“ท่านโหวมีเรื่องใดกันแน่” เฉียวโม่ชักกระวนกระวายใจ
ต่อให้เป็นตอนบอกเรื่องที่เขาโดนวางยาพิษ กวนจวินโหวยังไม่เคยลังเลอย่างนี้
“เป็นท่านหมอเทวดาหลี่” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดในที่สุด
เฉียวโม่มองอีกฝ่ายทันที เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เซ่าหมิงยวนถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ได้รับสารด่วนจากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าที่คุ้มครองท่านหมอเทวดาเดินทางสู่ทะเลแดนใต้ หลังจากกลุ่มของพวกเขาออกทะเลไปเสาะหามุกนิ่ม กลับประสบพายุกลางทะเล นอกจากเขาที่ถูกเรือที่แล่นผ่านมาช่วยไว้ คนอื่นๆ ล้วนมีอันเป็นไปทั้งหมด”
เฉียวโม่ตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว เขาเกาะชั้นวางหนังสือพยุงตัวไว้พลางกล่าวเสียงหลง “รวมถึงท่านหมอเทวดาด้วยหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเนิบนาบ
เฉียวโม่นั่งลงด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เอานิ้วมือทั้งสิบขยุ้มผมอย่างทรมานใจ เขาพูดพึมพำว่า “ข้าเป็นคนทำร้ายท่านผู้เฒ่าทางอ้อม”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
เผชิญกับภัยธรรมชาติอย่างพายุกลางทะเล เขาย่อมไม่อาจกล่าวโทษผู้ใต้บังคับบัญชาว่าบกพร่องในหน้าที่ ด้วยเหตุนี้เองในใจจึงยิ่งเคว้งคว้างทุกข์ทรมาน
ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ นานพักใหญ่ ต่อมาเฉียวโม่ละม้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขาหันไปมองเซ่าหมิงยวน “ทางเจาเจา…”
ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหมอเทวดาหลี่คือความเคารพนับถือต่อผู้อาวุโส แต่ในกาลก่อนไม่ใคร่ได้ใกล้ชิดกันเท่าไรนัก ทว่าเจาเจาต่างออกไป สำหรับเจาเจาแล้วหมอเทวดาหลี่ก็คือท่านปู่อีกคนหนึ่ง
“ต้องบอกนางหรือไม่” เซ่าหมิงยวนถาม
“แน่นอน” เฉียวโม่ตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ
“คุณหนูหลีต้องเสียใจมากกระมัง” เซ่าหมิงยวนถามเสียงเบา
เฉียวโม่กดตรงหว่างคิ้วแรงๆ ทีหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “ใช่ เรื่องนี้ปิดได้ชั่วคราว ปิดไม่ได้ชั่วชีวิต ถึงจะบอกนางในวันหน้า นางก็ต้องพบกับความเสียใจอยู่ดี ซ้ำร้ายยังจะตัดพ้อต่อว่าที่พวกเราปิดบังไว้ มิสู้บอกกับนางตอนนี้เลยจะดีกว่า”
เห็นเซ่าหมิงยวนไม่พูดไม่จา เฉียวโม่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “วางใจเถอะ ถึงเจาเจาต้องเสียใจมาก ทว่านางยอมให้เปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่าปิดบังด้วยเจตนาดี แม้มันจะโหดร้ายก็ตามที”
“พี่เฉียวโม่รู้จักคุณหนูหลีดีเหลือเกิน”
“ใช่ ข้าเคยบอกแล้วว่านางกับน้องเจาคล้ายกันมาก”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง “เช่นนั้นเรื่องของท่านหมอเทวดา ขอให้พี่เฉียวโม่ช่วยบอกคุณหนูหลีด้วยเถอะ”
เฉียวโม่ไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี สายตาเขาที่มองเซ่าหมิงยวนทอประกายผิดแผกไปอยู่หลายส่วน
เซ่าหมิงยวนบอกตามสัตย์จริง “ข้ากลัวคุณหนูหลีร้องไห้”
“ตกลง ข้าไปบอกนางเอง” เฉียวโม่ลุกขึ้นยืน มาตรว่าจับความรู้สึกจากใบหน้าไม่ออก หากฝีเท้าเขาแลดูหนักอึ้ง
พวกเขาเป็นบุรุษ จะเจ็บปวดทุกข์ใจปานใดก็ต้องกัดฟันทนไว้ แต่เพราะอะไรต้องให้สตรีคนหนึ่งอย่างน้องเจาพบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากแบกรับแทนนางไว้เหลือเกิน
เฉียวโม่กลับถึงศาลารับลม
เฉียวเจากำลังเอาเม็ดหมากเคาะโต๊ะเล่นๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น นางโยนเม็ดหมากกลับลงไปในโถแล้วลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่…”
สีหน้าของพี่ชายทำให้นางกลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอไป
เฉียวโม่นั่งลงฝั่งตรงข้าม “เจาเจา นั่งสิ”
เฉียวเจานั่งลงเงียบๆ
“เจาเจา มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้า” เฉียวโม่กล่าวขึ้นต้นแล้วมองสบนัยน์ตาสุกใสของน้องสาว เขาก็เอื้อนเอ่ยคำพูดประโยคหลังออกจากปากไม่ได้ชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่หลังต้นฉำฉาทอดสายตามองมาทางศาลา ในใจเขากระสับกระส่ายอยู่บ้างอย่างปราศจากเหตุผล
“พี่ใหญ่?” ท่าทางนิ่งเงียบของพี่ชายทำให้ริมฝีปากของเฉียวเจาค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย นางสะกดอาการสั่นสะท้านไว้ ถามเสียงเนิบช้า “เกี่ยวกับท่านปู่หลี่หรือไม่เจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแล้วใช่หรือไม่”
นางสูญเสียสิ่งที่สูญเสียได้ไปเกือบหมดแล้ว ถึงตอนนี้ยังมีอะไรทำให้พี่ชายไม่กล้าบอกกับนางอีกเล่า
“พี่ใหญ่!”
เฉียวโม่ยื่นมือไปวางทาบหลังมือเย็นเฉียบของน้องสาว “ท่านหมอเทวดาประสบพายุกลางทะเล เสียชีวิตแล้ว”
เฉียวเจาเหยียดแผ่นหลังไม่กล่าววาจาสักคำ ดวงหน้าซูบตอบเผือดขาวยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาว
เฉียวโม่กุมมือนางแน่นๆ กล่าวเสียงนุ่ม “เจาเจา พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้ เจ้ามิได้โดดเดี่ยวคนเดียว เสียใจก็ร้องไห้ออกมาเถอะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.