ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 9
เสี่ยวเฉียวรอคอยอยู่ที่ระเบียงหน้าประตู ในที่สุดก็เห็นเว่ยเซ่ากลับมา นางรีบลงบันไดไปต้อนรับเขาด้วยตนเองพร้อมเอ่ยถาม “ท่านพี่หิวแล้วกระมัง อาหารค่ำจัดเตรียมพร้อมแล้ว เพียงรอท่านกลับมากินด้วยกัน” สาวน้อยพูดจบก็แอบชำเลืองมองสีหน้าของเขา
เว่ยเซ่าชะงักฝีเท้ามองนาง
เขาถูกมารดาเรียกไปพบเช่นนี้ย่อมรู้เรื่องที่ตนแอบขัดคำสั่ง โยนเผือกร้อนไปให้สวีฮูหยินจัดการแทนแล้วเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเฉียวก็ยังรู้สึกร้อนตัวนิดๆ เมื่อครู่ระหว่างที่นางนั่งสงบเสงี่ยมรอเขากลับมากินอาหารจึงคิดแผนรับมือไว้แล้ว เห็นเขามองตนด้วยนัยน์ตาขรึมสีน้ำหมึก ใบหน้านิ่งดุจห้วงน้ำลึก สาวน้อยจึงไม่ส่งเสียงอีก ทำเพียงรอคอยให้เขาเอ่ยปากไล่เลียงเอาเรื่องกับตนอีกครั้ง
“กินอาหารเถิด”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยประโยคเดียวที่เรียบง่ายเช่นนี้ จบคำเขาก็ยกเท้ามุ่งหน้าสู่ห้องอาหาร ยามที่เดินผ่านข้างกายเสี่ยวเฉียว ใบหน้าของนางสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆ จากร่างที่เฉียดผ่านไป
เสี่ยวเฉียวประหลาดใจยิ่งนัก ยืนตะลึงอยู่กับที่ เห็นเขาเดินฉับๆ ก้าวขึ้นบันไดไปแล้วถึงค่อยรีบตามเงาหลังของเขาไป
ที่ผ่านมาเว่ยเซ่าไม่ค่อยกลับมากินอาหารค่ำ นับรวมครั้งนี้ทั้งสองก็เพิ่งกินอาหารด้วยกันสามสี่ครั้งเท่านั้น
พูดให้ถูกคือ…เสี่ยวเฉียวได้ปรนนิบัติเขากินอาหารแล้วสามสี่ครั้ง
โต๊ะเตี้ยถูกจัดวางบนตั่ง เว่ยเซ่านั่งสง่าตรงกึ่งกลางของโต๊ะ เสี่ยวเฉียวเป็นสตรีมีฐานะไม่สูงเท่า นางเพียงนั่งคุกเข่าอยู่ที่ตำแหน่งขวามือ ปรนนิบัติเขากินอาหาร รอจนเขากินเสร็จตนเองถึงจะสามารถกินได้ ทว่าครั้งก่อนๆ เขาล้วนกินเร็วยิ่ง และแทบจะไม่ใช้สอยให้นางทำสิ่งใด งานนี้จึงไม่นับว่าเหนื่อยเลย
เสี่ยวเฉียววางสะโพกไว้บนส้นเท้าตามท่านั่งที่ได้มาตรฐาน
มิอาจไม่พูดว่าเว่ยเซ่ามีรูปกายที่ผึ่งผาย เป็นบุรุษรูปงามโดยกำเนิด ยามนี้นั่งสง่าอยู่บนตั่งหลังโต๊ะในชุดยาวแบบสาบเสื้อซ้ายทบขวาอันมิดชิดเรียบร้อย แขนเสื้อที่หลวมกว้างทิ้งตัวจากแนวไหล่สองข้างตามสบาย สอดรับกับอิริยาบถอันเข้าทีไม่ช้าไม่เร็วของเขา กระทั่งอาการยื่นตะเกียบคีบกับข้าวก็ยังดูลื่นไหลถึงเพียงนี้ ราวบุรุษที่เดินออกมาจากตำราโบราณ แผ่ซ่านเสน่ห์อันโดดเด่นเป็นธรรมชาติ เพียงแต่เขาเป็นคนจริงที่มีชีวิตเท่านั้น
เสี่ยวเฉียวมองซ้ำสองหนจึงค่อยถอนสายตาคืนมา พลันได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยชวน “กินอาหารด้วยกันสิ”
เสี่ยวเฉียวหันไปมองเขาอย่างตะลึงงัน เห็นเขามองตนอย่างอารมณ์ดีและเป็นมิตรก็รีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเรียกให้กินด้วยกัน เจ้าก็กินด้วยกันเถิด”
เขาสั่งบ่าวนำชามกับตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด
เสี่ยวเฉียวรู้สึกว่าคำเชิญกะทันหันนี้น่าสงสัยยิ่งนัก โดยเฉพาะเป็นคำเชิญที่มีขึ้นภายหลังจากที่เขากลับมาจากเรือนบูรพา ทว่าเขาใจดีอย่างหาได้ยากเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะที่ตนจะบอกปัด คาดว่ากินอาหารไม่น่าจะเกิดปัญหาใดไปได้ นางจึงค้อมกายให้เขาเล็กน้อย กล่าวขอบคุณแล้วเดินเข่าไปข้างหน้าสองก้าว นั่งลงข้างโต๊ะแล้วกินเงียบๆ จนข้าวหมดหนึ่งชามเล็ก
นี่คือปริมาณข้าวที่นางกินตามปกติ
สาวน้อยช้อนตาขึ้น เห็นเว่ยเซ่ากินเสร็จแล้วเช่นกัน สองมือของเขาแยกวางบนหน้าขาทั้งสอง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนเมื่อครู่นี้เขาจะมองนางกินข้าวมาตลอด
เสี่ยวเฉียวกลืนอาหารคำสุดท้ายในปาก พักตะเกียบบนที่วางเบาๆ ขณะที่นางจะเรียกบ่าวให้ยกน้ำสะอาดมาปรนนิบัติเขาบ้วนปาก เว่ยเซ่ากลับเอ่ยขึ้นก่อน “เติมข้าวให้นายหญิงอีกชาม”
เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ขอบคุณท่านพี่ ข้าอิ่มแล้ว”
“ข้าเห็นเจ้ากินแค่ไม่กี่คำจะไปอิ่มท้องได้อย่างไร” เว่ยเซ่ากล่าว
“พอแล้วจริงๆ ปกติข้าก็กินแค่เท่านี้” เสี่ยวเฉียวชี้แจง
“นั่นหมายความว่าปกติเจ้ากินน้อยเกินไป” เว่ยเซ่ามองพิจารณาเรือนร่างของนางขึ้นลงปราดหนึ่งก่อนเผยแววเดียดฉันท์นิดๆ “มาอยู่เรือนข้าได้พักใหญ่แล้วกลับดูผอมแห้งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ผู้อื่นไม่รู้จะนึกว่าสกุลเว่ยของข้ากระทั่งข้าวก็ไม่ให้เจ้าได้กินอิ่ม กินเพิ่มอีกชามสิ”
เสี่ยวเฉียวรู้สึกว่าเขากำลังพูดเฉไฉตาใส
ด้วยวัยตอนนี้ของนาง สารอาหารที่ได้รับตามปกติถือว่าเพียงพออยู่แล้ว ตัวนางยังรู้สึกถึงการเจริญเติบโตของร่างกายได้เลย เอี๊ยมชั้นในของปีที่แล้วหมู่นี้ก็เริ่มคับแน่น รัดอึดอัดเสียจนนางเปลี่ยนมาใช้ตัวใหม่แล้วด้วยซ้ำ
ทว่าหญิงรับใช้ยกข้าวมาถึงแล้ว
เมื่อสบกับสายตาห่วงใยของเว่ยเซ่า เสี่ยวเฉียวก็จนใจ ได้แต่ก้มหน้าพยายามกินจนหมดชามที่สอง
หลังข้าวชามที่สองลงท้องนางก็อิ่มตื้อมาถึงหน้าอก เสี่ยวเฉียวกดข่มความรู้สึกอยากเรอเอาไว้พลางวางตะเกียบลง
“เติมข้าวให้นายหญิงเพิ่มอีกชาม” เสียงของเว่ยเซ่าดังขึ้นอีก
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะแรงๆ “ข้ากินไม่ลงแล้วจริงๆ!”
“ท่านย่าตำหนิว่าข้าละเลยเจ้า เจ้าก็ผอมแห้งถึงเพียงนี้ ไม่พยายามกินเพิ่มจะใช้ได้อย่างไร”
เว่ยเซ่าสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นไปตักข้าวอีกชามด้วยตนเอง อัดจนแน่นชามก่อนยกมาถึงเบื้องหน้าเสี่ยวเฉียว
นางมองเขา ใบหน้าของเว่ยเซ่าประดับยิ้ม
“ข้ากินไม่ไหวแล้วจริงๆ” เสี่ยวเฉียวเอ่ยหน้านิ่ว
สีหน้าของเว่ยเซ่าขรึมลงในฉับพลัน
“จงกินให้หมด!” สุ้มเสียงเจือไอเย็นดุจห้วงน้ำ “ไม่เพียงมื้อนี้ นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกมื้อเจ้าก็ต้องกินข้าวสามชาม! ท่านย่ารักเอ็นดูเจ้า ขืนเจ้าไม่มีเนื้อเพิ่มขึ้นกว่านี้ ครั้งต่อไปยามที่อยู่ต่อหน้าท่านย่า ข้าเกรงว่าจะชี้แจงไม่ได้”
เสี่ยวเฉียวสบตากับเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนขบริมฝีปาก “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว”
เว่ยเซ่าก้มหน้าลง จัดแขนเสื้อของตนไปตามเรื่อง “ผิดตรงที่ใด” สุ้มเสียงไม่สนใจไยดี
“เมื่อเช้าท่านพี่ให้ข้าไปถ่ายทอดคำพูดแทนท่านที่เรือนของท่านแม่ แต่ข้ากลับไปที่เรือนอุดร” เสี่ยวเฉียวพิศมองสีหน้าของเขาพลางตอบเสียงเบา
เว่ยเซ่าขานดังอ้อ แววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าสมควรทำอย่างไร”
“คราวหน้าข้าไม่กล้าอีกแล้ว…” เสี่ยวเฉียวอ้ำอึ้งก่อนหลุดเรอออกมา
“ยังจะมีคราวหน้า?” เขาเลิกคิ้ว
“ไม่ใช่ๆ…” เสี่ยวเฉียวโบกมือวุ่นวาย
ตอนนี้เองที่เสียงฝีเท้าอันเร่งร้อนพลันดังมาจากเบื้องหลัง เสี่ยวเฉียวหันหน้าไปก็เห็นหญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งรีบรุดเข้ามาค้อมกายกล่าว “ท่านโหว แม่ทัพหลี่เตี่ยนขอพบ บอกว่ามีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ”
เว่ยเซ่าชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะลุกขึ้นโดยทิ้งเสี่ยวเฉียวไว้ สาวเท้าออกไปทันที
มองส่งเงาหลังของเว่ยเซ่าจากไปแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงค่อยระบายลมหายใจออกมา