ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 9
จวบจนตกค่ำฟ้ามืดเว่ยเซ่าถึงกลับจวน ระหว่างมุ่งหน้าไปยังเรือนประจิม ในที่สุดเขาก็นึกถึงคำพูดที่ตนทิ้งไว้ก่อนออกจากห้องเมื่อเช้าได้
ยามนี้ความทรงจำยังแจ่มชัด พอเขาพูดประโยคนั้นออกมา เสี่ยวเฉียวซึ่งเดิมทีนอนหนุนหมอนหลับตาพริ้มอยู่พลันเบิกตาโพลง ดวงหน้าถอดสี
ในใจเว่ยเซ่าผุดความคาดหวังขึ้นรางๆ เขาเร่งฝีเท้ากลับห้อง เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู เงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี่ยวเฉียวเดินออกจากห้องชั้นในมาต้อนรับเขาแล้ว
หลายวันมานี้สัญญาณแห่งฤดูวสันต์ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น ดอกท้อในลานเริ่มเผยเกสร สาวน้อยเองก็เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ชุดใหม่ที่บางเบาสอดรับกับฤดูกาล วันนี้นางสวมชุดลำลองฤดูวสันต์สีเหลืองอ่อน เรือนผมดุจเส้นไหมรวบไว้ปล่อยทิ้งตัวบนแผ่นหลัง เอวเพรียวที่โอบได้ในวงแขนเดียวแลดูอ่อนช้อยสบายตา ประดุจกิ่งหลิวอ่อนที่โน้มหักลงมาใหม่ แผ่ซ่านกลิ่นอายสดชื่นประทับใจ
บางทีอาจเพราะอาภรณ์บนร่างรัดรูปแนบกาย หรือบางทีอาจเป็นภาพลวงตา เมื่อเว่ยเซ่ากวาดตามองปราดหนึ่งจึงรู้สึกว่ารูปร่างของนางคล้ายสูงกว่าตอนแรกพบเมื่อปีที่แล้วเล็กน้อย รวมไปถึงหน้าอกส่วนนั้น…
เปรียบกับปลายปีที่แล้วตอนอยู่เมืองซิ่นตูก็ดูเหมือนจะนูนเด่นขึ้นนิดๆ
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ”
เสี่ยวเฉียวฝีเท้าแผ่วเบา เอ่ยทักทายเขาพร้อมประดับยิ้มละไม
เว่ยเซ่าถอนสายตาคืนมา ขานอืมเสียงเรียบ ขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าบรรยากาศเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เขามองนางอีกครั้ง เห็นนางยืนอยู่หน้าประตู กำลังสั่งบ่าวไพร่เตรียมสำรับค่ำ ขณะจะถามนางว่าได้ไปถ่ายทอดคำพูดที่เรือนบูรพาตามที่ตนสั่งไว้หรือไม่ เบื้องนอกก็มีหญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งเดินมาถึงหน้าประตู แจ้งว่าฮูหยินที่เรือนบูรพาส่งคนมาเชิญนายท่านไปพบ
เว่ยเซ่าชำเลืองมองเสี่ยวเฉียว เห็นนางหันหน้ามามองตน เขาขบคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งให้บ่าวยกสำรับมาค่ำหน่อยแล้วค่อยหมุนกายเดินออกไป
เมื่อมาถึงเรือนบูรพา เว่ยเซ่าเข้าไปด้านในก็เห็นจูซื่อหน้าบึ้งตึง เขาตรงไปทักทาย จูซื่อก็ไม่แยแส
“ท่านแม่ขุ่นเคืองด้วยเรื่องใด” เว่ยเซ่าถาม
จูซื่อเหลือบมองเขาแล้วแค่นเสียงดังฮึ “บุตรชายแสนดีที่แม่อุตส่าห์คลอดออกมา! แค่ให้เจ้ารับญาติผู้น้องเป็นอนุเพื่อที่ข้างกายแม่จะได้มีเพื่อน เจ้ากลับแสดงความกตัญญูต่อแม่เยี่ยงนี้น่ะหรือ ถึงกับให้คนของเรือนอุดรมาฉีกหน้าแม่! กระทั่งบุตรชายยังปฏิบัติต่อแม่เช่นนี้ แม่มีชีวิตอยู่ต่อไปยังจะมีความหมายใด!”
ตอนนี้เว่ยเซ่าถึงเข้าใจกระจ่าง ที่แท้หญิงสกุลเฉียวไม่ได้มาเองสักนิด หากแต่ไปกอดขาท่านย่า ผลักให้ท่านย่ารับเรื่องนี้
มิน่าเล่าเมื่อครู่เห็นนางยิ้มละไมอยู่ตลอด ดูอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ที่แท้ก็ไม่ได้โผล่หน้ามาเอ่ยเรื่องนี้กับมารดาของเขาแต่อย่างใด
“ท่านแม่อย่าได้เข้าใจผิด มิใช่ลูกเจตนาเนรคุณ”
“นี่ยังไม่นับว่าเนรคุณอีกหรือ แล้วต้องเป็นเรื่องใดถึงจะนับ หรือเจ้าคิดบีบคั้นแม่ไปตายให้ได้”
เว่ยเซ่ารีบคุกเข่าให้จูซื่อ โขกศีรษะกล่าวอย่างสำรวม “ต่อให้ลูกอกตัญญูเพียงใดก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด แต่เพราะเรื่องของน้องฉู่อวี้ ลูกมีวิธีอื่นที่ดีพร้อมทั้งสองฝ่ายแล้ว”
เดิมทีจูซื่อกำลังก้มหน้าซับน้ำตา จู่ๆ ได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยเช่นนี้จึงชะงักกึก ช้อนตาขึ้นมองเขา
“ท่านแม่โปรดฟังลูกชี้แจงก่อน” เว่ยเซ่าโขกศีรษะอีกครั้ง “เมื่อวานท่านแม่ก็พูดเองว่าที่อยากให้ลูกรับฉู่อวี้เป็นอนุ เจตนาแท้จริงคืออยากเก็บนางไว้เป็นเพื่อนข้างกายตลอดไป คิดว่าฉู่อวี้เองก็คงคิดเช่นเดียวกันนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องให้ลูกรับนางเป็นอนุเลย ลูกสามารถสรรหาบุรุษที่องอาจหล่อเหลาแต่งเข้าสกุลมาให้ฉู่อวี้ เช่นนี้ไม่เพียงคลี่คลายเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของนาง ทั้งนางยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านแม่ได้เรื่อยไป ท่านแม่เห็นว่าอย่างไร”
จูซื่อตะลึงงัน
เจิ้งฉู่อวี้ซึ่งซ่อนกายอยู่หลังฉากบังลมสะดุ้งเฮือก นึกไม่ถึงว่าเว่ยเซ่าจะงัดวิธีนี้มารับมือ ด้วยกลัวว่าจูซื่อบ่ายเบี่ยงไม่พ้นจนตอบตกลงไปเสีย นางจึงอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวาย ร่างส่ายนิดๆ เผลอกระเทือนถูกต่างหูหยกบนร่าง เกิดเสียงห่วงหยกกระทบกันแผ่วเบา
เว่ยเซ่าชำเลืองมองฉากบังลมปราดหนึ่งโดยไม่แสดงอาการ เพียงยิ้มกล่าวกับจูซื่อซึ่งลิ้นแข็งอ้าปากค้าง “ท่านแม่เองก็ทราบ แต่ไรมาลูกเห็นฉู่อวี้เป็นแค่น้องสาว ไม่มีความคิดเชิงชู้สาวแม้เพียงนิด หากรับนางเป็นอนุส่งเดชเยี่ยงนี้ นอกจากไม่เป็นธรรมต่อนาง จะยิ่งทำให้นางเสียเวลาทั้งชีวิต ดังนั้นลูกจึงจัดการเช่นนี้”
“จ้งหลิน นี่…นี่คงจะไม่เหมาะ…” จูซื่อเองก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังฉากบังลม รู้ว่าเกิดจากเจิ้งฉู่อวี้ เมื่อถูกเสียงนั้นเตือนนางจึงรีบเอ่ยแย้ง “ผู้ที่เต็มใจแต่งเข้าวงศ์ตระกูลฝ่ายหญิงจะมีบุรุษที่ดีหรือ แม่ไม่อาจหาคู่ครองให้ฉู่อวี้ส่งเดช!”
“วาจานี้ของท่านแม่ผิดแล้ว บัดนี้ใต้หล้ารบพุ่งกันอยู่ ผู้ที่บุพการีสิ้นบุญไปแล้วพบได้ทุกแห่งหน ในกองทัพของลูกก็มีชายหนุ่มที่สูญเสียบิดาอยู่มากมาย ล้วนแต่แกร่งกล้าห้าวหาญทั้งสิ้น ด้วยอุปนิสัยและรูปโฉมของน้องสาว ไยต้องกังวลว่าจะหาเขยที่ยินดีแต่งเข้าสกุลไม่ได้อีก วันหน้าลูกคอยส่งเสริมเลื่อนขั้นให้ น้องสาวจะได้รับความลำบากได้อย่างไร”
“จ้งหลิน…”
“ลูกตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หากท่านแม่ไม่อาจหักใจให้น้องสาวออกเรือนก็รับเขยเข้าสกุลเว่ยเรา ท่านแม่ใคร่ครวญดูสักพักเถิด คิดเสร็จแล้วค่อยบอกลูก ที่เรือนของลูกยังมีธุระอื่นอีก ลูกขอตัวกลับก่อน”
สีหน้าของเว่ยเซ่าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเฉียบขาด โขกศีรษะให้จูซื่อที่ตะลึงตาค้างแล้วลุกขึ้นจากไป
พอเว่ยเซ่าคล้อยหลัง เจิ้งฉู่อวี้ก็รีบวิ่งออกมาจากหลังฉากบังลม ร่ำไห้โผซบตักของจูซื่อ ก่อนจะหลั่งน้ำตากล่าว “เห็นทีชาตินี้วาสนาของข้ากับท่านป้าคงสิ้นสุดแล้ว ช่างเถิดๆ ฉู่อวี้ขอร้องท่านป้า แต่งข้าให้ผู้อื่นไปเสียเถิด วันหน้าฉู่อวี้จะยังคงระลึกถึงท่านป้า กลับมาเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆ”
จูซื่อทั้งมีโทสะทั้งปวดร้าวใจ นางโอบกอดเจิ้งฉู่อวี้พลางเอ่ยด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าไม่อยู่ข้างกายป้า ทั้งวันปล่อยให้ป้าเผชิญหน้ากับยายแก่ตาบอดนั่นก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ยังมีหญิงสกุลเฉียวเพิ่มมาอีกคน ป้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรเล่า เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปเลย ป้าจะคิดหาวิธีใหม่ ให้จ้งหลินบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีก!”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะมีวิธีใดให้คิดอีกหรือ” เจิ้งฉู่อวี้เงยหน้าสะอื้นกล่าว
“วิธีน่ะมีอยู่ เพียงแต่ต้องลำบากเจ้า…”
จูซื่อแนบข้างหูหลานสาวแล้วเอ่ยเสียงเบาหลายประโยค ดวงหน้าของเจิ้งฉู่อวี้พลันแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางสั่นศีรษะไม่ยินยอม
จูซื่อโอบนางไว้ ทอดถอนใจกล่าว “ฉู่อวี้ ป้ารู้ว่าวิธีนี้ชวนให้เจ้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ เห็นทีคงเหลือแต่ทางนี้เท่านั้น วาจาเมื่อครู่ของจ้งหลินเจ้าก็ได้ยินหมดแล้ว ซ้ำทางเรือนอุดรยังมีคำสั่งลงมา หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าป้าคงเก็บเจ้าไว้ไม่ได้อีก”
เจิ้งฉู่อวี้ขบริมฝีปากพลางก้มหน้าอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ขานดังอืม เอ่ยเสียงแผ่วดุจยุงบิน “ฉู่อวี้จะเชื่อฟังตามที่ท่านป้าจัดการทุกอย่าง”