เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เรื่องการแต่งงานของพวกเราก็ตกลงแน่นอนไปแล้ว”
“ในสายตาของท่านพ่อตา คนที่หมั้นหมายกับเจ้าคือคุณชายรองเชื้อสายภรรยาเอกของจวนจิ้งอันโหว ไม่ใช่บุตรชายของอนุลับๆ ที่ไม่รู้ฐานะมารดาบังเกิดเกล้าของตนผู้หนึ่ง”
เฉียวเจาอ้าปากออก “ถิงเฉวียน ท่านอย่ากังวลใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้เลย”
แม่ทัพหนุ่มถูหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “มันสุดปัญญาที่ข้าจะไม่กังวลใจ จะอย่างไรท่านพ่อตาก็เป็นคนซื่อสัตย์เถรตรงเฉกนี้ เจาเจา เจ้าว่าข้าซูบลงอีกใช่หรือไม่”
เฉียวเจาอดพิศดูบุรุษเบื้องหน้าอย่างละเอียดไม่ได้
อืม สีหน้ายังพอไหว แต่ดูเหมือนร่างกายจะผ่ายผอมกว่าตอนพบหน้ากันเมื่อหลายวันก่อนจริงๆ
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับตนเอง
อื้อ ดูท่าวันนี้สวมอาภรณ์ด้านในน้อยลงชั้นหนึ่งได้ผลไม่เลวเลย
เฉียวเจายกมือขึ้นจับคอเสื้อเขาให้เข้าที่แล้วกล่าวเสียงนุ่ม “วันๆ ท่านก็อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเลย เห็นทีว่าจู่ๆ ฮูหยินท่านโหวหันหน้าเข้าทางธรรมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก เพราะท่านโหวพูดเปิดอกกับนางแล้วได้ผลลัพธ์ที่เห็นพ้องต้องกันกระมัง ดังนั้นท่านโหวต้องเป็นคนแรกที่ไม่อยากให้ความลับนี้เปิดเผยออกไป”
“เจาเจา…” ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มวางทาบหลังมือของเด็กสาว “เจ้าแต่งเข้าจวนข้าโดยไวเถอะ มีเพียงเจ้าออกเรือนมาเร็วๆ ข้าถึงสบายใจได้”
“เรื่องวันงานมงคลมิใช่ต้องหารือกับท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือ”
“ข้าเห็นท่านพ่อตาท่านแม่ยายล้วนรักใคร่เจ้ามาก พวกท่านต้องรับฟังความเห็นของเจ้าเป็นแน่”
มือของเด็กสาวที่อยู่บนคอเสื้อเซ่าหมิงยวนชะงักไป นางเอานิ้วชี้จิ้มๆ หัวไหล่เขา กล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผอมลง?”
เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ
“ผอมลงจริงๆ หรือ” เฉียวเจาใช้ปลายนิ้วสองนิ้วหนีบเสื้อตัวนอกของเขาแล้วดึงขึ้น
สารภาพได้ลดหย่อนผ่อนโทษ!
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวแม่ทัพหนุ่มอย่างถูกจังหวะในชั่วพริบตานี้เอง เขาไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกล่าว “อาจจะเป็นเสื้อบางลง”
เฮอะ กวนจวินโหวผู้สุขุมทะนงตนในอดีตผู้นั้นหายไปที่ใดแล้ว
เฉียวเจาปรายตามองเขา “ท่านหัดใช้ประโยชน์จากความเห็นอกเห็นใจของข้าแล้วหรือ”
คนบางคนที่โดนจับโกหกได้คาหนังคาเขาทำหน้าตาเจียมเนื้อเจียมตนเหมือนสุนัขตัวโตกระทำความผิด “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องสงสารข้า”
“ใครสงสารท่านกัน อย่ามาเข้าข้างตนเอง!” เฉียวเจาปัดมือชายหนุ่มออก
หากมิใช่คนบางคนทำหางโผล่เร็วเกินไป เมื่อครู่นางยังหวุดหวิดจะหลงเชื่อไปแล้ว
เซ่าหมิงยวนทำหน้าหนาคว้ามือนางมาจับไว้อีกครั้ง นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายหวานซึ้ง เขาอมยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นคุณหนูสามก็เห็นแก่คนแซ่เซ่าที่เข้าข้างตนเองสักหน่อย ออกเรือนมาเร็วๆ เถอะนะ”
ดวงตาของอีกฝ่ายแจ่มกระจ่างเหลือเกินจนเฉียวเจาลืมคำพูดไปชั่วขณะ
ห่างไปไม่ไกลนักหลีเจี่ยวหยุดยืนมองมาทางศาลาโดยไม่กะพริบตา
“คุณหนู…” ซิ่งเอ๋อร์เอ่ยเร่งอย่างขลาดๆ
หลีเจี่ยวชายตามองสาวใช้แวบหนึ่ง แต่กลับเดินตรงไปที่ศาลา ปั้นหน้ายิ้มแย้มก่อนเปล่งเสียงเรียก “น้องเจา”
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนหันไปมอง
หลีเจี่ยวย่อเข่าคำนับชายหนุ่ม “คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนหุบยิ้มก่อนผงกศีรษะอย่างไว้ตัว
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากอย่างสุดระงับ
เมื่อครู่นางเห็นหลีซานกับกวนจวินโหวพลอดรักชัดๆ ชายหนุ่มท่าทางเฉยเมยถือตนในความทรงจำของนางมีรอยยิ้มบนใบหน้าประหนึ่งสายลมวสันต์เดือนสาม เห็นแล้วชวนให้จิตใจอ่อนละมุนไปด้วย เหตุใดพอนางกล่าวทักทายอย่างสุภาพมีมารยาท เขากลับวางสีหน้าเย็นชาเล่า หลีซานมีอะไรดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
“พี่เจี่ยวจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาไต่ถามเสียงเรียบ
เพราะเซ่าหมิงยวนอยู่ด้วย หลีเจี่ยวถึงเผยรอยยิ้มนุ่มนวล “อื้อ ข้าจะไปอวยพรวันตรุษท่านตาท่านยาย”
“อ้อ” เฉียวเจาพยักหน้าแล้วไม่กล่าวคำใด
หลีเจี่ยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งทว่าไม่มีคนสนใจ นางรู้สึกกระอักกระอ่วนจึงยอบกายเล็กน้อยแสดงคารวะต่อเซ่าหมิงยวนแล้วพาสาวใช้ออกเดินไป
ไม่นานนักมีสาวใช้อีกคนหนึ่งมาเชิญเซ่าหมิงยวนไปดื่มสุราที่เรือนหน้า เขาจำต้องลุกขึ้นยืน “เจาเจา ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปก่อนนะ”
เฉียวเจาพยักหน้า นางเห็นเขากำลังจะไปก็ดึงแขนเสื้อเขาแล้วบอกเสียงค่อย “เสื้อตัวในเย็บเสร็จแล้ว ประเดี๋ยวให้คนเอาไปให้ ท่านลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
เสื้อตัวในเย็บเสร็จแล้ว!
เซ่าหมิงยวนพลันรู้สึกว่าเดินไม่ค่อยตรงทางเสียแล้ว
เขายังนึกว่าหากได้สวมภายในเดือนหนึ่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่คิดว่านี่เพิ่งเดือนหนึ่งวันที่สอง เจาเจาก็เย็บเสื้อตัวในให้เขาเสร็จแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเจาเจาของเขาเรียนรู้อะไรๆ ได้รวดเร็ว แน่นอนว่าที่สำคัญคือมันบ่งบอกว่าเจาเจาใส่ใจเขาเป็นที่สุด
เฉียวเจามองตามแผ่นหลังของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด
เหตุไฉนท่าเดินของคนบางคนถึงแปลกพิกลเช่นนี้นะ
* ‘เร่งรัดคนซื้อหาใช่การค้าขายไม่’ เป็นสำนวนจีน หมายถึงจะทำเรื่องอะไรต้องรอจังหวะที่เหมาะสม จะเร่งรัดไม่ได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.