บทที่ 586
“คุณหนูสามระวัง” เฉินกวงกระโจนกายขึ้นไปยันโคมไฟที่ล้มตะแคงลงมาเอาไว้
ฝูงชนส่งเสียงอุทานลั่นดังระงมเป็นทอดๆ
ยามเฉินกวงเหยียบสองเท้าลงบนพื้น หันศีรษะไปอีกทีก็ไม่เห็นวี่แววของเฉียวเจาแล้ว
“คุณหนูสาม!” เขาหน้าถอดสีไปถนัดตา รีบผลักคนที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าออกมองหาเด็กสาว
เฉียวเจาถูกคนปิดปากจากทางด้านหลังแล้วพาเดินไปเรื่อยๆ นางอยากดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ กลับพบว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งนิ่งสนิทดุจหินผา
โคมไฟล้มลงมามิใช่อุบัติเหตุ แต่จงใจเบี่ยงเบนความสนใจของเฉินกวงไป!
พอความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวนางก็หยุดดิ้นขัดขืน
ไม่รู้ว่ามีคนเดินสวนผ่านไปมากเพียงใด คนผู้นั้นหยุดฝีเท้าแล้วผละมือออกเงียบๆ ในที่สุด
เฉียวเจาหมุนกายขวับกลับไป
บุรุษด้านหลังมีเรือนกายสูงชะลูด เขายกมือถอดหมวกสานติดผ้าโปร่งสีดำออกเผยให้เห็นดวงหน้าคุ้นตา
“ใต้เท้าเจียง” เฉียวเจาเลิกคิ้วสูงอย่างคาดไม่ถึง
ดวงตาเคร่งขรึมของเจียงหย่วนเฉามองดูเด็กสาวท่าทางเยือกเย็นเบื้องหน้า สีหน้าแววตาของนางคล้ายปรากฏขึ้นในห้วงฝันนับพันครั้ง พาให้ตรงกลางอกร้อนรุ่มอย่างไร้สาเหตุ เขากล่าวโพล่งขึ้น “อย่าเรียกข้าว่าใต้เท้าเจียง”
เฉียวเจาเม้มปากแล้วเอ่ยถามเรียบๆ “แล้วข้าสมควรเรียกขานอย่างไร”
เจียงหย่วนเฉามองนางด้วยสายตาแฝงนัยลึกล้ำ เขาพูดเสียงพร่า “เรียกข้าว่าสือซาน”
นางใจหายวาบ นี่เจียงหย่วนเฉาหมายความว่าอะไร
“ไฉนไม่เรียก” เจียงหย่วนเฉาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง
เฉียวเจาถอยหลังครึ่งก้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ท่านเป็นรองผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงเกียรติ ข้าไม่กล้าเรียกขานเช่นนี้”
“ไม่กล้า?” เขาขยับเท้าอีกหนึ่งก้าวให้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากขึ้น ลึกเข้าไปในดวงตาเขาประหนึ่งกำลังตั้งเค้าพายุอารมณ์ที่น่าพรั่นพรึง “ต้องวางตัวห่างเหินกับข้าถึงเพียงนี้ให้ได้ใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าเจียง…”
เจียงหย่วนเฉาพลันจับแขนของนางไว้แล้วยื่นหน้าไปหัวเราะเบาๆ ที่ริมหูนาง “คุณหนูเฉียว ก่อนหน้านี้ท่านเรียกข้าว่าสือซานไม่หยุดปากเลยนะ”
ดวงตาของเฉียวเจานิ่งขึงไปกะทันหัน นางมองไปทางชายหนุ่ม เขาถึงกับมั่นใจว่านางคือเฉียวเจาถึงเพียงนี้?
ใช่ ตอนอยู่แดนใต้นางจงใจเรียกเขาว่า ‘สือซาน’ ทั้งยังจงใจแย้มพรายเรื่องในอดีตของคนทั้งสองที่มีแต่เฉียวเจาเท่านั้นที่ล่วงรู้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แต่ในความคิดของนาง อย่างมากก็คงทำให้จิตใจของเขาสับสนว้าวุ่นไปชั่วครู่ชั่วยาม และสามารถหยุดยั้งเขาไม่ให้ลงมือสังหารนางได้ นั่นก็เป็นเรื่องไม่ง่ายดายแล้ว ใครจะคาดคิดว่าเขาจะจดจำสิ่งนี้อยู่ตลอด
“คุณหนูเฉียว ไฉนไม่พูดไม่จาแล้วเล่า” เจียงหย่วนเฉามองเด็กสาวตรงหน้าโดยไม่กะพริบตา เขาอมยิ้มเอ่ยถามขึ้น
เฉียวเจาคลี่ยิ้มช้าๆ “กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของข้าใต้เท้าเจียงยังเรียกผิด ข้ายังจะพูดอะไรได้”
“เรียกผิด?” เจียงหย่วนเฉายกยิ้มมุมปาก เขาโคลงศีรษะเบาๆ “ข้าจะเรียกผิดได้อย่างไรกันเล่า”
เขายื่นมือไปคว้ามือนางไว้หมับ
ดวงตาของเฉียวเจามองมือที่จับกันอยู่ของทั้งคู่ ในนั้นทอแววกรุ่นโกรธเต็มที่
กระนั้นนางรู้ว่าในสถานที่ที่มีเขากับนางเพียงสองคนแห่งนี้ การดิ้นขัดขืนอย่างเปล่าประโยชน์รังแต่จะทำให้นางอับอายมากขึ้น
ท่าทางเฉยเมยของเฉียวเจาทำให้หัวใจเขาเจ็บแปลบปลาบ
เหตุใดนางยังสงบนิ่งเช่นนี้อยู่ได้ แม้แต่เขารู้แล้วว่านางเป็นใครก็มิได้ก่อแรงกระเพื่อมไหวใดๆ ต่อจิตใจของนางแม้สักกระผีกใช่หรือไม่
นี่เป็นการบ่งบอกว่าสำหรับนางแล้วเขามิใช่คนที่มีความสลักสำคัญเลยใช่หรือไม่
จริงสินะ คนที่นางห่วงใยคือเฉียวโม่ผู้เป็นพี่ชาย เรื่องที่นางพะวงถึงคือเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว และคนที่นางใส่ใจคือกวนจวินโหว ส่วนเขาเป็นใครเล่า
เจียงหย่วนเฉาออกแรงจับมือเฉียวเจาไว้แน่นๆ แล้วนำมาวางทาบตรงกลางอกตนเองพร้อมกับพูดเน้นเสียงหนักทีละคำ “ต่อให้ข้าเรียกผิด แต่ตรงนี้ไม่มีทางจำผิด”
เฉียวเจาทนไม่ไหวอีกต่อไป นางพยายามกระตุกมือกลับ
เจียงหย่วนเฉากุมมือนางไว้ไม่ปล่อย เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “ท่านว่าข้าจำผิดหรือไม่”
เหตุใดถึงมีสตรีใจร้ายเพียงนี้นะ ทำให้เขาคิดถึงคะนึงหาตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มจนบัดนี้ ทั้งยังจงใจแย้มพรายฐานะให้เขารู้ แต่พอมาถึงขั้นนี้แล้วกลับปากแข็งไม่ยอมรับ
นางเปรียบดั่งแดนต้องห้ามที่แตะต้องไม่ได้ในหัวใจเขา แต่เขากลับไม่มีความสลักสำคัญอันใดในชีวิตนาง
นี่จะให้เขาทำใจยอมรับได้เยี่ยงไร!
“ใต้เท้าเจียง ท่านเสียมารยาทแล้ว” เฉียวเจาเม้มมุมปากแน่น ถ้าไม่ใช่เพราะเรี่ยวแรงต่างกันไกลลิบจริงๆ นางอยากเงื้อมือตบหน้าบุรุษผู้นี้สักฉาดใจจะขาด
เขาเห็นนางเป็นอะไรถึงจับมือถือแขนนางตามใจชอบเช่นนี้