เจียงหย่วนเฉาหลับตาลง “บอกข้าที ตกลงข้าจำผิดหรือไม่กันแน่”
เฉียวเจาแค่นหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ในที่สุด “ใต้เท้าเจียงจำผิดแล้ว”
จำไม่ผิดแล้วจะมีอะไรเล่า หรือว่าเขาคิดจะพานางกลับเรือนไปเป็นอนุ?
เฉียวเจาไม่เบาปัญญา ถึงเวลานี้แล้วเป็นธรรมดาที่นางย่อมกระจ่างแจ้งว่าคนตรงหน้ายังไม่ลืมเลือนความรักที่มีต่อนางในร่างเดิม
เมื่อได้ยินนางปฏิเสธริมฝีปากบางของเจียงหย่วนเฉาเม้มแน่นจนปราศจากสีเลือด ทว่าเขาบีบมือแรงขึ้นประหนึ่งว่ามีเพียงจับมือของเด็กสาวผู้นี้ไว้สุดแรงเช่นนี้ถึงจะเก็บรักษาความทรงจำที่สวยงามไว้ได้
“ใต้เท้าเจียง โปรดปล่อยมือด้วย”
เจียงหย่วนเฉาก้มหน้ามองนางโดยไม่กล่าววาจา
เฉียวเจาขมวดคิ้ว “ใต้เท้าเจียง ท่านทำอย่างนี้เคยคิดถึงความรู้สึกของคู่หมั้นท่านหรือไม่”
“หากไม่มีคู่หมั้นเล่า” เขากล่าวโพล่งขึ้น ครั้นปะทะเข้ากับสีหน้าหลากใจของอีกฝ่าย เขาเบือนหน้าหนีอย่างสิ้นท่าพลางกล่าวเนิบๆ “ท่านฉลาดปานนั้น ต้องเข้าใจว่าข้าอยากบอกอะไรเป็นแน่”
สีหน้าของเฉียวเจาสงบนิ่งดุจเดิม นางกล่าวเสียงราบเรียบ “มีหรือไม่มีล้วนเป็นทางเลือกของใต้เท้าเจียง ส่วนทางเลือกของข้า เชื่อว่าใต้เท้าเจียงคงรู้แล้วเช่นกัน”
มือของเจียงหย่วนเฉาคลายออกกะทันหันแล้วทิ้งห้อยลงข้างลำตัว เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นๆ “เขาดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ทำร้ายท่านไปแล้วครั้งหนึ่ง ท่านยังเต็มใจเข้าใกล้เขาอีก”
เฉียวเจายิ้มแล้ว “ในใจข้าเขาต้องดีที่สุดแน่นอน ใต้เท้าเจียง ท่านเป็นคนฉลาดดุจเดียวกัน เหตุใดไม่รู้จักทะนุถนอมคนข้างกาย”
เจียงหย่วนเฉาไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เฉียวเจาถอยหลังหนึ่งก้าว “ใต้เท้าเจียง เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น ข้าขอตัวก่อนแล้ว”
เขาเพ่งมองแผ่นหลังเหยียดตรงของเด็กสาวร่างแบบบางพลางเปล่งเสียงพูดช้าๆ “ดังนั้นท่านยอมรับแล้วว่าท่านคือคุณหนูเฉียว?”
เฉียวเจาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
เจียงหย่วนเฉาหัวร่อเบาๆ
รู้จักทะนุถนอมคนข้างกาย?
คนข้างกายเขามีตั้งมากมายอย่างนั้น เขาจะทะนุถนอมคนใดเล่า
นางยอมรับแล้วก็ดี
นับจากนี้ไปคนที่อยู่ในใจเขาคือสตรีที่มีชีวิตจิตใจผู้หนึ่ง มิใช่ร่างใต้เนินหลุมศพอีกต่อไป
“ใต้เท้า…” เห็นผู้เป็นนายเอาแต่ยิ้มไม่หยุด เจียงเฮ่อซึ่งก้าวออกจากมุมมืดจึงอดส่งเสียงเรียกไม่ได้
เจียงหย่วนเฉาหันไปมองเขา
เจียงเฮ่อถูมือไปมา กล่าวอึกๆ อักๆ “ใต้เท้า…ข้ารู้สึกว่าท่านทำอย่างนี้ไม่…ไม่ใคร่จะดี…”
“หือ?”
“หากท่านผู้บัญชาการใหญ่ทราบเข้า ท่านคงจบเห่น่ะสิขอรับ”
เจียงหย่วนเฉายื่นมือไปบีบใบหน้าที่ย่นยู่ยี่เป็นซาลาเปาด้วยความเป็นห่วงของเจียงเฮ่อ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่รู้เรื่องแล้วข้าจบเห่หรือไม่ยังไม่รู้ แต่เจ้าต้องจบเห่แน่!”
“ใต้เท้า…” เจียงเฮ่อเบิกตากว้างมองดูเจียงหย่วนเฉาก้าวเท้ายาวๆ เดินแยกไปแล้วยกมือกุมศีรษะเริ่มร่ำไห้ในที่สุด
ลงเรือโจรแล้วๆ ที่สำคัญคือยังกลับขึ้นฝั่งไม่ได้อีก ใครก็ได้มารับข้าไปที
ด้านนอกคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน เฉียวเจามองปราดเดียวก็เห็นเฉินกวงที่วิ่งสะเปะสะปะไปทั่ว นางโบกมือให้เขา
เฉินกวงวิ่งทะยานมาหาด้วยความตื่นเต้นจนแทบสวมกอดเฉียวเจาเอาไว้ แต่นึกขึ้นได้ว่านี่คือฮูหยินท่านแม่ทัพของเขาถึงยั้งตัวไว้ได้ทันท่วงที
“คุณหนูสาม ข้าตกใจแทบตายอยู่แล้ว”
เฉียวเจาหดมือกลับเข้าแขนเสื้อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่โดนคนเบียดจนพลัดไปอีกทาง รีบไปกันเถอะ จำไว้อย่าบอกกับท่านแม่ทัพของเจ้าล่ะ”
เจียงหย่วนเฉายืนอยู่กลางหมู่คน มองดูเฉียวเจาค่อยๆ ลับร่างไปกลางฝูงชนโดยมีเฉินกวงคอยอารักขา เขาแย้มปากออกเป็นรอยยิ้ม
* อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นสำนวน หมายถึงคนร่ำรวยมีเกียรติต่อให้ยากจนตกอับก็ยังดีกว่าชาวบ้านทั่วไป
* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า และรับประทานขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลโคมไฟ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.