“ท่านโหว?” เจียงหย่วนเฉาเลิกคิ้วสูง
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนมา กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ใต้เท้าเจียง พวกเราเข้าไปนั่งลงคุยกันเถอะ”
“ได้” เจียงหย่วนเฉาหยักยิ้ม เขาหันหน้าทอดสายตามองไปไกลๆ ที่แผ่นหลังของเจียงสืออี
ท่านพ่อบุญธรรมคิดอย่างไรกันแน่ หรือว่าเพื่อตัดโอกาสใดๆ ระหว่างข้ากับคุณหนูหลี เลยคิดจะให้เจียงสืออีเข้ามาแทรกกลาง
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ เจียงหย่วนเฉาหัวร่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เขาไม่คิดว่าคุณหนูหลีเป็นสตรีที่จะติดกับ ‘อุบายชายรูปงาม’
อืม ข้าเริ่มตั้งตารอดูเหตุการณ์เจียงสืออีโดนปฏิเสธหน้าม้านเสียแล้ว
เฉียวเจารู้สึกเป็นคราแรกว่าระยะทางลงเขายาวไกลเพียงนี้ ดีที่ปิงลวี่ชวนคุยอยู่ด้านข้างไม่หยุดช่วยฆ่าเวลาได้บ้าง
“คุณหนู เฉินกวงจะลงเขาได้เมื่อไรเจ้าคะ”
“หือ?”
สาวใช้น้อยหน้าแดง “ก็เขาเป็นสารถีของคุณหนูนี่นา ไม่กลับจวนเสียที วันหน้าคุณหนูออกไปข้างนอกจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เจียงสืออีที่เดินอยู่ไม่ไกลนักเบือนหน้ามาเอ่ยถามอย่างเย็นชา “คุณหนูหลีต้องการสารถีหรือ”
ท่านพ่อบุญธรรมกำชับไว้ว่าไม่ว่าคุณหนูหลีประสงค์สิ่งใด ขอแค่อยู่ในขอบเขตเหมาะสม ให้เขาตอบสนองความต้องการของนางอย่างสุดความสามารถ
“เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย” ปิงลวี่กลอกตาขึ้นพร้อมเอ่ย องครักษ์จินหลินผู้นี้คงไม่ผิดปกติกระมัง นี่คิดจะแย่งหน้าที่สารถีกับเฉินกวงของนางรึ
เฉียวเจารู้สึกว่าแปลกชอบกลเช่นกัน คงเพราะนางไม่ถูกโฉลกกับองครักษ์จินหลิน ก่อนหน้านี้เจียงหย่วนเฉาจับตาดูแม่นางน้อยเช่นนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นต้นเหตุให้ตัวตนของนางเกือบถูกเปิดเผยออกมา บัดนี้มีเจียงสืออีโผล่มาอีกคน ถึงแม้เขาชอบทำหน้าเย็นชาเสมอ แต่ดูเหมือนจำนวนครั้งที่ปรากฏตัวเบื้องหน้านางก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่จำเป็น ข้ามีสารถีแล้ว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อ้อ” เจียงสืออีขานตอบคำหนึ่งอย่างสั้นกระชับ
อย่างนั้นเขาไม่ต้องไปหาสารถีพอดี หวังว่าคุณหนูหลีจะไม่สร้างความวุ่นวายให้เช่นนี้ไปตลอดได้จึงจะดี
ว่าไปแล้วท่านพ่อบุญธรรมมอบหมายงานน่าเบื่อพรรค์นี้ให้เขาด้วยเหตุใดกัน ทั้งที่เขาช่ำชองการสอบปากคำมากกว่าเจียงสือซานแท้ๆ หรืออย่างเช่นเอาแส้แช่น้ำเกลืออะไรทำนองนี้ต่างหากถึงเป็นความถนัดของเขา
เฉียวเจานิ่งเงียบตลอดทางจนลงไปถึงเชิงเขา นางเหลียวซ้ายแลขวายังมองหาพวกหลีกวงเหวินไม่พบ ก็ถูกเหอซื่อถลาเข้ามากอดไว้หมับ
“เจาเจาของข้า แม่ได้เจอหน้าเจ้าเสียที ฮือๆๆ…”
“ฮูหยิน ท่านขวางทางอยู่” เจียงสืออีเอ่ยเตือนเสียงเย็นๆ
ปิงลวี่ลอบเบะปากแล้วบ่นอุบอิบ “ไม่เคยเห็นพวกทำลายบรรยากาศเฉกนี้”
เจียงสืออีมองนางด้วยสีหน้าเฉยชา
สาวใช้น้อยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบอย่างปราศจากสาเหตุ นางไม่กล้ากล่าววาจาใดแล้ว
“ท่านแม่ พวกเรากลับเรือนแล้วค่อยคุยกันเถอะ” เฉียวเจาไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา นางจึงเปล่งเสียงเอ่ยเตือนขึ้น
“ใช่ๆ กลับเรือน พวกเรากลับเรือนกัน หลายวันมานี้ท่านย่าเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะ ท่านเฝ้ารอเจ้ากลับไปอยู่นานแล้ว” เหอซื่อคล้องแขนกับบุตรสาวเดินไปหาหลีกวงเหวิน
“คุณหนูหลี คุณหนูเจียงเป็นห่วงท่านมาก อยากเชื้อเชิญท่านไปเป็นแขกที่จวนสกุลเจียง” เจียงสืออีหยิบเทียบใบหนึ่งยื่นส่งให้
เฉียวเจายื่นมือไปรับมา “ฝากขอบคุณคุณหนูเจียงแทนข้าด้วย”
เหอซื่อเห็นบุตรสาวรับเทียบเชิญไว้ก็อดร้อนใจไม่ได้ นางบีบแขนเฉียวเจาทีหนึ่งค่อยกล่าวว่า “เจาเจา สีหน้าเจ้าดูไม่ดีอย่างมาก รีบตามแม่กลับเรือนโดยไว จะได้เชิญหมอสักคนมาตรวจอาการเจ้าอย่างละเอียด”
นางกล่าวถ้อยคำนี้แล้วไม่รอดูว่าเจียงสืออีจะมีท่าทีเช่นใด ก็ฉุดเฉียวเจาขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ริมถนน
หลีกวงเหวินลูบๆ จมูกอย่างกระอักกระอ่วน
เขายังรอบุตรสาวโผมาซบอกร่ำไห้ด้วยความยินดีอยู่ ผลปรากฏว่านางยังมิได้เรียก ‘ท่านพ่อ’ สักคำก็ถูกภรรยาพาขึ้นรถม้าไปเลย ช่างน่าขุ่นใจจริงๆ
เมื่อเห็นรถม้าค่อยๆ แล่นห่างไปไกลขึ้นทุกที หยางโฮ่วเฉิงสะกิดฉือชั่นอย่างฉงนใจ “สือซี ไฉนเมื่อครู่นี้เจ้าไม่เข้าไปล่ะ”
ฉือชั่นขึงตาใส่เขา “เวลานี้เข้าไปด้วยเหตุใดกัน ข้าไม่ได้เบาปัญญาสักหน่อย”
ถ้ามีแต่หลีซานก็แล้วกันไป ตอนนี้บิดามารดาของนางล้วนอยู่ด้วย เขาน่ะเป็นชายหนุ่มแสนประเสริฐที่สุภาพและเคร่งครัดธรรมเนียมนะ