ทั้งที่นางรู้ว่าโยนความผิดไปให้เซ่าหมิงยวนไม่ได้ แต่พอนางเห็นเขาก็คับข้องหมองใจอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงขั้นอยากทุบตีเขาสักยกตามอำเภอใจแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่ว่าเขาคงเสียใจเหมือนกันกระมัง
เห็นดวงตาของเด็กสาวแดงก่ำ เซ่าหมิงยวนอยากกอดนางไว้แล้วกระซิบพูดปลอบขวัญแบบเฉียวโม่เหลือเกิน ทว่าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนี้ได้
เขาได้แต่เผยรอยยิ้มอ่อนโยน กล่าวปลอบใจว่า “ข้าเข้าใจจิตใจของคุณหนูหลี ถ้าเสียใจก็ร้องไห้ออกมาเถอะ เก็บกดไว้ในใจจะเสียสุขภาพได้”
เฉียวโม่สาวเท้าเข้ามาในตอนนี้เอง
เฉียวเจาฝืนยิ้ม “พี่ใหญ่ แม่ทัพเซ่า ข้าอยากกลับเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
“เจาเจา…”
“พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ พรุ่งนี้ข้ายังมาเช่นเคยเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่ลอบถอนใจ เขากล่าวกับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว รบกวนท่านออกไปส่งเจาเจาด้วย”
ตลอดทางออกจากจวน เฉียวเจาเงียบขรึมมาก เซ่าหมิงยวนอยากเปล่งเสียงกล่าวปลอบหลายครั้งหลายครา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
เขาถูกลิขิตให้มิใช่คนที่จะให้นางได้ซบไหล่พักพิงผู้นั้น
“แม่ทัพเซ่า ท่านส่งถึงตรงนี้เถอะ” เฉียวเจาหยุดฝีเท้าตรงหน้าประตู
“ข้าจะไปส่งท่านขึ้นรถม้า”
ตอนนี้เฉียวเจาไม่มีแก่ใจบอกปัด นางพยักหน้าแล้วเดินไปข้างนอกเงียบๆ
รถม้าจอดอยู่นอกประตูเล็ก
เซ่าหมิงยวนเลิกม่านประตูขึ้นให้นางด้วยตนเอง รอเมื่อนางก้มตัวก้าวขึ้นไป รถม้าค่อยๆ แล่นจากไปไกล เขาถึงกลับเข้าจวน
เฉียวโม่ยังคงนั่งอยู่ในศาลา เพ่งมองกระดานหมากที่ยังเดินไม่จบเบื้องหน้าอย่างใจลอย
เซ่าหมิงยวนนั่งลงฝั่งตรงข้าม “คุณหนูหลีไปแล้ว ดูท่าทางนางยังนับว่าปกติดี”
“เพราะเป็นอย่างนี้ข้าถึงเป็นห่วง นางกลัวข้ารู้สึกผิดเลยไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าข้า” เฉียวโม่พูดเสียงขื่นๆ
“พี่เฉียวโม่รู้จักคุณหนูหลีดีเหลือเกิน”
เฉียวโม่มองเขาอย่างพินิจ เห็นสีหน้าแววตาสงบนิ่งของอีกฝ่าย ในใจเขาจู่ๆ บังเกิดความคิดชั่ววูบอย่างหนึ่งว่าถ้าบอกให้กวนจวินโหวรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจาเจา เขาจะเป็นอย่างไร ยังจะเยือกเย็นและสงวนท่าทีดังเช่นในเวลานี้อีกหรือไม่
เซ่าหมิงยวนสังเกตเห็นสีหน้าแววตาของเฉียวโม่ผิดไปจากเดิมอยู่บ้าง เขาอดถามขึ้นไม่ได้ “พี่เฉียวโม่?”
เฉียวโม่เบนสายตาออกไปทางอื่น “บางครั้งข้าคิดว่าหากคุณหนูหลีเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าก็คงดี”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “พี่เฉียวโม่กับคุณหนูหลีเป็นพี่น้องบุญธรรมกันแล้ว ย่อมเห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ได้เต็มที่”
“ไม่ใช่” เฉียวโม่ดึงสายตากลับมามองเขา กล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง “บางครั้งข้ารู้สึกเหมือนกับว่านางก็คือน้องเจาฟื้นคืนชีพขึ้นมา”
หัวใจของเซ่าหมิงยวนเต้นถี่แรงถึงขั้นได้ยินเสียงใจเต้นตึกตัก หากเป็นอย่างนั้นจะดีปานใดหนอ ทว่านี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันเท่านั้น
เฉียวโม่รอดูอาการตอบสนองของเซ่าหมิงยวน กระนั้นอีกฝ่ายกลับดูคล้ายต้องมนตร์สะกด ไม่ปริปากพูดสักคำอยู่เนิ่นนาน
เขาได้แต่กระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนสะกดอารมณ์ที่สับสนว้าวุ่นไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถึงจะเหมือนกันเพียงใด พวกนางก็เป็นคนละคนกัน”
เขากล่าวตอบเฉียวโม่ไปเช่นนี้ แต่จนกระทั่งกลับถึงห้องหนังสือในห้วงความคิดเขายังยุ่งเหยิงวุ่นวาย ประเดี๋ยวนึกถึงคำพูดแปลกๆ ชอบกลของเฉียวโม่ ประเดี๋ยวเป็นภาพดวงตาแดงก่ำของเด็กสาว
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงเปิดประตูออกไปยังที่พำนักของเฉินกวง
“ท่านแม่ทัพ…” เฉินกวงนั่งพิงหัวเตียงกินองุ่นอยู่อย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน พอเห็นผู้บังคับบัญชาเข้ามาก็ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง
เซ่าหมิงยวนทำมือบอกให้เขาเอนกายตามสบายพลางเอ่ย “ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“เกือบเป็นปกติดีแล้วขอรับ อันที่จริงข้าไปรายงานตัวได้แล้ว”
“รักษาตัวให้หายสนิทค่อยว่ากัน”
“ขอรับ” เฉินกวงสังเกตเห็นสีหน้าของท่านแม่ทัพไม่ใคร่ปกติ เขาจึงขานรับอย่างสงบเสงี่ยม
หลังรอคอยอยู่นานครู่ใหญ่ ไม่เห็นเซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดอีก เฉินกวงก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพ ยังมีอะไรอีกหรือไม่ขอรับ”
เอาแต่มองเขาโดยไม่พูดไม่จา ทำเอาข้าแม้แต่จะกินองุ่นก็ยังกระดากใจแล้ว
“เฉินกวง ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่ง”
“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าว”
“ถ้ามีคนผู้หนึ่งเสียใจมาก ข้าในฐานะสหายธรรมดาไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรดี ถ้าเป็นอย่างนั้นควรทำเช่นใด”
“ท่านหมายถึงคุณหนูหลีกระมัง” เฉินกวงพลั้งปากออกมา
เซ่าหมิงยวนมองเขาตาขุ่น
เฉินกวงรีบปิดปากไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พูดผิดไปๆ ข้ารู้ขอรับว่าเป็นแค่สหายธรรมดา”
“อย่ามัวพล่าม! ตอบคำถามข้า”
“ขอข้าคิดดูสักหน่อย” เฉินกวงตรึกตรองครู่หนึ่งก็ตาเป็นประกาย “นึกออกแล้ว!”