เจียงซือหร่านยื่นมือไปขยุ้มเคราของบิดา “ท่านพ่อ ท่านไม่เชื่อข้าหรือเจ้าคะ”
“เชื่อๆ ปล่อยมือเร็วเข้า”
นางคลายมือออก บอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ท่านพ่อ ท่านสืบให้ข้าทีว่าวันนี้หลีซานอยู่ที่ใด ข้าจะไปหานาง”
“เจ้าไปหานางด้วยเหตุใดกัน”
“นางทำร้ายเจินเจินจนกลายเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าต้องไปไล่เลียงเอาความกับนาง”
เจียงถังหุบยิ้มกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หร่านราน อย่าทำเหลวไหล”
เจียงซือหร่านนิ่งอึ้งไป นางพูดอย่างเหลือเชื่อ “ท่านพ่อ ท่านว่าข้าทำเหลวไหล? หรือว่านางทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนั้น ไม่ควรไปไล่เลียงเอาความกับนางอย่างนั้นหรือ”
“หร่านราน เรื่องอื่นพ่อตามใจเจ้าได้หมด มีเพียงเรื่องของคุณหนูหลีที่ไม่ได้ พ่อเคยบอกแล้วว่าเจ้าอยากผูกไมตรีกับคุณหนูหลีย่อมทำได้ แต่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับนางอีกไม่ได้ โดยเฉพาะห้ามทำร้ายนาง!”
หากเป็นไปได้เขาย่อมหักใจปล่อยให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนทนคับข้องหมองใจไม่ได้ แต่ถ้าเขาไม่มีชีวิตอยู่ ผู้ใดเล่าจะปกป้องบุตรสาวได้เช่นนี้ ฉะนั้นเขาไม่มีวันให้ใครแตะต้องคุณหนูหลี รวมถึงหร่านรานด้วย
“ท่านพ่อ นางเป็นบุตรสาวในไส้ของท่านต่างหากกระมัง” เจียงซือหร่านโกรธจัด
ถึงเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของบุตรสาว เจียงถังยังทำใจแข็งอย่างหาได้ยาก “หร่านราน พ่อพูดกับเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าต้องรับปากพ่อ”
“ถ้าไม่รับปากล่ะเจ้าคะ” เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากเอ่ยถาม
เจียงถังถอนใจเฮือก “พี่อู่ของเจ้าอยู่ที่จยาเฟิงไม่ใคร่ราบรื่น บางทีพ่ออาจใคร่ครวญโยกย้ายสือซานกลับไป”
เจียงซือหร่านทำหน้าตะลึงลาน “ท่านพ่อ ท่านพูดล้อเล่นใช่หรือไม่”
“เรื่องเช่นนี้ พ่อไม่เคยพูดล้อเล่น”
เจียงซือหร่านไม่เคยเห็นบิดาทำสีหน้าและน้ำเสียงดุดันในลักษณาการนี้มาก่อน ซ้ำยังเป็นเพราะเด็กสาวพิลึกพิลั่นผู้หนึ่ง นางกระทืบเท้าอย่างโมโหโทโส “ท่านพ่อ ข้าไม่สนใจท่านแล้ว”
แม้จะทั้งโกรธเคืองทั้งน้อยใจ ถึงที่สุดแล้วเจียงซือหร่านก็เชื่อฟังคำพูดของเจียงถัง สะกดไฟโทสะสุมอกไว้ไม่ไปหาเรื่องเฉียวเจาอีก
หลังเซ่าหมิงยวนเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อยแล้วก็นึกได้ว่าพวกเฉียวโม่ต้องรอกินอาหารกับตนอยู่เป็นแน่ เขาจึงควบม้าเร็วรุดกลับไปโดยไว
“พี่เฉียวโม่ ปล่อยให้พวกท่านรอนานแล้ว” บนโต๊ะอาหาร เซ่าหมิงยวนยกจอกสุราขึ้นดื่มคารวะเฉียวโม่
เฉียวเจาเอ่ยเตือนขึ้น “แม่ทัพเซ่า ท่านดื่มสุราให้น้อยลงเป็นการดีที่สุดนะเจ้าคะ”
“อ้อ ได้” เซ่าหมิงยวนวางจอกสุราโดยไม่อิดออดแล้วรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง “เช่นนั้นข้าดื่มน้ำชาต่างสุราขอขมาต่อทุกคนก็แล้วกัน”
เฉียวโม่ชายตามองน้องสาวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เฉียวเจาเม้มปากยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง นางยังนึกว่าต้องจาระไนเหตุผลยืดยาวคนผู้นั้นถึงยอมรับฟังเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับตอบตกลงทันที
เฉียวโม่ยกจอกสุราขึ้น “ขอบคุณท่านโหวที่ช่วยดูแลเจาเจาแทนข้ามาตลอดหลายวันนี้”
เซ่าหมิงยวนบีบมือที่กุมถ้วยน้ำชาแน่นขึ้น กล่าวยิ้มๆ ตามสบาย “สมควรแล้ว คุณหนูหลีเป็นหมอของข้า ข้าพึงดูแลนางให้ปลอดภัยเป็นธรรมดา”
เฉียวเจาชายตามองเขา พลางรำพึงในใจว่า กลับรู้จักออกตัวเป็น!
เซ่าหมิงยวนไม่เหลียวซ้ายแลขวา ชนจอกกับเฉียวโม่แล้วดื่มน้ำชาจนเกลี้ยง
เฉียวโม่ลอบโคลงศีรษะ
น้องสาวคนโตของเขาฉลาดหัวไวและเก่งกาจรอบตัว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง เขาในฐานะพี่ชายได้แต่เคารพในความคิดของนาง แต่มองดูบรรยากาศอันคลุมเครือระหว่างคนคู่นี้อยู่ด้านข้าง เขายังคงอดหนักใจไม่ได้
ตกลงน้องเจาคิดอย่างไรกันแน่
ยังมีกวนจวินโหวอีกคน ก่อนหน้านี้เขาสวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ให้ภรรยา เฉียวโม่ดูแล้วสบายตาอยู่มาก ทว่าบัดนี้น้องสาวคนโตนั่งอยู่ตรงนี้ดีๆ พอเห็นเขาในชุดสีขาวอีกทีก็รู้สึกคับอกคับใจอย่างไร้สาเหตุ
ความสัมพันธ์นี้สลับซับซ้อนเกินไป สุดท้ายเฉียวโม่จึงตกลงใจปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติจะดีกว่า
เมื่อกินข้าวเสร็จ เฉียวเจาฝังเข็มให้เซ่าหมิงยวนตามปกติ หลังนางกลับจวนแล้วเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องการแผ่นหนึ่งสั่งให้อาจูไปซื้อหา จากนั้นก้มหน้าก้มตาแยกแยะกระเปาะพิษที่ซ่อนอยู่ในฟัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.