เมื่อคาดเดาได้เลาๆ เช่นนี้ เฉียวเจาก็สงบใจลงได้
ในความคิดของนาง พบปัญหาไม่น่ากลัว ทว่าไม่ล่วงรู้อะไรเลยต่างหากถึงน่าหวาดหวั่น
เมื่อเกี้ยวหยุดนิ่ง เฉียวเจาก้าวลงมาด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
“คุณหนูหลีซาน ตามข้ามาอย่าให้ห่าง”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณกงกงที่ชี้แนะ”
ไหลสี่พาเฉียวเจาไปยังตำหนักฉือหนิง เขามองอยู่ด้านข้างเห็นนางเดินมองตรงไปข้างหน้าอย่างเรียบร้อยนุ่มนวล ไม่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนให้เห็นแม้แต่น้อยนิด พาให้ในใจเขาบังเกิดความชื่นชมเพิ่มขึ้นหลายส่วน
หากมิใช่แน่ใจว่าไม่ได้พามาผิดคน เขาคงนึกไปจริงๆ ว่าคุณหนูหลีซานผู้นี้เป็นสตรีสูงศักดิ์อันดับหนึ่งในระดับแถวหน้าเชียว
“ไทเฮา คุณหนูหลีซานมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอทรงพระเจริญเพคะ” เฉียวเจาย่อเข่าถวายคำนับ
นัยน์ตาคมปลาบของหยางไทเฮามองสำรวจสตรีวัยเยาว์เบื้องหน้าขึ้นๆ ลงๆ เห็นนางมุ่นมวยห่วงคู่แบบที่พบได้บ่อยๆ ในหมู่เด็กสาว ทั้งการแต่งกายประทินโฉมและกิริยามารยาทไม่อาจจับผิดใดๆ ได้สักจุดเดียว สายตาของนางถึงอ่อนแสงลงยามกล่าวเสียงขรึม “เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูสิ”
เฉียวเจายังคงอยู่ในท่าถวายคำนับ ได้ยินคำกล่าวนี้แล้วเงยหน้าขึ้นให้หยางไทเฮาเพ่งพิศอย่างเปิดเผย ทว่าหลุบตาลงน้อยๆ ดังเก่าเป็นการแสดงความอ่อนน้อม
“รูปโฉมกลับงามเข้าที อีกสองปีต้องไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิงเก้าแล้ว”
“ไทเฮาตรัสชมเกินไปเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจเทียบเคียงองค์หญิง”
“ไม่บังอาจ? เจ้ามีอะไรไม่บังอาจ” หยางไทเฮาที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่นี้พลันบันดาลโทสะ
ข้ารับใช้ในตำหนักล้วนก้มหน้างุดไม่กล้าหายใจแรงๆ ทว่าเด็กสาวที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนยังอยู่นิ่งๆ ในอิริยาบถเดิม ถึงขั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำไป เพียงแต่วางท่าทางนอบน้อมมากขึ้น เผยให้เห็นลำคอระหงขาวผ่อง “ไทเฮาทรงระงับโทสะด้วยเพคะ หากหม่อมฉันกระทำไม่เหมาะสมตรงใด ทรงพระกรุณาให้ความกระจ่างด้วย หม่อมฉันจะพยายามแก้ไขให้ถูกต้องอย่างแน่นอน”
แววตาลึกล้ำของหยางไทเฮาจับอยู่ที่ตัวเด็กสาว นางรู้ดีว่าอยู่ในท่วงท่าถวายคำนับตลอดนั้นเหนื่อยมากแต่กลับไม่คิดเรียกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่งถึงกล่าวเนิบๆ “คุณหนูหลี เจ้ารู้หรือไม่องค์หญิงเก้าใช้ยาลบรอยแผลของเจ้าแล้วกลายเป็นอย่างไร”
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
“ไม่รู้ เพราะอะไรเจ้าถึงไม่รู้” หยางไทเฮากระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะน้ำชา เกิดเสียงดังก้องทำให้ทุกคนใจสั่นวูบหนึ่ง
เด็กสาวตรงกลางโถงตำหนักหาได้สะทกสะท้านสักน้อยนิด นางพูดตามสัตย์จริงๆ “เพราะหม่อมฉันไม่เคยถวายยาลบรอยแผลแก่องค์หญิงเพคะ”
“ปากคมปากกล้านัก!” หยางไทเฮาตวัดสายตามองเจียงซือหร่านก่อนถามเสียงเคร่ง “เจ้าไม่ได้ให้ยาลบรอยแผลแก่องค์หญิงเก้า แต่ต้องเคยให้กับคุณหนูเจียงกระมัง”
“เคยให้เพคะ” เฉียวเจาตอบสั้นกระชับ เด็กสาวอยู่ท่าย่อเข่าโดยตลอดจนขาของนางเริ่มเมื่อยล้า หากมิได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
“ต่อให้เจ้าไม่รู้ว่าคุณหนูเจียงจะนำยานั่นมามอบให้องค์หญิงเก้าใช้ แต่เอายาอะไรก็ได้หลอกลวงว่าเป็นของหมอเทวดาหลี่มาทำร้ายคนได้หรือ ข้าเรียกตัวเจ้ามาไม่ใช่แค่เพื่อองค์หญิงเก้าที่เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่รู้สึกปวดใจ ปวดใจที่บุคคลผู้เปรียบประหนึ่งเทพเซียนเฉกหมอเทวดาหลี่กลับมีหลานสาวที่แอบอ้างชื่อของเขาก่อกรรมทำชั่วตามอำเภอใจ”
เฉียวเจาได้ยินคำกล่าวนี้แล้วลอบยิ้มเยาะ
พวกเชื้อพระวงศ์จะพูดจะทำอะไรมักต้องหาเหตุผลสักอย่างบังหน้า พูดไปพูดมาจริงๆ แล้วก็อยากระบายความแค้นให้องค์หญิงเก้า อีกทั้งยังเป็นหลังจากรู้ว่าท่านปู่หลี่จากไปแล้ว นางกล้ายืนยันได้ว่าหากท่านปู่หลี่ยังมีชีวิตอยู่ ไทเฮาไม่มีทางประณามด่าทอโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเป็นแน่
อาการเมื่อยชาแผ่มาจากสองขา พาความคับแค้นใจพลุ่งพล่านขึ้นกลางอก เฉียวเจาเม้มปากปัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป
นางประจักษ์แจ้งเรื่องหนึ่งมานานแล้ว ยามคนผู้หนึ่งเหลือแต่ตนเองที่พึ่งพาได้ ไม่มีสิทธิ์คับแค้นใจ สิ่งที่นางต้องทำคือเผชิญหน้ากับมัน ทวงศักดิ์ศรีและความยุติธรรมคืนกลับมาเอง
“ทูลไทเฮา ยาที่หม่อมฉันให้คุณหนูเจียงเป็นยาที่ท่านปู่หลี่ให้หม่อมฉันไว้จริงๆ เพคะ”
“เจ้าโกหก หากเป็นยาของหมอเทวดาหลี่ เหตุใดเจินเจินใช้แล้วถึงอาการรุนแรงขึ้น” เจียงซือหร่านที่นั่งอยู่ข้างกายไทเฮาถามไล่เลียง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.