริงๆ ชายหนุ่มจึงไม่รู้สึกสักนิดว่าท่านย่าจงใจกลั่นแกล้งนางเช่นที่นางพูด แต่ถึงอย่างไรนางก็คือมารดาของเขาวันยังค่ำ นางดีต่อตนอย่างไร เว่ยเซ่าจำได้เสมอมา กับมารดาม่ายผู้นี้แท้จริงแล้วเขายังคงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ในแก่นกระดูกยังคงนับได้ว่าเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง
เมื่อครู่ที่เรือนบูรพา จูซื่อพูดมาตั้งมากมาย ทั้งตัดพ้อท่านย่า ทั้งฟ้องเรื่องลูกสะใภ้ กับอะไรต่อมิอะไร อันที่จริงสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวใจของเขา…คือจูซื่อปรับทุกข์ว่าปกตินางว้าเหว่ มีแต่เจิ้งฉู่อวี้ที่สามารถเป็นเพื่อนคลายเหงาให้นางได้
ทั้งปีเขาวิ่งรอกอยู่ข้างนอก รบทัพจับศึกแทบไม่เว้นวัน เมื่อเดินบนเส้นทางสายนี้ก็ไม่มีหนทางให้หันหลังกลับ และไม่รู้ด้วยว่าวันใดถึงจะสุดปลายทาง อาวุธไร้ตา ไม่แน่ว่าวันใดอาจต้องสิ้นชีพเช่นเดียวกับบิดาและพี่ชาย ท่านย่ากับท่านแม่ก็ไม่สนิทกัน ส่วนลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่มีทางทำให้มารดาของเขาโปรดปรานได้ หากเจิ้งฉู่อวี้สามารถอยู่ข้างกายมารดา แสดงความกตัญญูแทนเขา กล่อมให้นางเบิกบานใจได้จริง การจะรับอีกฝ่ายเป็นอนุ สำหรับเขาก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ชายหนุ่มพกพาความลังเลใจเช่นนี้กลับมาถึงเรือนประจิม พอเข้าประตูมา เขาเห็นชัดเจนว่าเสี่ยวเฉียวนอนคนเดียวไปก่อนอีกแล้ว ภายนอกดูเคารพให้เกียรติเขา แต่แท้จริงนางกลับไม่เก็บสามีคนนี้มาใส่ใจเลยสักนิด
เว่ยเซ่าอยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่แท้ตนเองเป็นคนใจแคบคิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนี้ กับบุตรีสกุลเฉียวที่เพิ่งแต่งเข้ามาคนนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่อยากมองข้าม นางกลับโผล่มาอยู่ใกล้เขาเสมอ ยามมองนางไม่ว่าจะมองทางใดก็แสนขัดตา ทั้งที่ตัวนางทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง นอกจากใบหน้าที่ยังพอมองผ่านไปได้แล้วก็แทบไม่มีจุดใดทำให้เขารู้สึกพอใจ ไม่รู้ว่าอารมณ์หงุดหงิดขุมนั้นมาจากที่ใด พอขึ้นมาบนเตียงและนึกถึงเมื่อครู่ที่จูซื่อฟ้องเรื่องนาง เขาจึงโพล่งเอาความในทันที อีกทั้งอยากเตือนให้นางรู้ด้วยว่ามารดาของเขาผู้เป็นแม่สามีของนางจะปล่อยให้นางดูแคลนเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
กลายเป็นว่านางให้เหตุผลที่ฟังขึ้นอย่างยิ่งแก่เขาหนึ่งข้อ…นั่นคือนางทำอาหารไม่เป็น
ช่างแปลกประหลาดจนคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ในยุคนี้ไม่ว่าบุตรสาวสกุลใด ต่อให้ฐานะสูงส่งเช่นท่านย่าของเขา แม้หลังออกเรือนไม่จำเป็นต้องลงครัวเองก็จริง แต่ก่อนออกเรือนก็ต้องได้รับการอบรมงานครัวขั้นพื้นฐานที่สุดอยู่ดี แต่นางกลับพูดว่าตนเองทำอาหารไม่เป็นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มิหนำซ้ำพอเขาฟังจบและเห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้ว ทั้งที่แคลงใจว่านางกำลังแสร้งทำให้เขาดู แต่อารมณ์โกรธกลับหายไปหมดสิ้น จะตีนางก็ทำไม่ได้ จะต่อว่าก็พูดไม่ออก เพียงรู้สึกอับจนปัญญา ในใจจึงยิ่งอึดอัดคับข้อง ประกอบกับนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนกลางวันหน้าโถงจัดเลี้ยงที่เขาถูกผู้อื่นหยอกเย้าเรื่องให้กำเนิดทายาทขึ้นมา เขาจึงอดไม่ได้หลุดปากพูดว่าจะรับเจิ้งฉู่อวี้เป็นอนุ
อันที่จริงเรื่องนี้เว่ยเซ่ายังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ต่อให้ขบคิดเสร็จแล้วก็ไม่มีความตั้งใจจะเอ่ยเรื่องนี้กับนาง ทว่าคำพูดกลับเปล่งออกมาเสียแล้ว
“ท่านพี่?”
เห็นเขามีสีหน้าแปลกพิกล เสี่ยวเฉียวจึงเอ่ยเรียกเบาๆ
เว่ยเซ่าดึงสติคืนมา ชำเลืองมองนาง “ไม่แตกฉานงานครัว นั่งเหยียดแข้งกางขา ไร้จรรยาหญิงให้เอ่ยถึงโดยสิ้นเชิง มีแต่ไม่หึงหวงข้อเดียวที่เจ้าช่างเป็นกุลสตรียิ่งนัก”
‘นั่งเหยียดแข้งกางขา’ ที่เว่ยเซ่าเอ่ยถึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ยามบ่ายเป็นช่วงเวลาที่เว่ยเซ่าไม่เคยกลับห้องมาก่อน บ่ายของเมื่อวานเสี่ยวเฉียวกับชุนเหนียงอยู่ในห้อง ชุนเหนียงทำงานปัก เสี่ยวเฉียวช่วยนางวาดลาย ไหนๆ รอบข้างก็ไม่มีใครอื่น สาวน้อยจึงเอาความสบายเข้าว่า สองขาเหยียดตรงนั่งอยู่บนตั่ง ทว่าถึงคราวเคราะห์ร้าย เว่ยเซ่าเข้ามาพอดิบพอดี ตอนนั้นเสี่ยวเฉียวรีบหดขาแต่ก็สายเกินไป ถูกเขาเห็นเข้าจนได้
ตอนนั้นเขาเพียงเหลือบมองนางเรียบๆ ไม่ได้พูดอันใด หยิบของเสร็จก็จากไป ชุนเหนียงทั้งวิตกทั้งตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าไม่ได้อบรมเสี่ยวเฉียวให้ดี แต่ขณะเดียวกันก็นึกดีใจที่นายท่านไม่ได้พูดอะไร นางถึงค่อยวางใจลงได้บ้าง กำชับกำชาเสี่ยวเฉียวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต่อไปจะนั่งเช่นนี้ไม่ได้อีกเป็นอันขาด
เสี่ยวเฉียวก็นึกว่าเว่ยเซ่าไม่ได้แยแสเรื่องนี้เสียอีก นึกไม่ถึงว่ายังจำใส่ใจอยู่ ทั้งตอนนี้ยังขุดออกมาประจานนางด้วย
‘ท่านั่งเหยียดขา’ สำหรับคนในยุคที่นางจากมามองเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่สลักสำคัญ ทว่าในยุคนี้กลับถูกมองว่าไม่งามอย่างยิ่ง เมื่อหลายร้อยปีก่อน เหตุเพราะภรรยาของเมิ่งจื่อ ยามอยู่ในเรือนตามลำพังนั่งเหยียดขาเช่นนี้นี่เอง พอเมิ่งจื่อเห็นเข้าโดยบังเอิญจึงออกมาพูดกับมารดาของเขาว่าต้องการหย่าขาดกับภรรยา มารดาถามเขาว่าเพราะเหตุใด เขาตอบเพียงสามคำว่า ‘นั่งเหยียดขา’ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเพียงใด
ได้ยินเว่ยเซ่าเอาบัญชีเก่าออกมาคิดกับนาง เสี่ยวเฉียวก็ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ตัวว่าบกพร่องจรรยาหญิง ทว่าจรรยาข้อไม่หึงหวงนี้เป็นทั้งหน้าที่และมาจากใจจริง”
เว่ยเซ่าเยาะหยัน “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ข้าแต่งได้ภรรยาที่พร้อมด้วยจรรยาหญิงเช่นเจ้าเป็นวาสนาของข้าสินะ”
“ได้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้สกุลเว่ยเป็นวาสนาของข้าต่างหาก” นางเอ่ยอย่างเชื่องเชื่อ
ในห้องเงียบลง
จู่ๆ เว่ยเซ่าก็ไร้วาจา
ชายหนุ่มพลันรู้สึกว่าคืนนี้ดูเหมือนเขาจะสนทนากับนางมากเกินไปแล้ว เกินความตั้งใจที่เขาคิดไว้มาก
“เอาล่ะ นอนเถิด ดึกแล้ว”
เขามองนางอีกครั้งก่อนเอ่ยปากในที่สุด
เสี่ยวเฉียวขานดังอืมแล้วเป่าไฟตะเกียงดับ คลานกลับขึ้นเตียงไปคราวนี้ได้นอนหลับสนิทเสียที