แม้ว่าองครักษ์จินหลินสั่งกำชับมิให้แพร่งพรายเรื่องของอารามซูอิ่งต่อคนภายนอก แต่เฉียวเจาไม่คิดจะปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้คร่าวๆ รอบหนึ่ง ส่วนหญิงชรารับฟังด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“ยังดีที่เจ้าไม่เป็นไร ผู้ใดจะคาดคิดว่าในวัดต้าฝูกับอารามซูอิ่งจะมีคนกล้าก่อเรื่องเข่นฆ่าสังหารคน เจาเจา วันหน้าไม่ต้องไปแล้วกระมัง”
“อื้อ ไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโล่งอก นางกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “วันหน้าอยู่เรือนแล้วอุดอู้เบื่อหน่าย พวกเราก็ไปเดินเที่ยวในเมืองกัน”
“ดีเจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังท่านย่า” เฉียวเจาพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “ท่านย่า ท่านให้ข้าตรวจดูสักหน่อยนะเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านไม่ค่อยสบายมิใช่หรือ”
“คนแก่คนเฒ่าเป็นเช่นนี้ล่ะ ไม่เป็นอะไรมาก” ถึงฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวคำนี้ นางก็ยังคงยื่นข้อมือออกไป
เฉียวเจาจับชีพจรของนางแล้วคลายใจลงได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาจอิดโรยบ้าง แต่สุขภาพยังแข็งแรงดี
“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร สมัยวัยสาวท่านย่าเคยทำไร่ไถนาด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ยายเฒ่าที่เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองพวกนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดพลางขยิบตา พยักพเยิดคางไปทางทิศตะวันออก “กลับเป็นท่านย่าใหญ่ของเจ้า ดวงตาของนางนับวันยิ่งอาการแย่ลง พักก่อนยังมาเลียบเคียงถามข้าว่าเจ้ารักษาเจ้าเดรัจฉานน้อยของตระกูลฉางชุนป๋อหายได้เช่นไร”
เฉียวเจาได้ยินแล้วสะดุดใจวูบ นี่ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกพุ่งเป้ามาที่นางแล้วหรือ ยังดีที่ผู้รู้วิชาแพทย์มีข้อดีอยู่จุดหนึ่ง ปฏิเสธว่ารักษาไม่เป็น ผู้ใดก็หมดปัญญา
“เจาเจา เจ้ากลับไปชำระกายผลัดอาภรณ์ก่อนเถอะ ประเดี๋ยวถึงเวลากินอาหารค่อยให้พวกสาวใช้ไปตามเจ้า”
“เช่นนั้นข้าขอตัวเจ้าค่ะ”
ยามเฉียวเจากลับถึงเรือนเล็กฝั่งซ้าย อาจูสาวเท้าเร็วรี่เข้ามาต้อนรับ “คุณหนู…”
สาวใช้ผู้สุขุมเป็นนิจจับแขนเสื้อนางไว้ด้วยสองตาแดงเรื่อ
เฉียวเจานั้นนับได้ว่าเฉียดกรายประตูนรกมาหนหนึ่ง นางตบหลังมืออาจูอย่างสะทกสะท้อนใจ “ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว”
ปิงลวี่ยื่นมือไปสวมกอดอาจูไว้เต็มสองแขน ส่งผลให้นางตะลึงงันไป “ปิงลวี่?”
“อื้อ จู่ๆ รู้สึกว่าเห็นเจ้าแล้วถูกตากว่าพวกพระหัวโล้นในวัดต้าฝูพวกนั้นตั้งเยอะเลย”
อาจูอึ้งงัน “…”
เมื่อเฉียวเจาชำระกายอย่างจุใจและสวมเสื้อกับกระโปรงชุดใหม่สบายตัวแล้ว ถึงได้หยิบเทียบเชิญที่เจียงสืออีมอบให้นางออกมาดู
เฉียวเจาไม่คิดว่าเทียบใบนี้เป็นเจียงซือหร่านส่งให้ตน ในความคิดของนางน่าจะเป็นเจียงถังอ้างบุตรสาวบังหน้าเพื่อจะพบนาง จึงคิดไม่ถึงว่าหลังอ่านแล้วถึงล่วงรู้ว่านางคาดเดาผิดไป
เจียงซือหร่านเป็นคนออกเทียบใบนี้จริงๆ สถานที่นัดพบคือจวนสกุลเจียง
ตอนเจอกันคราวนั้นคุณหนูเจียงอยากสับนางเป็นชิ้นๆ ใจจะขาด ตอนนี้กลับออกเทียบเชิญนาง?
“คุณหนู ท่านดูเทียบใบนี้ด้วยเหตุใดเจ้าคะ คงไม่คิดจะไปจริงๆ กระมัง ท่านอย่าได้คิดไม่ตกเป็นอันขาด คุณหนูเจียงมิใช่คนดี” ปิงลวี่เห็นเจียงสืออียัดเยียดเทียบให้เฉียวเจากับตา นางอดเอ่ยเตือนขึ้นไม่ได้
“ยังไม่เคยไปเดินเที่ยวจวนท่านผู้บัญชาการใหญ่กระมัง พรุ่งนี้ข้าพาเจ้าไปด้วยกัน” เฉียวเจาบอกพร้อมรอยยิ้มพริ้มพราย
เทียบเชิญเป็นเจียงสืออีมอบให้นางแสดงว่าเจียงถังรู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้นางบอกปัดครั้งนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้เผชิญหน้าตรงๆ มีปัญหาอะไรก็รีบสะสางโดยไวดีกว่า
“ท่านจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ ถ้าเกิดคุณหนูเจียงกลั่นแกล้งท่านจะทำฉันใด”
“มีปิงลวี่อยู่ทั้งคนไม่ใช่หรือ” เฉียวเจากระเซ้านาง
สาวใช้น้อยฟังแล้วโลหิตในกายฉีดพล่านทันที นางเดินไปข้างนอกพลางเอ่ย “คุณหนู ข้าออกไปซ้อมมวยชุดหนึ่งค่อยมาปรนนิบัติท่านนะเจ้าคะ”
ข้าต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์ จะได้คุ้มครองคุณหนู!
วันนี้เหล่าชาวจวนตะวันตกชุมนุมตัวที่เรือนชิงซงกินอาหารพร้อมหน้ากันอย่างสนุกครึกครื้น แม้แต่คุณหนูใหญ่หลีเจี่ยวซึ่งมิได้ย่างเท้าออกนอกประตูห้องมานานยังปรากฏตัวด้วย
ถึงแม้สายตาคับข้องของหลีเจี่ยวจะมองมาที่ตัวหลีเจาบ่อยๆ แต่นางกลับไม่สะดุ้งสะเทือนสักน้อยนิด ยังคงกินอาหารได้อย่างสบายใจยิ่ง จากนั้นเหอซื่อชวนนางไปพักผ่อนในเรือนกลางของเรือนหยาเหอ
ฝ่ายหลีกวงเหวินหลบไปที่ห้องหนังสือเงียบๆ
เมื่อก่อนข้านอนในห้องหนังสือมาได้ตั้งนานหลายปี ไฉนเพิ่งไม่ได้นอนที่นี่ไม่กี่วันก็รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างนะ
นายท่านใหญ่ของสกุลหลีคิดคำนึงอย่างเศร้าสร้อย ขณะเอนกายอยู่บนตั่งขาเตี้ยแข็งกระด้าง
วันถัดมาเฉียวเจาแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมพรักแล้วไปตามนัดหมายที่จวนสกุลเจียง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.