ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 9
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะยังอยู่ในห้วงนิทรา เสี่ยวเฉียวรู้สึกได้รางๆ ว่าข้างกายมีความเคลื่อนไหว ปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นเว่ยเซ่าเหมือนจะตื่นนอนแล้ว
ทว่าท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ ในห้องจุดเทียนไข คาดว่าเพิ่งจะยามโฉ่วเศษๆ
เสี่ยวเฉียวกดข่มความไม่ยินยอมอันแรงกล้าภายในใจ ฝืนเปิดเปลือกตาที่เกาะติดกัน หาวหวอดเตรียมจะลุกขึ้นตามเขา ตอนนี้เองที่นางได้ยินเขาเอ่ยที่ข้างหูของตน “ยังเช้าอยู่ ข้ามีงานต้องออกไปข้างนอก เจ้านอนของเจ้าต่อไปเถิด”
เสี่ยวเฉียวผ่อนร่างลงแล้วปิดตาล้มตัวกลับไปบนหมอนทันที
เว่ยเซ่าหันหลังให้เตียง เขาสวมเสื้อผ้าด้วยตนเอง พอเสร็จกำลังจะออกไปเขาก็หันหน้าไปมองเสี่ยวเฉียวที่อยู่บนเตียงอีกครั้งตามจิตใต้สำนึก
นางซุกศีรษะอยู่ในมุมผ้าห่มแล้ว เผยออกมาเพียงเรือนผมดำขลับที่หนานุ่มดุจปุยเมฆ
ในใจเว่ยเซ่าพลันรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอีก
แม้สามีบอกภรรยาว่าไม่ต้องลุกขึ้นมา แต่อย่างน้อยนางก็สมควรลืมตาขึ้นมากล่าวอำลากับเขาสักคำมิใช่หรือ
ในเมื่อเขาไม่สุขสบาย ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางสุขสบายเช่นนี้ได้
เขาหมุนกายกลับมา โน้มตัวประชิดมาที่เตียง ยกมืองอนิ้วเคาะขอบเตียงเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว
เสี่ยวเฉียวถูกเขากวนจนตื่นอีกครั้ง นางดึงผ้าห่มลงจากศีรษะ ปรือตาขึ้นช้าๆ ก็มองเห็นเว่ยเซ่ากดขาข้างหนึ่งบนขอบเตียง ร่างท่อนบนโน้มประชิดเข้ามา กำลังพิศมองนางอยู่
“ท่านพี่…มีเรื่องอันใดหรือ” เสี่ยวเฉียวขยี้ตา ยังออกอาการไม่ตื่นดี
“เมื่อคืนมาคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรรับฉู่อวี้เป็นอนุก็ไม่เหมาะสม ข้าไม่มีเวลาไปเรือนบูรพา เจ้าเป็นภรรยาของข้า วันนี้ไปแจ้งท่านแม่แทนข้าสักคำแล้วกัน”
เว่ยเซ่าพูดจบก็ยกมุมปาก ใบหน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม จากนั้นจึงหมุนกายจากไป
เสี่ยวเฉียวนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจก็ได้สติ หนอนขี้เซาถูกขับไล่ไปทันที
นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกัน ประเดี๋ยวรับ ประเดี๋ยวไม่รับ ไม่รับอนุก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือ…นี่จะให้นางไปเรือนบูรพาเพื่อรับเคราะห์จากมารดาของเขาอย่างนั้นหรือ
หลังจากเว่ยเซ่าเล่นงานนางเสร็จ ตอนที่เขาเดินจากไปดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่เลวเลย ฝีเท้าก็เบาสบายทีเดียว
ผิดกับเสี่ยวเฉียวที่ไม่สบายไปทั้งตัว
ตอนเขาออกไปยังไม่ถึงยามอิ๋น ฟ้ายังไม่สว่าง พอเขาไปแล้วชุนเหนียงก็เข้ามาช่วยเสี่ยวเฉียวดับเทียน
ราตรีในฤดูวสันต์เหมาะแก่การหลับใหล ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้บนเตียงก็ไม่มีใครแย่งที่นางแล้ว นางอยากนอนเช่นไรก็นอนได้ตามแต่ใจ
ทว่าหลังจากเว่ยเซ่าออกไป นางกลับไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้อีก
สาวน้อยเบิกตาค้างจนฟ้าสาง สุดท้ายจึงลุกจากเตียง หลังล้างหน้าหวีผมเสร็จชุนเหนียงก็ยังเห็นเสี่ยวเฉียวมีท่าทางราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง เดิมนึกว่านางผิดใจกับเว่ยโหวอีกแล้ว แต่มาคิดดูอีกที เมื่อเช้าตอนเว่ยโหวออกจากประตู สีหน้าของฝ่ายนั้นดูดีที่สุดเท่าที่ตนเคยเห็นตลอดช่วงที่ผ่านมาทีเดียว ตามหลักแล้วน่าจะไม่มีเรื่องอันใดถึงจะถูก ชุนเหนียงจึงสอบถามให้รู้แน่
เสี่ยวเฉียวเล่าเรื่องที่พลิกเปลี่ยนไปมาเกี่ยวกับการรับอนุของเว่ยเซ่าที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เพียงข้ามคืนให้ชุนเหนียงฟัง สุดท้ายนางจึงหน้าม่อยโผเข้าสู่อ้อมกอดของชุนเหนียง “นี่เว่ยเซ่าจงใจชัดๆ เขารู้ทั้งรู้ว่าแม่ของเขาไม่ชอบข้า ยังจะให้ข้าไปปฏิเสธเรื่องรับอนุแทนเขาอีก…”
ชุนเหนียงสะดุ้งโหยง รีบป้องปากเสี่ยวเฉียวไว้ในคราวเดียว “นามของเว่ยโหวเรียกส่งเดชเช่นนี้ได้หรือเจ้าคะ ระวังจะถูกผู้อื่นได้ยินเข้า!”
ในยุคนี้นามจริงไม่อาจเรียกขานกันส่งเดช เว้นแต่เป็นผู้ที่มีอาวุโสกว่า ไม่เช่นนั้นก็มีแต่คู่ปรับหรือคู่อาฆาตถึงจะเรียกชื่อแซ่ของอีกฝ่ายตรงๆ ซึ่งถือเป็นการดูหมิ่นหรือด่าทอ เสี่ยวเฉียวจึงหุบปาก
ขณะเดียวกันใบหน้าของชุนเหนียงก็เผยความยินดีปรีดา “เว่ยโหวไม่ยอมรับเจิ้งซูเป็นเรื่องดีใหญ่หลวงเชียวนะเจ้าคะ เหตุใดนายหญิงถึงไม่เบิกบานใจเล่า ส่วนเรื่องปฏิเสธฮูหยิน…”
ขบคิดเพียงชั่วอึดใจนางก็ยื่นหน้ามาข้างหูเสี่ยวเฉียว เอ่ยกระซิบหนึ่งประโยค
ดวงตาของเสี่ยวเฉียวสว่างวาบ ในที่สุดสมองก็ปลอดโปร่ง
ต้องโทษเว่ยเซ่าผู้นั้นคนเดียวสักพันครั้ง นับแต่วันแรกที่พบกัน ยามอยู่กับนางหากไม่ใช่หน้าดำใส่ก็คือพูดจาเยาะหยัน หรือไม่ก็ทำเหมือนกำลังสืบสวนนักโทษ แทบทุกชั่วขณะที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา นางต้องรับมืออย่างระมัดระวังด้วยประสาทที่ตึงเครียด กลัวแต่ว่าอึดใจถัดไปจะล่วงเกินคุณชายสกุลเว่ยผู้ใหญ่โตด้วยสาเหตุใดอีกหรือไม่ ด้วยเหตุนี้สมองของนางถึงได้มึนงง ลืมกระทั่งพระองค์ใหญ่เช่นสวีฮูหยินแห่งเรือนอุดรไปเสียนี่
เสี่ยวเฉียวอารมณ์ดีขึ้นทันตา รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงไปยังเรือนอุดร
เมื่อวานจัดงานฉลองวันเกิด ตามหลักแล้วสวีฮูหยินน่าจะยังอ่อนเพลีย ทว่าวันนี้ยังคงตื่นเช้ายิ่ง
คงเพราะไม่อยากพบหน้าจูซื่อลูกสะใภ้คนนี้บ่อยนัก สวีฮูหยินจึงงดเว้นพิธีรีตองนี้นานแล้ว ไม่ต้องให้จูซื่อมาคารวะยามเช้า หากพำนักอยู่ในเรือน จูซื่อจะมาคารวะนางทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าเท่านั้น ดังนั้นเสี่ยวเฉียวไปที่เรือนอุดรยามนี้จึงไม่พบจูซื่อแต่อย่างใด
นางไหว้วานให้หญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งเข้าไปแจ้ง ตนเองรออยู่หน้าระเบียงนอกประตูไม่นานเท่าไร แทบจะในทันทีด้วยซ้ำก็ถูกเรียกเข้าไปแล้ว
สวีฮูหยินสวมชุดลำลองนั่งอยู่บนตั่งเตี้ย กำลังกินโจ๊กที่เคี่ยวจากข้าวฟ่าง บนโต๊ะเล็กที่อยู่ตรงหน้าจัดวางเครื่องเคียงไม่กี่จาน อาหารเรียบง่าย เครื่องใช้ก็เป็นเครื่องเคลือบดินเผาเนื้อหยาบที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเรียบง่ายแบบโบราณ
เสี่ยวเฉียวคุกเข่าคำนับอีกฝ่าย สวีฮูหยินให้นางลุกขึ้น สั่งจงเอ่านำชามกับตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด ก่อนจะเรียกให้เสี่ยวเฉียวกินอาหารด้วยกัน
เสี่ยวเฉียวมองออกว่าสวีฮูหยินมีเจตนาเช่นนี้จริงจึงไม่บ่ายเบี่ยง คารวะขอบคุณแล้วล้างมือนั่งทางขวาในลำดับถัดมา กินโจ๊กเป็นเพื่อนอีกฝ่ายหนึ่งชามโดยไม่พูดระหว่างมื้ออาหาร หลังกินเสร็จ บ้วนปากและเก็บสำรับแล้ว สวีฮูหยินถึงได้ถามนางว่าเว่ยเซ่าอยู่ที่ใด
เสี่ยวเฉียวไม่รู้จริงๆ ว่าเว่ยเซ่าไปที่ใดแต่เช้าขนาดนั้น แม้นางเองจะไม่ได้ถาม แต่ต่อให้ถามก็คาดว่าเขาคงไม่บอกนางอยู่ดี
ได้ยินสวีฮูหยินสอบถาม สาวน้อยจึงเผยสีหน้าละอายใจ ก้มศีรษะตอบ “ท่านพี่ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องโทษที่ข้าบกพร่อง ไม่อาจรู้ได้ว่าท่านพี่ไปที่ใด”
ทั้งที่เห็นอยู่ว่านางกำลังตำหนิตนเอง ทว่า ‘ไม่รู้’ กับ ‘ไม่อาจรู้’ แม้ต่างกันเพียงหนึ่งคำ แต่เมื่อผู้อื่นฟังแล้ว เรื่องราวที่คิดโยงไปกลับต่างกันลิบลับ
‘ไม่อาจรู้’ คือมิใช่นางไม่สอบถาม ทว่าผู้เป็นสามีไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมให้นางได้รู้
สวีฮูหยินย่อมรู้ว่าหลานชายของตนเฉยเมยต่อภรรยา ตอนที่อยู่เมืองซิ่นตูยังแยกห้องกับเสี่ยวเฉียวอย่างเปิดเผย เมื่อได้ฟังเช่นนี้จึงมุ่นคิ้วเอ่ยตำหนิหลานชายทันที “จ้งหลินละเลยต่อเจ้า ย่าเห็นในสายตาอยู่ เจ้าวางใจได้ วันหน้าหากเขารังแกเจ้าหรือทำให้เจ้าลำบากใจอีก เจ้าแค่มาหาย่าเป็นใช้ได้”
เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ข้าไม่มีความลำบากใจแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ที่ท่านพี่ปฏิบัติต่อข้าก็ไม่นับว่าละเลย ก่อนออกเรือนคนทางบ้านกำชับมาว่าการเกี่ยวดองญาติเกิดขึ้นเพื่อไมตรีของสองสกุล และยิ่งมุ่งหวังจะสลายความร้าวฉานจากใจจริง แม้ท่านพี่มีใบหน้าเย็นชาทว่าหัวใจอุ่นระอุ หากข้ายึดมั่นในความตั้งใจเดิมนี้ สักวันหนึ่งย่อมจะดีขึ้นได้”
ดวงตาข้างเดียวของสวีฮูหยินทอประกายนิดๆ ขณะจับนิ่งบนดวงหน้าของเสี่ยวเฉียว พิจารณานางอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มน้อยๆ “ช่างเป็นเด็กที่รู้จักเหตุผล เจ้าคิดได้เช่นนี้ย่าก็วางใจแล้ว”
จงเอ่าที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นมา “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เมื่อครู่กำลังจะเรียนให้ท่านทราบอยู่พอดี เมื่อเช้ายังไม่ถึงยามอิ๋นนายท่านแวะมาที่เรือนอุดรแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ตื่นจึงไม่ทราบ นายท่านออกนอกเมืองไปตรวจตราแนวป้องกัน วันนี้ค่ำหน่อยถึงจะกลับเจ้าค่ะ”
สวีฮูหยินผงกศีรษะรับ จากนั้นยังสนทนาสัพเพเหระกับเสี่ยวเฉียวอีกหลายประโยค ก่อนที่จะกล่าวลา เสี่ยวเฉียวลังเลอยู่ชั่วอึดใจก็โขกศีรษะเอ่ยวิงวอนสวีฮูหยิน “ท่านย่า ข้ามีอยู่เรื่องหนึ่งไม่อาจตัดสินใจได้เด็ดขาด ใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านย่าเจ้าค่ะ”
สวีฮูหยินบอกให้นางพูด
“ข้าเข้าจวนสกุลเว่ยได้ไม่นานก็รู้มาว่าท่านแม่หมายใจให้ท่านพี่รับเจิ้งซูเป็นอนุ ข้าเองก็เห็นพ้องอย่างยิ่ง ประการแรก เจิ้งซูสนิทสนมกับท่านแม่มาแต่ไหนแต่ไร หากมาเป็นคนของท่านพี่ ต่อไปข้าก็จะมีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกคน ประการที่สอง นี่เป็นเรื่องดีที่เกี่ยวพันถึงการแตกกิ่งก้านสาขาของสกุลเว่ย ทว่าเช้านี้ก่อนท่านพี่ออกไปกลับกำชับให้ข้าไปเรือนท่านแม่เพื่อปฏิเสธเรื่องนี้แทนเขา ข้ารู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง อยากโน้มน้าวให้เขาคล้อยตามความประสงค์ของท่านแม่ด้วยการรับเจิ้งซูไว้จะดีกว่า แต่ท่านพี่ไม่ฟังข้า ข้าอับจนหนทาง ไม่รู้ควรเอ่ยปากกับท่านแม่อย่างไรดีถึงจะไม่ทำให้นางผิดหวังเสียใจ ขอท่านย่าได้โปรดชี้แนะข้าด้วยเจ้าค่ะ”
หัวคิ้วของสวีฮูหยินมุ่นนิดๆ กล่าวพึมพำกับตนเอง “ไยจึงพัวพันกับเจิ้งซูอยู่อีก” นางเหลือบมองเสี่ยวเฉียวที่ยังคำนับอยู่เบื้องหน้าตนไม่ยอมลุกขึ้น จากนั้นเอ่ยกับจงเอ่าที่อยู่ข้างกาย “เอาเถิด หลานสะใภ้ไม่ต้องไปแล้ว จงเอ่า ไปถ่ายทอดคำพูดของข้าที่เรือนบูรพา ให้นางหาตระกูลที่ดีภายในหนึ่งเดือน หากนางหาไม่ได้ ข้าจะช่วยแต่งหลานสาวแทนนางเอง”
จงเอ่าขานรับ สุ้มเสียงของสวีฮูหยินถึงค่อยเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขณะเรียกให้เสี่ยวเฉียวลุกขึ้น
เสี่ยวเฉียวลุกขึ้นกล่าวขอบคุณสวีฮูหยินอีกครั้ง สวีฮูหยินจึงเอ่ยปลอบใจนางสองสามประโยค จากนั้นเสี่ยวเฉียวจึงค่อยกล่าวลาแล้วเดินออกมา