เซ่าหมิงยวนก้าวออกจากประตูโถงแล้วเดินตรงไปที่ประตูใหญ่โดยไม่หยุดฝีเท้า
แต่ไรมาที่นี่หาใช่เรือนของเขาไม่ เขาสมควรรู้ตั้งแต่แรกแล้ว
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองผืนฟ้าใหญ่เท่าฝ่ามือที่ดูขมุกขมัวในลานเรือนของจวนจิ้งอันโหวพลางหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง เขาเห็นคนที่ยืนขวางหน้าอยู่ก็หยุดเดิน
“พี่รอง ท่านกำลังจะตบแต่งภรรยาคนใหม่แล้ว คงดีใจมากกระมัง” เด็กหนุ่มปากแดงฟันขาวในวัยแตกเนื้อหนุ่มยกสองมือกอดอกมองพี่ชายที่สูงเลยศีรษะตนไปเป็นคืบ เขาอาศัยไฟโทสะฝืนวางท่าถามไล่เลียง
“ข้าต้องดีใจมากแน่นอน” เซ่าหมิงยวนพินิจดูสีหน้าของน้องชายคนเล็กแล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
ไม่ว่าน้องชายผู้นี้เคยมีความรู้สึกที่ไม่พึงมีอันใดกับเจาเจามาก่อน บัดนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว
หลังจากเจาเจาแต่งเข้าจวนกวนจวินโหว หากไม่จำเป็น เขาจะไม่พานางเหยียบย่างเข้าสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์แห่งนี้แม้สักครึ่งก้าว
หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าใจหนึ่งเขาอาจโกรธเคืองที่น้องสามมีจิตปฏิพัทธ์ต่อพี่สะใภ้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณเด็กผู้นี้ด้วย
เจาเจาเคยบอกว่าทักษะการยิงธนูของนางได้เซ่าซียวนเป็นคนสอนให้
เขานึกภาพวันเวลาที่เย็นเยือกอ้างว้างอันยืดยาวในจวนโหวได้ บางทีน้องชายผู้นี้อาจเป็นเพียงคนเดียวที่เคยให้ความอบอุ่นแก่เจาเจา
ได้ยินคำตอบของพี่ชายแล้วเซ่าซียวนฉุนเฉียวทันใด “พี่รอง ท่านลืมพี่สะใภ้รองไปแล้วหรือ ท่าน…ท่านตบแต่งภรรยาใหม่เร็วถึงเพียงนี้ ลองถามใจตนดูว่ารู้สึกผิดต่อพี่สะใภ้รองบ้างหรือไม่”
เด็กหนุ่มกล่าวจนจบแล้วแผ่นอกก็กระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขาอุตส่าห์ยกโทษให้พี่รองที่ลงมือสังหารพี่สะใภ้รองในสถานการณ์ที่หมดทางเลือกอย่างนั้นแล้ว ทั้งยังโน้มน้าวใจตนเองว่าวันหน้าให้เห็นอีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่ดี แต่พี่รองกลับตบแต่งภรรยาใหม่รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
พี่รองเอาพี่สะใภ้รองที่ตายไปแล้ววางไว้ที่ใดกัน
เซ่าหมิงยวนยกมือวางบนศีรษะน้องชาย กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “พี่รองผิดต่อพี่สะใภ้รองของเจ้า ฉะนั้นวันหน้าจะดีต่อภรรยาของตนเองให้มากๆ จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังอีก”
“ผายลม!” เซ่าซียวนเต้นผางๆ หลังคำสบถหยาบคายหลุดออกจากปาก เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว “ผายลมๆ ต่อให้ท่านดีต่อภรรยาในวันหน้าไปร้อยแปดพันประการ นางก็มิใช่พี่สะใภ้รอง เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อพี่สะใภ้รอง!”
พอเห็นเด็กหนุ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในใจเซ่าหมิงยวนทั้งหม่นเศร้าทั้งขบขัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แล้วเจ้าคิดจะเอาอย่างไร”
เขาจะใจกว้างปานใดก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ขืนเจ้าเด็กหนุ่มนี่เผยความในใจออกมาให้เห็นทนโท่อย่างนี้อีก เขาจะชกคนแล้วนะ
“ข้า…” เซ่าซียวนตอบคำถามนี้ไม่ออก
เขาคิดจะเอาอย่างไรหรือ
เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งทำให้พี่สะใภ้รองที่ตายไปฟื้นคืนชีพไม่ได้ ทั้งไม่อาจห้ามไม่ให้พี่รองตบแต่งภรรยาใหม่ เขายังจะทำอย่างไรได้
“เอาเป็นว่าใจข้ายอมรับพี่สะใภ้เพียงคนเดียว ข้าไม่มีวันเรียกภรรยาใหม่ของท่านว่าพี่สะใภ้รองแน่” เด็กหนุ่มโดนพี่ชายถามคำเดียวก็บังเกิดความคับอกคับใจ เขากระทืบเท้าแล้ววิ่งหนีไป
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวเราะก่อนจะสาวเท้าปราดๆ เดินออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า แต่ไม่อาจขัดขวางมิให้ผู้คนออกไปเยี่ยมคารวะญาติพี่น้องเพื่ออวยพรวันตรุษกันอย่างคึกคัก
ในวันที่สองเดือนหนึ่งนี้ตามธรรมเนียมพวกบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วสมควรพาสามีกลับไปอวยพรวันตรุษที่สกุลเดิม ส่วนเรือนที่มีบุตรสาวหมั้นหมายแล้วจะเตรียมอาหารและสุราไว้รอต้อนรับว่าที่บุตรเขย
เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ดังขึ้นบนถนนที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ มีคนไม่น้อยหยุดยืนมองโดยไม่รู้ตัว เห็นบุรุษวัยหนุ่มรูปงามคมคายไม่เป็นสองรองใครขี่อาชาสูงใหญ่นำหน้า พร้อมด้วยบรรดาชายหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมงติดตามอยู่ข้างหลังเป็นขบวนยาวเหยียด พวกเขาบ้างหิ้วของในมือบ้างหาบของด้วยไม้คานหาบ ถึงขั้นมีคนควบขับรถม้าช่วยกันขนของขวัญมาเต็มเพียบจนคนบนถนนมองกันตาค้าง
“สวรรค์! นั่นเป็นบุตรเขยเรือนใดกัน หน้าตาชวนมองไม่ว่า ของขวัญวันตรุษที่นำมาแทบจะเทียบเท่ากับคนอื่นมอบให้กันสิบปีแล้ว…”
“เจ้าไม่รู้เลยหรือนี่ นั่นน่ะคือกวนจวินโหว เขานำของขวัญวันตรุษมามอบให้สกุลหลีน่ะสิ จุๆ คุณหนูสามสกุลหลีช่างวาสนาดีจริงๆ”
เจียงซือหร่านยืนอยู่หัวมุมถนนกระชับเสื้อคลุมแน่นๆ พลางเบะปาก
มีดีอะไรนักหนา ก็แค่ได้ของขวัญวันตรุษมากกว่าสักหน่อยเท่านั้นเอง
นางยื่นมือไปคล้องแขนเจียงหย่วนเฉาที่นิ่งงันอยู่ แล้วกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “พี่สือซาน ท่านกลับมาได้เสียที ท่านต้องชดเชยของขวัญวันตรุษให้ข้านะเจ้าคะ”
เขาเบือนหน้ามามองนาง “คุณหนูสามสกุลหลีหมั้นหมายแล้วหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.