เมื่อเจียงซือหร่านไปแล้ว สีหน้าของเจียงหย่วนเฉาก็ยิ่งจับความรู้สึกใดๆ ไม่ออก เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยให้เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจา “ขออภัยด้วย ไม่รบกวนความสำราญของท่านทั้งสองแล้ว”
เฉียวเจามีสีหน้าเรียบเฉย นางมองดูเขาย่ำเท้าลงบันไดแล้วเดินตัดผ่านโถงร้านออกนอกประตูไปโดยไม่เหลียวหลังก็รู้สึกโล่งอกน้อยๆ
บัดนี้พอนางเห็นคนผู้นั้นก็จะรู้สึกต่อต้านเขาตามสัญชาตญาณ หวังว่าวันหน้าเขากับนางจะข้องแวะกันน้อยลงเรื่อยๆ
“เจาเจา พวกเราเข้าไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนจูงนางเข้าห้องพลางพูดเอื่อยๆ “อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาขัดอารมณ์เลย”
“อื้อ” เฉียวเจาขานตอบในลำคอคำหนึ่ง
เจียงหย่วนเฉาก้าวออกจากหอสุราก็ไม่เห็นวี่แววของเจียงซือหร่านแล้ว
เมื่อนึกถึงว่ามีองครักษ์จินหลินคอยอารักขาเจียงซือหร่านอยู่ในที่ลับ และในที่ว่าการยังมีงานอีกมากต้องสะสาง เขาก็หยุดยืนชั่วอึดใจก่อนจะหันหลังเดินไปทางที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟ้าปกคลุมทั่วพื้นถนนศิลาเขียวไว้ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว พอตกเย็นท้องฟ้าขมุกขมัวมืดสลัวลง หิมะก็กองทับถมกันสูงเป็นคืบแล้ว
ในจวนสกุลเจียงเจียงถังยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดินหน้าโถง แลมองปุยหิมะที่ตกพรำๆ ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างไร้สาเหตุ
“ไปถามซิว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่กลับมาจากวังหลวงอีกหรือ”
ไม่นานนักองครักษ์จินหลินผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ คุณหนูใหญ่ออกจากวังหลวงตั้งนานแล้ว จากนั้นไปชักชวนท่านสิบสามที่ที่ว่าการออกไปเดินเที่ยวด้วยกันขอรับ”
พอได้ยินว่าบุตรสาวไปเดินเที่ยวกับเจียงหย่วนเฉา ใบหน้าของเจียงถังก็แต้มด้วยรอยยิ้ม “ข้าถึงว่าไฉนหักใจกลับมาไม่ได้ แต่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว อีกทั้งมีหิมะตก เจ้าไปตามหาพวกคุณหนูใหญ่เถอะ”
องครักษ์จินหลินออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
เจียงถังไม่อยากกลับเข้าเรือน เขายืนอยู่ข้างเสาระเบียงมองดูต้นไม้ใบหญ้าที่โดนหิมะบดบังโฉมหน้าเดิมเอาไว้อย่างเหม่อลอย
เขายืนเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยามโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้าไป
ครั้นเห็นเจียงหย่วนเฉาเดินมากับองครักษ์จินหลินหลายคน เจียงถังย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ “สือซาน ไฉนหร่านรานไม่ได้กลับมาพร้อมเจ้า”
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้ากับหร่านรานแยกกันที่ร้านไป่เว่ยตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วขอรับ”
“แยกกัน? แล้วเจ้าไปที่ใด”
“หลังจากพวกข้าแยกกัน ข้าก็กลับไปที่ที่ว่าการขอรับ”
สีหน้าของเจียงถังขรึมลง “ก็แสดงว่าตลอดบ่ายนี้หร่านรานอยู่คนเดียว?”
ตอนเจ้าเด็กผู้นั้นออกจากเรือนกำลังโกรธเขาอยู่ สือซานยังไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนอีก ดูทีว่านางคงจะอารมณ์ไม่ดีมากขึ้น
“ยังยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด รีบไปตามหาคุณหนูใหญ่สิ”
“ขอรับ” พวกองครักษ์จินหลินลอบมองเจียงหย่วนเฉาก่อนจะรับคำสั่งออกไป
เจียงถังเลิกหางคิ้วขึ้น “สือซาน ข้ารู้ว่าในที่ว่าการมีงานรอให้เจ้าสะสางอยู่เป็นกองพะเนิน แต่วันนี้หร่านรานอารมณ์ไม่ดีอยู่แต่แรก หรือว่าเจ้าดูไม่ออก”
เจียงสือซานยิ้มฝืดๆ “เป็นข้าสะเพร่าเองขอรับ”
อารมณ์น้องสาวบุญธรรมผู้นี้ของเขาก็เป็นเหมือนท้องฟ้าเดือนหก อยากจะมืดครึ้มก็มืดครึ้ม อยากจะสดใสก็สดใส หากต้องคอยเอาอกเอาใจนางทุกเวลา เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นแล้ว
“เจ้าเด็กผู้นั้นทิฐิแรง เวลานี้ยังไม่กลับมา เห็นทีว่าคงงอนโกรธจนไปอยู่ที่อื่นหลายวันอีกตามเคย” เจียงถังกล่าวทอดถอนใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตบุตรสาวของเขาผู้นี้หนีออกจากเรือนจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดีที่ข้างกายนางมีองครักษ์จินหลินฝีมือดีติดตามอยู่เสมอ เขากลับไม่ต้องกังวลใจเรื่องความปลอดภัย เพียงทว่า…
เจียงถังกวาดตามองชายหนุ่มปราดหนึ่งอย่างไม่ใคร่พอใจนัก ความรู้สึกที่สือซานมีต่อหร่านรานดูเหมือนจะเป็นความรักฉันพี่น้องมากกว่าความรักฉันหนุ่มสาว…
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่องครักษ์จินหลินผู้หนึ่งก็ลุกลนวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ พบ…พบคุณหนูใหญ่แล้วขอรับ”
ถ้อยคำนี้ฟังดูไม่ค่อยปกติ แววตาของเจียงหย่วนเฉาไหววูบหนึ่ง
เจียงถังใจหายวาบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาตวาดดุลั่น “ยังเหลือความเป็นองครักษ์จินหลินอยู่สักนิดหรือไม่ แล้วคุณหนูใหญ่อยู่ที่ใดเล่า!”
หรือว่าหร่านรานก่อเรื่องขึ้นอีกแล้ว
องครักษ์จินหลินเข่าอ่อนยวบ ก้มหน้างุด “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ท่านไปดูเองดีกว่าขอรับ…”
ภายในตรอกเปลี่ยวร้างสายหนึ่งห่างจากร้านไป่เว่ยไปสองถนนมีหิมะทับถมกันสูงเลยน่อง แต่ตรงสุดปลายกำแพงกลับสุมเป็นกองนูนขึ้นเล็กน้อยเหมือนเนินเขาเตี้ยๆ เจียงถังเพ่งสายตามองไปที่จุดนั้นแล้วแม้แต่เท้าก็ก้าวไม่ออก