ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม 5 บทที่ 334-บทที่ 335
บทที่ 334
“จากข่าวที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของกวนจวินโหวสืบมาได้ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับหลันซื่อฮูหยินของมู่เอินป๋อสนิทสนมกันมาก ฤดูหนาวปีกลายคุณหนูใหญ่ของจวนมู่เอินป๋อล้มป่วยจากไป อาการของนางคล้ายคลึงกับอาการตอนพิษหอมสูญกำเริบ”
“คุณหนูใหญ่ของจวนมู่เอินป๋อแซ่เฉิงใช่หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจาไต่ถาม
เฉียวโม่ผงกศีรษะ “น้องเจารู้จักคุณหนูเฉิงหรือ”
“เคยได้ยินเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่สกุลเฉิงเดิมเป็นหัวหน้าชุมนุมฟู่ซาน”
ตอนที่นางคิดจะเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานนั้นเคยสืบความเป็นมาของชาวชุมนุมคนสำคัญๆ ไว้โดยเฉพาะ และได้รู้เรื่องของหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานเป็นคนแรก
คุณหนูเฉิงคือบุตรสาวคนโตสายเลือดภรรยาเอกของมู่เอินป๋อ ทว่ามารดาบังเกิดเกล้าด่วนจากไป ถึงกระนั้นนางโฉมงามดุจบุปผา มีความสามารถล้นเหลือ ไม่ต้องเอ่ยถึงอื่นใดเพียงดูจากว่านางได้เป็นหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานทั้งที่ในเมืองหลวงมีสตรีโดดเด่นอยู่เกลื่อนกล่นก็พอจะบ่งบอกได้ทุกสิ่งแล้ว เพียงน่าเสียดายที่หญิงงามมักอาภัพ คุณหนูเฉิงยังไม่ออกเรือนก็ต้องลาลับโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
หลันซื่อฮูหยินคนปัจจุบันของมู่เอินป๋อเป็นภรรยาคนที่สอง นางคือบุตรสาวคนเล็กของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน
“จะอาศัยแค่ว่าเหมาซื่อกับฮูหยินของมู่เอินป๋อสนิทสนมกัน และอาการป่วยของคุณหนูเฉิงคล้ายกับตอนพิษหอมสูญกำเริบ ก็ยืนยันว่าฮูหยินของมู่เอินป๋อเป็นคนจัดหาพิษหอมสูญมาให้เหมาซื่อได้แล้วหรือ อย่าลืมว่าอาการตอนพิษหอมสูญกำเริบไม่ต่างจากโดนลมเย็นเท่าไรนะเจ้าคะ” แม้นเฉียวเจาเชื่อถือในการสืบข่าวของเซ่าหมิงยวน ยังชี้ข้อน่าสงสัยขึ้น
“เจาเจา ไม่ว่าอย่างไรนางคือท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเรา เอาแต่เรียกว่าเหมาซื่อ…”
“พี่ใหญ่ลืมไปหรือว่าตอนนี้ข้าคือหลีเจา เดิมทีนางก็มิใช่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าแล้ว”
เมื่อไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายโลหิตแล้ว สำหรับญาติพี่น้องในอดีตนางดูแต่ความรักใคร่ผูกพันเท่านั้น หากเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันกันและถึงขั้นปองร้ายพี่ชายของนาง จะนับเป็นป้าสะใภ้อะไรอีก
“เจ้านี่นะ” เฉียวโม่ยกมือยีหัวน้องสาว เขาพูดกลับเข้าเรื่องเดิม “ไม่ใช่เท่านี้แน่นอน น้องเจารู้หรือไม่ว่าจวนมู่เอินป๋อมีอะไรโด่งดังมากที่สุด”
“พี่ใหญ่โปรดชี้แนะสอนสั่งเจ้าค่ะ” เห็นพี่ชายไม่ติดใจกับคำที่ตนใช้เรียกขานเหมาซื่ออีก เฉียวเจาอารมณ์ดีพอดู นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม
“จวนมู่เอินป๋อมีชื่อโด่งดังที่สุดคือโรงหมอจี้เซิง ตกทอดต่อๆ กันมานานนับหลายร้อยปี ในช่วงระหว่างนี้สกุลเฉิงประสบผ่านความรุ่งเรืองตกต่ำสลับกันไปจนกระทั่งราชวงศ์นี้มีคนในตระกูลได้เป็นฮองเฮา ถึงนับว่าย่างกลับเข้าสู่หมู่ชนสูงศักดิ์อีกคราหนึ่ง แต่มีเพียงโรงหมอจี้เซิงที่ยืนหยัดมั่นคงเรื่อยมา”
“ข้าก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพวกนี้มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ เจ้าค่ะ” เฉียวเจาขบคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เกี่ยวข้องกับโรงหมอจี้เซิง?”
เฉียวโม่พยักหน้า “น้องเจารู้อยู่แล้วว่าพิษหอมสูญเป็นของหายากมาก ย่อมไม่มีตามโรงหมอทั่วไป ตอนผู้ใต้บังคับบัญชาของกวนจวินโหวสืบสาวไปถึงโรงหมอจี้เซิง พบว่ามีหมอแซ่หานผู้หนึ่งมาจากทิศใต้ เวลานั้นหมอหานผู้นั้นมาขออาศัยครอบครัวที่เป็นญาติห่างๆ ผลปรากฏว่าไม่ถึงหนึ่งปี คนในครอบครัวของญาติห่างๆ ท่านนั้นทยอยกันตายเพราะอาการโดนลมเย็น…”
เฉียวเจาได้ยินแล้วโคลงศีรษะ โดนลมเย็นอาจคร่าชีวิตคนได้ แต่คนทั้งครอบครัวตายด้วยอาการโดนลมเย็นไปทีละคนนี้พบได้ไม่มากนัก
“หมอหานท่านนั้นได้รับทรัพย์สมบัติของครอบครัวญาติห่างๆ ไปแล้วเปิดโรงหมอแห่งหนึ่ง น่าเสียดายที่โชคไม่ดี เปิดไม่ถึงสองปีก็พลั้งมือรักษาคนป่วยที่มาจากตระกูลผู้มีอำนาจตายไปคนหนึ่ง โรงหมอเลยโดนคนทุบพัง ตัวเขาเองก็ถูกตีขาหักข้างหนึ่ง ต่อมาฮูหยินของมู่เอินป๋อเป็นคนช่วยจัดการให้เขาเข้าไปอยู่ในโรงหมอจี้เซิง…” เฉียวโม่เล่าเรื่องที่สืบเสาะมาได้ให้น้องสาวฟังอย่างละเอียด “ขณะนี้เกือบมั่นใจได้แล้วว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่ได้พิษหอมสูญมาจากฮูหยินของมู่เอินป๋อ แต่ยังไม่ได้หลักฐานมัดตัวมาไว้ในมือ เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเลยยังไม่แตะต้องหมอผู้นั้นในเวลานี้”
“สืบเรื่องพวกนี้ได้ในเวลาสั้นๆ เท่านี้ก็หาได้ยากมากแล้วเจ้าค่ะ”
หมู่นี้เกิดเรื่องขึ้นต่อๆ กันไม่หยุดหย่อน นางคิดไม่ถึงเลยว่าเซ่าหมิงยวนจะสืบพบเบาะแสได้รวดเร็วเพียงนี้
“พี่ใหญ่ เช่นนี้แสดงว่าคนที่อยากเล่นงานท่านจริงๆ คือสมุหราชเลขาธิการหลันซานหรือเจ้าคะ”
เฉียวโม่ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “บางทีกระมัง สิงอู่หยางแม่ทัพคั่งวอนั้นใกล้ชิดกับหลันซานอยู่แต่เดิม เขาคิดจะเล่นงานข้าก็มิใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ข้ากำลังคิดว่าต่อให้ได้หลักฐานมัดตัวมาแล้วไปวางเบื้องพระพักตร์โอรสสวรรค์ สุดท้ายอาจไม่เกิดผลลัพธ์อะไรก็เป็นได้”
สมุหราชเลขาธิการหลันซานอยู่ในราชสำนักใช้มือเดียวปิดฟ้ามาเกือบยี่สิบปี หากบอกว่าในกาลก่อนเขาคิดว่าฮ่องเต้โดนขุนนางโฉดปิดหูปิดตา เช่นนั้นหลังได้พบปะกับโอรสสวรรค์พระองค์นี้อย่างใกล้ชิด และประสบกับเคราะห์ภัยโดนจองจำครั้งหนึ่ง เขาค่อยๆ ตาสว่างแล้วว่าไม่มีฮ่องเต้หมิงคังให้ท้าย หลันซานจะกุมอำนาจไว้ผู้เดียวได้อย่างไร
“อยากได้หลักฐานมัดตัวนั้นยากมากเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยปากพูด
หมอหานผู้นั้นเป็นคนของฮูหยินของมู่เอินป๋อ ต้องไม่ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรใดๆ ไว้เป็นแน่ และถึงเขารับสารภาพ เพียงอาศัยคำให้การข้างเดียว อย่าว่าแต่จะสั่นคลอนตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการของหลันซาน ถึงอยากจัดการหลันซื่อฮูหยินของมู่เอินป๋อก็ยังปราศจากหนทางใด
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต่อให้มีหลักฐานมัดตัวก็ตามที อาจเป็นดั่งเช่นที่พี่ใหญ่กังวลใจว่าฮ่องเต้เต็มใจจะแตะต้องหลันซานหรือไม่ยังบอกได้ยากยิ่ง
“เรื่องนี้เจ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็พอ เจาเจา ไหนเล่ามาบ้างสิว่าเจ้าอยู่ในภูเขาหลายวันนั้นพบเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง”
“เขาไม่ได้บอกกับพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”
เฉียวโม่ยิ้มน้อยๆ “เขาน่ะใครรึ”
เฉียวเจามองพี่ชายตาขุ่น “พี่ใหญ่ ข้าพูดจริงจังเจ้าค่ะ”
“เขาย่อมไม่บอกอะไรมากแน่นอน จะอย่างไรในสายตาเขาเจ้าคือหลีเจา เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังมากไปไม่เหมาะ”