บทที่ 139
คืนนั้นไหวหยางอ๋องนอนค่อนข้างดึก เขารอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นน้ำแกงอุ่นร้อนถูกส่งมา
บรรดาสาวใช้ของเรือนนอนเสมือนตายกันหมด ไม่มีผู้ใดโผล่หน้ามาสักคน
ชุยสิงโจวรู้ว่าหลิ่วเหมียนถังต้องไม่ได้สั่งให้พวกนางส่งอะไรมาให้ตนเองแน่ๆ
ถึงแม้ห้องหนังสือจะนับว่าอบอุ่น แต่ไฉนเลยจะสบายเท่าห้องของหลิ่วเหมียนถัง ปกติในเวลานี้เขาจะโอบกอดภรรยาตัวนุ่มนิ่ม ใกล้ชิดสนิทสนมกันในผ้าห่มไปนานแล้ว นึกไม่ถึงว่าเพราะทะเลาะกันหนหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด
คิดมาถึงตรงนี้ฤทธิ์สุราตีขึ้นศีรษะ สมองเองก็หนักๆ ชุยสิงโจวรู้สึกไม่สบายตัว โม่หรูรู้ว่าท่านอ๋องยังไม่สร่างเมาจึงรีบไปยกน้ำแกงสร่างเมาจากห้องครัว
ชุยสิงโจวรับมาดื่มไปอึกเดียวก็ขมวดคิ้วทันที “เปรี้ยวจนเข็ดฟัน ของบ้าอะไรกัน!”
โม่หรูมีสีหน้าอมทุกข์ น้ำแกงสร่างเมาที่ปกติท่านอ๋องดื่มจนคุ้นชินล้วนผ่านการปรุงรสชาติแบบบ้านเกิดของพระชายาเอง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ บ๊วยดองในน้ำแกงเองก็เป็นบ๊วยที่พระชายาให้สาวใช้เรือนนางดองเอาไว้ ทั่วทั้งจวนมีอยู่เพียงทางพระชายา น้ำแกงสร่างเมาที่ห้องครัวทำย่อมสู้ฝีมือพระชายาปรุงด้วยตนเองไม่ได้
เมื่อครู่นี้เขาไปขอมาจากปี้เฉ่าที่เรือนนอนแล้ว แต่ปี้เฉ่าซ่อนตัวอยู่หลังประตูพูดว่าพระชายากำชับแล้วว่ากระทั่งข้าวสารครึ่งเม็ดก็ห้ามให้ บ่าวรับใช้อย่างพวกนางเองก็ไม่กล้า บอกให้โม่หรูไปหาอย่างอื่นมาแทนที่เอา
ดังนั้นตอนนี้ท่านอ๋องเลือกกิน โม่หรูก็ไม่อาจพูดให้ร้ายพระชายาตรงๆ จึงได้แต่เอ่ยอย่างอ้อมค้อม “ตอนนี้ดึกมากเกินไป วันนี้พระชายาเหน็ดเหนื่อยเข้านอนเร็ว ดังนั้นน้ำแกงนี้จึงเป็นฝีมือของแม่ครัว ไม่อย่างนั้น…ท่านอ๋องดื่มๆ ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าบ่าวค่อยให้พระชายาทำให้ใหม่อีกชามดีหรือไม่ขอรับ”
มีอย่างที่ใดให้กินน้ำแกงสร่างเมาหลังตื่นนอน พอชุยสิงโจวได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังนอนไปแล้ว ในใจยิ่งโมโหกว่าเดิม
นางขี้โมโหกว่าเดิมจริงๆ ด้วย เพื่อโจรไม่กี่คนก็เลยโมโหใส่เขาเช่นนี้ เขาอยากดูนักว่านางจะก่อเรื่องถึงขั้นใด
คิดมาถึงตรงนี้ชุยสิงโจวก็ไม่ดื่มน้ำแกงสร่างเมาเปรี้ยวเข็ดฟันแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนตั่งนิ่มในห้องหนังสือทั้งที่มีความคับข้องใจเต็มอก
รอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมา ชุยสิงโจวไม่ได้ลุกไปรำหมัดแต่เช้าตามปกติ แต่นอนเกียจคร้านอยู่บนตั่งนิ่มสักพัก
เมื่อก่อนทั้งสองคนก็เคยทะเลาะกัน แต่ว่าหลิ่วเหมียนถังไม่ใช่หญิงสาวใจคอคับแคบ คิดเล็กคิดน้อย ปกติหลังแยกกันไปโมโหหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นนางก็จะคิดหาสารพัดวิธีมาง้อตนเอง
ชุยสิงโจวเองก็จะมอบทางลงให้นาง เปิดโอกาสให้เข้าใกล้ได้ ยกตัวอย่างเช่นอาการเจ็บปวดเล็กๆ ไม่สลักสำคัญตอนเช้า
แต่วันนี้เขานอนรอบนตั่งนิ่มอยู่นานก็ไม่เห็นหลิ่วเหมียนถังพาสาวใช้ยกอ่างทองคำล้างหน้ากับเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนเดินอรชรเข้ามา
นอนอยู่นานเพียงนี้ ศีรษะที่เดิมทีปวดตั้งแต่เมื่อวานยิ่งมึนงงกว่าเดิม ชุยสิงโจวรอไม่ไหวอีกต่อไป เขาลุกขึ้นด้วยสีหน้าดำทะมึน ปล่อยให้โม่หรูเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทว่าบุรุษที่มือไม้หยาบกระด้างจะเทียบกับมือเรียวอ่อนนุ่มของหลิ่วเหมียนถังได้อย่างไร ท่านอ๋องถูกปรนนิบัติอย่างไม่สบายเนื้อตัว ย่อมตำหนิโม่หรูที่กลายเป็นคนหยาบกระด้างอย่างห้ามไม่ได้
ด่าจนโม่หรูน้ำตารื้น สงสัยว่าท่านอ๋องได้ใหม่ลืมเก่า คิดอยากเปลี่ยนบ่าวรับใช้
หลังกินข้าวต้มง่ายๆ ไป ชุยสิงโจวเตรียมออกเดินทางไปกองรักษาเมือง ก่อนออกจากจวนเจอกับพี่สาวชุยฝูที่กำลังเตรียมขึ้นรถม้าไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่าฮูหยินที่คุ้นเคยกันเข้าพอดี
พี่น้องพูดคุยกันสั้นๆ ไม่กี่คำ ชุยฝูก็รับเตาพกจากสาวใช้มาพลางเอ่ย “อากาศหนาวเพียงนี้ เหมียนถังออกไปที่ใดแต่เช้ากัน นางเพิ่งจะออกจากอยู่เดือน อย่าให้โดนความเย็นมากเกินไป”
หากพี่สาวไม่พูด ชุยสิงโจวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิ่วเหมียนถังออกจากจวนไปแล้ว เขานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย รอพี่สาวไปถึงได้เรียกตัวพ่อบ้านมาถามว่าพระชายาไปที่ใด
พ่อบ้านตอบ “พระชายาไม่ได้บอกว่าจะไปที่ใดขอรับ เพียงให้คนเตรียมรถม้า พาองครักษ์ไปด้วยก็จากไปแล้ว”
ชุยสิงโจวขมวดคิ้วเอ่ย “เหตุใดไม่มีใครมาแจ้งข้า”
พ่อบ้านตอบอย่างระมัดระวัง “เรื่องนี้…ปกติพระชายาออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งท่านอ๋อง ดังนั้นครั้งนี้บ่าวเลยไม่ได้แจ้งเช่นกัน…”
หลิ่วเหมียนถังตื่นแต่เช้าไปที่ใดและทำอะไร ชุยสิงโจวใคร่ครวญเล็กน้อยก็คาดเดาออก