เซ่าหมิงยวนหุบยิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่ของข้าถือศีลปฏิบัติธรรมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ข้าก็เลยฉลองในจวนของตนเอง จะได้ไม่ทำให้พี่สะใภ้ต้องวุ่นวายขอรับ”
“ฉลองวันตรุษคนเดียวเงียบเหงาเพียงใด อีกอย่างงานฉลองวันตรุษมีเรื่องสัพเพเหระมากที่สุด พวกบุรุษจะรู้เรื่องที่ใดกัน” เหอซื่อเป็นคนตรงไปตรงมา สายตาที่มองไปทางว่าที่บุตรเขยแฝงไว้ด้วยความเห็นใจหลายส่วน
สำหรับสายตาอย่างนี้ชายหนุ่มยอมรับไว้ด้วยความเต็มใจ เขากล่าวผสมโรงขึ้นว่า “เงียบเหงาพอดูขอรับ ซ้ำยังตกๆ หล่นๆ ไม่น้อยเพราะไร้ประสบการณ์ ข้าเองก็รู้สึกว่าขาดแม่เหย้าแม่เรือนไม่ได้เช่นกันขอรับ”
เหอซื่อพยักหน้าหงึกหงัก “ก็นั่นน่ะสิ ขาดแม่เหย้าแม่เรือนได้ที่ใดกัน”
หลีกวงเหวินส่งเสียงไอดังๆ ทีหนึ่ง เขาชำเลืองมองภรรยาด้วยสายตาแฝงนัยโจ่งแจ้งมากว่า
เจ้าโง่งมใช่หรือไม่ ว่าที่ประมุขหญิงของจวนกวนจวินโหวก็คือบุตรสาวของเรา เจ้าเห็นใจเจ้าหนุ่มนี่ถึงเพียงนี้ อยากจะให้บุตรสาวของเราออกเรือนไปตอนนี้รึ
เมื่อคิดไปเช่นนี้หลีกวงเหวินพลันเห็นคนบางคนขัดหูขัดตาแล้ว
บุตรสาวเขาเพิ่งอายุสิบสี่ เจ้าหนุ่มผู้นี้ก็รอไม่ไหวแล้วหรือ
เหอซื่อกลับไม่เข้าใจความหมายของสามี นางถามอย่างห่วงใย “ท่านพี่ ท่านร้อนในหรือเจ้าคะ”
หลีกวงเหวินอึ้งงัน “…” อย่าห้ามข้า ข้าจะหย่าขาดกับสตรีเบาปัญญาผู้นี้!
ด้านหลีกวงซูลอบอิจฉาริษยาสุดจะเปรียบ
พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่เป็นพวกปากอย่างใจอย่างจริงๆ เห็นอยู่ทนโท่ว่ากวนจวินโหวอยากตบแต่งหลานเจาเข้าเรือนเร็วๆ สองคนนี้ยังจะไว้ท่าอีก
แม้นจะพูดว่าพอคนสองครอบครัวหมั้นหมายกันก็นับเป็นญาติกันได้แล้ว แต่เรื่องถอนหมั้นในภายหลังใช่ว่าจะไม่มี เพื่อมิให้ยืดเยื้อจนเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ให้หลานเจาออกเรือนไปโดยไวถึงเป็นเรื่องสำคัญ!
หลีกวงซูอดมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ได้
พี่ใหญ่อาจจะสติสตังไม่ปกติ แต่ท่านแม่มิได้เลอะเลือน หาไม่แล้วคงไม่ส่งสาวใช้สองคนมาจับตาดูเรื่องในเรือนเขาโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่เขากับปิงเหนียงร่วมหอกันก็จะยกน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์มาแล้วเฝ้าดูปิงเหนียงดื่มลงไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นบุตรชายคนรองส่งสายตามาก็เหยียดยิ้มไม่ปริปาก
หลีกวงเหวินกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนเอ่ยขึ้น “คำโบราณว่าไว้ดี พี่ชายคนโตเปรียบดั่งบิดา พี่สะใภ้ใหญ่เป็นเช่นมารดา จวนของท่านเขยไม่มีคนดูแลความเรียบร้อย ปีหน้าก็ไปฉลองวันตรุษที่จวนจิ้งอันโหวดังเดิมเถอะ กลับเรือนตนเอง ผู้ใดจะติงว่าวุ่นวายเล่า”
เซ่าหมิงยวนยิ้มรับพลางคิดคำนึงในใจ ดูทีว่าวันหน้าค่อยเชิญท่านพ่อตาดื่มสุรากันจะดีกว่า
สีหน้าของหลีกวงซูบึ้งตึงไปหมด พี่ชายคนโตเปรียบดั่งบิดาอะไรกัน นี่พี่ใหญ่จะพูดให้ข้าฟังกระมัง
“ในสวนของเรามีต้นล่าเหมยต้นหนึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง ท่านโหวไปชมดูเถอะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนคนเฒ่าคนแก่อย่างพวกข้าหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกอย่างยิ้มแย้ม
นี่คืออนุญาตให้เขาไปพบเฉียวเจาได้
ชายหญิงที่หมั้นหมายกันแล้ว ในช่วงก่อนเข้าพิธีมงคลสามารถพบหน้ากันได้อย่างถูกต้องเปิดเผย พวกผู้อาวุโสก็ยินดีสนับสนุนให้บุตรชายบุตรสาวได้บ่มเพาะความรักกันก่อนแต่งงาน
รอกระทั่งเซ่าหมิงยวนออกไปแล้ว หลีกวงซูก็เอ่ยปากขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ “ท่านแม่ ข้าจำได้ว่าหลานเจาเกิดตอนต้นปีกระมัง”
“ใช่ หลานเจาเกิดเดือนหนึ่ง”
“นี่ก็ถูกแล้ว อันที่จริงผ่านปีนี้ไปหลานเจาก็มิใช่เด็กๆ แล้ว แม้จะยังไม่ปักปิ่น ทว่าภายในจวนกวนจวินโหวไม่มีคนปกครองดูแล ให้นางออกเรือนไปที่นั่นเร็วขึ้นก็มีเหตุผลสมควรนะขอรับ”
เหอซื่อได้ยินแล้วไม่ชอบใจ นางเบะปากกล่าวว่า “พูดอะไรกัน เจาเจาอยู่เรือนไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ให้รีบออกเรือนไปรับภาระ ข้าหักใจไม่ได้หรอกนะ”
สีหน้าของหลีกวงซูแปรเปลี่ยนไปมา
รับภาระอะไรกัน? ได้เป็นถึงประมุขหญิงจวนโหว ไม่รู้ว่าสตรีตั้งมากเท่าไรที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตอยากมีอำนาจปกครองดูแลเรือนนะ!
หญิงชราปรายตามองบุตรชายคนรองอย่างเฉยเมย “เจ้าจงจำคำกล่าวนี้ไว้ เร่งรัดคนซื้อหาใช่การค้าขายไม่*”
นายท่านรองสกุลหลีโดนสามรุมหนึ่งจนพ่ายยับได้แต่กลืนเลือดอย่างเงียบๆ