แต่ไรมาลำดับขั้นตอนของงานเลี้ยงในวังนั้นซับซ้อนยิบย่อย แม้ว่าจางฮองเฮาจะลดพิธีการที่ไม่จำเป็นไปบ้างแล้วบางส่วน แต่กว่าจะดำเนินแต่ละขั้นตอนเสร็จสิ้น อาหารรสเลิศที่เตรียมไว้แบ่งให้ทุกคนกินก็เย็นชืดสนิทหมดแล้ว
สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างก็กินคนละคำสองคำพอเป็นพิธี คอยรักษาท่วงท่าภูมิฐานสง่างามเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ภายในตำหนักมีเสียงเครื่องดนตรีขับขานบรรเลง นางรำเริงระบำอ่อนช้อยงามงด ราชนิกุลหญิงที่อยู่ด้านหน้าพูดคุยบอกเล่าเรื่องสนุกๆ ในเมืองหลวงให้จางฮองเฮาฟังเป็นระยะๆ บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมาจากด้านหลัง บรรยากาศถือว่าผ่อนคลายสำราญใจยิ่ง
พองานเลี้ยงดำเนินมาถึงครึ่งทาง ขันทีก็เดินมาถ่ายทอดคำพูดที่ข้างกายจางฮองเฮาอย่างรีบร้อน ไม่รู้เช่นกันว่านำความเรื่องใดมากราบทูล หลังจากจางฮองเฮากำชับสั่งสองสามประโยค ก็มีคนจัดที่นั่งตรงตำแหน่งประธานเพิ่มอีกสองที่อย่างคล่องแคล่วว่องไว
แม้ทุกคนจะไม่ได้หันไปมองตรงๆ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าในที่สุดงานเลี้ยงที่กินอาหารไม่รู้รสนี้ก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงสำคัญเสียที
เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ความคิดนี้ของแต่ละคนเพิ่งจะผุดขึ้นมา ก็มีขันทีถ่ายทอดคำพูดออกไปด้านหลังอย่างต่อเนื่องว่า “ฮ่องเต้เสด็จ…”
หมิงถานกำลังคิดเรื่องงานแต่งงานกับจวนลิ่งกั๋วกงอยู่คนเดียว ครั้นได้ยินเสียงนี้ก็รีบเก็บความคิดว่อกแว่กของตนเอาไว้ทันที จากนั้นลุกขึ้นถวายบังคมไปข้างหน้าพร้อมกับคนอื่นๆ
ในตำหนักเปล่งเสียงทรงพระเจริญหมื่นปีดังกึกก้องกังวาน ฟังดูคล้ายกับมีเสียงก้องสะท้อนไปมาในพื้นที่อันกว้างขวางนี้ กระทั่งเสียงก้องสงบลง ผู้ที่อยู่บนตำแหน่งประธานถึงค่อยเปล่งเสียงออกมาอย่างนุ่มนวลแต่ไม่สูญสิ้นความน่ายำเกรงว่า “ลุกขึ้น”
หมิงถานลุกขึ้นอย่างรู้สึกประหลาดใจ พระสุรเสียงของฝ่าบาทเยาว์วัยกว่าที่คิดไว้ไม่น้อย เช่นนั้นติ้งเป่ยอ๋องที่เป็นญาติผู้น้องของฝ่าบาทจะไม่เยาว์วัยยิ่งกว่าหรือ
กระทั่งนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินจางฮองเฮากล่าวอารัมภบทว่า “ชัยชนะครั้งใหญ่ที่ตงโจวเมื่อเดือนก่อน เป็นความปลาบปลื้มปีติของแคว้นต้าเสี่ยนพวกเรายิ่ง ประจวบเหมาะวันนี้ฝ่าบาททรงเชิญเหล่าขุนนางมาเลี้ยงฉลองให้แก่ติ้งเป่ยอ๋องที่ตำหนักหงอันพอดี ข้าเลยคิดว่าถึงแม้พวกเราจะเป็นสตรี แต่ก็ควรจะคารวะให้แก่ยอดบุรุษแห่งแคว้นต้าเสี่ยนเช่นกัน ดังนั้นจึงได้เชิญฝ่าบาทและติ้งเป่ยอ๋องมาจากตำหนักหงอันเป็นพิเศษ”
ทุกคนนิ่งเงียบกันไปราวๆ หนึ่งอึดใจก็มีคนพูดเปิดขึ้น เสียงชื่นชมขานรับจึงดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
หมิงถานรู้ดีว่าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไม่ว่าจะพูดจะทำอันใดต้องอ้อมค้อมไม่โผงผาง แต่คิดไม่ถึงว่าการแสดงออกในวังหลวงกลับต้องอ้อมค้อมวกวนยิ่งกว่าแปดสิบเอ็ดตลบ ทั้งที่เป็นการดูตัวพระชายาแท้ๆ แต่ก็ยังจะอ้างว่าเป็นการฉลองชื่นชมอันใดนั่น
นางนั่งอยู่ห่างไกลยิ่ง กอปรกับไม่สามารถจ้องมองพระพักตร์ตรงๆ ได้ หางตานางจึงเหลือบเห็นคนทั้งสามซึ่งอยู่บนตำแหน่งประธานเป็นเพียงก้อนสีพร่ามัวเท่านั้น
ขณะที่นางกำลังคิดว่าติ้งเป่ยอ๋องผู้นี้เป็นใบ้ใช่หรือไม่ ผู้คนสรรเสริญคารวะสุราให้เช่นนี้กลับไม่พูดไม่จาเลยสักคำ ทันใดนั้นเสียงสตรีอ่อนหวานหยดย้อยอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากฟังตรงข้ามอย่างไม่ทันตั้งตัว “ได้ยินมานานแล้วว่าท่านอ๋องอายุเพียงแค่วัยรวบผม* ก็นำกำลังทหารชั้นยอดสามพันนายต้านชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือสามหมื่นนายได้ สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่แคว้นต้าเสี่ยน หม่อมฉันนับถือชื่นชมท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว วันนี้ได้พบเจอตัวจริง นับว่าเป็นโชคดีอย่างสูง หม่อมฉันขอถวายบทเพลง ‘เมฆาเหนือธารา’ แก่ท่านอ๋อง…”
เป็นบุตรสาวคนรองในภรรยาเอกของเฉิงเอินโหว กู้จิ่วโหรว
จวนเฉิงเอินโหวไม่กลัวผู้คนครหามาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้ก็มีบุตรสาวคนโตในภรรยาเอกอย่างอวี้กุ้ยเฟยที่ถูกข้าหลวงตรวจการตำหนิกล่าวโทษกลางท้องพระโรงว่าเป็นนางมารจิ้งจอกใช้มารยายั่วยวนฮ่องเต้ บัดนี้ยังจ้องจะเอาตำแหน่งพระชายาของจวนติ้งเป่ยอ๋องอีก
ครั้นกล่าวคำชื่นชมนับถือจบ เครื่องดนตรีก็ถูกตระเตรียมเสร็จสรรพ กู้จิ่วโหรวยิ้มพริ้มเพราพลางก้มย่อกายคารวะ สุดท้ายก็กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “หม่อมฉันมิได้เก่งกาจสามารถ จำต้องแสดงความอัปลักษณ์ให้เห็นแล้ว”
หมิงถานฝึกเรียนฉินมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง ในเมื่อมีคนอยากจะแสดงฝีมือบรรเลงฉินต่อหน้านาง นางก็นึกสนใจใคร่รู้อยู่บ้างว่าอีกฝ่ายจะสะกดสายตาทุกคนได้อย่างไร
แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีวาสนาได้ฟัง เสียงหวานเยิ้มด้านหน้าเพิ่งจะสิ้นสุดลง บุรุษในชุดผ้าดิ้นสีดำที่อยู่ตรงตำแหน่งประธานก็เอ่ยตัดบทอย่างเย็นชาว่า “รู้ว่าอัปลักษณ์ก็ไม่ต้องแสดง”
ในชั่วอึดใจนั้นในตำหนักเงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
หมิงถานนึกว่าตนเองฟังผิดไป ถึงแม้ติ้งเป่ยอ๋องผู้นี้จะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้และกุมอำนาจล้นฟ้าไว้ในมือ แต่ดีร้ายอย่างไรกู้จิ่วโหรวก็เป็นบุตรสาวภรรยาเอกของเฉิงเอินโหว พูดจาเช่นนี้ออกจะก้าวร้าวไร้มารยาทเกินไปเสียหน่อยกระมัง
ทว่าผ่านไปเนิ่นนานคนในตำหนักที่มีสิทธิ์กล่าวตำหนิอย่างผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนก็ยังไม่เอ่ยวาจาใดออกมา